สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งตะโก อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร ว่า พบศพ “นายศุภพงษ์” อายุ 64 ปี ลอยอยู่ในสระน้ำ บริเวณด้านหน้าสวนปาล์มน้ำมัน สภาพศพมีบาดแผลจากของมีคมที่ใบหน้าและศีรษะหลายจุด

 

ล่าสุด เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. ทุ่งตะโก ได้พาตัวพระสุนย์ทร (พระลูก) มาสอบปากคำ ที่ สภ.ทุ่งตะโก จนพระสุนย์ทร ได้สารภาพว่า เป็นคนที่ลงมือก่อเหตุทำร้ายร่างกายนายศุภพงษ์จนเสียชีวิตจริง จากนั้นตำรวจ ได้พาตัวพระสุนย์ทร ไปทำพิธีสึกที่วัดแห่งหนึ่ง ก่อนมีการควบคุมตัวมาสอบปากคำและดำเนินการตามกฎหมาย

 

จากการสอบปากคำเบื้องต้น นายสุนย์ทร ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ตัวเองได้ออกบิณฑบาตเวลาประมาณ 06.00 น. (ตามกล้องวงจรปิด) และบิณฑบาตเสร็จ กลับเข้าสำนักสงฆ์เวลา 08.06 น. (ตามภาพวงจรปิด) พอกลับมาถึงสำนักสงฆ์ ตัวเองพบว่า นายศุภพงษ์ ผู้เสียชีวิต ได้นั่งรอขอข้าวที่สำนักสงฆ์ และคะยั้นคะยอ ที่จะเอาข้าววอย่างเดียว ทั้งที่ตัวเองเพิ่งกลับมาจากบิณฑบาตเหนื่อยๆ กระทั่งได้มีปากเสียงกัน และต่างฝ่ายต่างผลักกันไป-มา จนตัวเองได้ใช้ส้อม แทงไปที่ใบหน้าและศีรษะของผู้ตายหลายครั้ง กระทั่งมีการเอาศพไปทิ้งอำพรางในบ่อน้ำ ตรงข้ามสำนักสงฆ์

 

ซึ่งสำหรับประเด็นเกี่ยวกับการทิ้งอำพรางศพนั้นตำรวจอยู่ระหว่างสอบปากคำนายสุนย์ทร ว่ามีใครช่วยอำพรางศพหรือไม่ ซึ่งคาดว่าตำรวจจะสอบปากคำนายสุนย์ทรวันนี้ตลอดทั้งวัน ขณะเดียวกัน ตำรวจก็ได้นำหลักฐานเป็นผ้าสบงของนายสุนย์ทร มาตรวจสอบในครั้งนี้อีกด้วย คาดว่าเป็นผ้าสบงที่ใส่ในวันเกิดเหตุ

 

เวลา 12.00 น. พระหัด (พระพ่อ) ได้เดินเท้าจากสำนักสงฆ์ เพื่อไปยัง สภ.ทุ่งตะโก ระยะทางรวม 5 กิโลเมตร ซึ่งจังหวะนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามจะเข้าไปสอบถามพระหัด ว่าลูกชายได้ก่อเหตุจริงไหม รู้เรื่องราววันเกิดเหตุบ้างไหม, และตอนเกิดเหตุ หลวงพ่อได้มีส่วนเกี่ยวข้องไหม ซึ่งพระหัด ก็ไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด บอกแค่ว่าจะไปโรงพัก

 

ผู้สื่อข่าวจึงชวนพระหัด ให้ขึ้นรถไปด้วยกันไหม จะไปส่ง แต่พระหัดก็ปฏิเสธ บอกแค่ว่า จะเดินไปเอง ก่อนที่พระหัดจะเดินเท้าไป สภ.ทุ่งตะโก ด้วยระยะทาง 5 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งมีญาติคนตาย ประมาณ 20 กว่าคน ขับรถมอเตอไซค์เป็นขวบตามหลังพระหัดมาตามทาง เพราะเกรงว่าพระหัดจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับลูกชายหรือไม่ และเกรงว่าพระจะหลบหนี

 

เวลา 13.00 น.พระหัด (พระพ่อ) เดินเท้ามาถึง สภ.ทุ่งตะโก เพื่อมาหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทีมข่าวช่อง 8 ก็ได้กล้องวงจรปิด วินาทีที่พระหัด เดินมาถึงโรงพัก

 

จากนั้นพระหัด (พระพ่อ) ได้เดินไป ที่ห้องสืบสวน เพื่อพูดคุยกับนายสุนย์ทร ลูกชาย เนื่องจากตั้งแต่นายสุนย์ทร ถูกควบคุมตัวมาสอบปากคำที่ ห้องสืบสวน สภ.ทุ่งตะโก พระพ่อ ก็ยังไม่ได้พูดคุยหรือเจอหน้ากับลูกชายเลย

 

พระหัด ได้เข้าไปพูดคุยกับนายสุนย์ทร ลูกชายในห้องสืบสวน ซึ่งท่าทางที่ผู้สื่อข่าวสังเกตนั้น พบว่าพระหัดมีการชี้มือ แสดงอาการโมโห และต่อว่าลูกชายอยู่เรื่อยๆ ซึ่งทีมข่าวสังเกตได้แต่เพียงท่าทางเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงเนื่องจากทั้งสองพูดคุยกันอยู่ในห้องสืบสวน ซึ่งใช้เวลาพูดคุยกันประมาณ 10 นาที

 

พอพระหัดออกมาจากห้องสืบสวน ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ด้วยอารมณ์โมโหลูกชายว่า ตัวเองพึ่งมารู้เรื่องวันนี้ว่า ลูกชาย เขาได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นคนลงมือก่อเหตุฆ่านายศุภพงษ์ เพราะเมื่อคืนตำรวจคุมตัวลูกชายมาสอบปากคำ แต่ตัวเองไม่รู้เรื่องจนลูกชายได้มารับสารภาพที่นี่

 

ซึ่งเมื่อสักครู่ตัวเองได้เข้าไปพูดคุยกับลูกชายอยู่ในห้องสืบสวน ตัวเองรู้สึกโมโหเขามาก เพราะเขาฆ่าผู้ตายคนเดียวไม่พอ เขายังมาดึงตัวเองไปเป็นผู้ร่วมฆ่ากับเขาอีก นี่นะหรอ สิ่งที่ลูกชายทำกับตัวเอง แล้วตัวเองได้พูดกับลูกชายว่า “มึงไปฆ่าเขามา แล้วมึงมาดึงกูเข้าไปด้วยทำไม” ตัวเองยืนยันว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับการก่อเหตุฆาตกรรมครั้งนี้ ไม่ได้มีส่วนร่วมแม้กระทั่งตอนที่อำพรางศพ ถ้าวันเกิดเหตุตัวเองกลับจากบิณฑบาตมาเร็วกว่านั้น นายศุภพงษ์ ก็คงไม่ตาย ตัวเองอาจช่วยห้ามลูกชายได้ทัน

 

ยืนยันว่าช่วง 9 โมงกว่า วันที่ 14 มิถุนายน 2567 หลังจากตัวเองกลับจากบิณฑบาตมาถึงสำนักสงฆ์ ตัวเองก็เห็นลูกชายล้างถ้วยล้างชามตามปกติ ไม่ได้มีพิรุธอะไร หรือเล่าอะไรให้ตัวเองฟังเลย และตัวเองก็ไม่เห็นผู้เสียชีวิตมาที่สำนักสงฆ์แล้วด้วย ตัวเองยังบ่นกับลูกชายเลยว่า “ทำไมศุภพงษ์ไม่มาเอากับข้าวนะวันนี้”

 

ยอมรับว่าตัวเองโกรธลูกชายมาก ถ้าไม่ติดว่าอยู่โรงพัก ตัวเองก็เอามันไปฆ่าให้ตายแล้ว

 

ระหว่างนั้นนางสาวฐิดายุ เพ็งโฉม หลานคนตาย ก็ได้เช้ามานั่งตรงข้ามพระ ก่อนจะถามพระหัดว่าได้เกี่ยวข้องกับการตายและอำพรางศพหรือไม่ พระหัดก็ตอบว่า ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่รู้เรื่องกับลูกชายเลย

 

หลานคนตาย จึงถามต่อว่า “หลวงพ่อ ทำไมช่วงบ่ายวันที่ 14 มิถุนายน 2567 ที่เมียคนตายชวนหลวงพ่อ ว่าจะไปค้นหาผู้ตาย แถวบ่อน้ำจุดพบศพ แล้วหลวงพ่อพูดมาว่า “ไม่ต้องไปหาตรงนั้นหรอก นายศุภพงษ์ เขาไม่ไปตรงนั้นอยู่แล้ว” เหมือนกับเป็นการเลี่ยงไม่ให้ไปเจอศพหรือไม่ พระหัดก็ตอบว่า “ตัวเองจำไม่ได้ ตัวเองได้พูดแบบนั้นด้วยหรอ”

 

ญาติคนตายก็ซัดกลับพระหัดว่า “ทำไมพูดกลับไปกลับมาแบบนี้คะ” พรัอมกับถามพระต่อว่า “โทรศัพท์คนตายอยู่ไหน ถังสีที่คนตายเอามาทุกวันอยู่ไหน”

 

ซึ่งพอญาติคนตายซักถามพระหัดเข้าหนักๆ พระหัดก็พูดขึ้นมาว่า “รับผิดว่าหลวงตาทำแล้วก็ได้ ว่ามีส่วนร่วม”

ญาติคนตายก็ยิ่งจี้ถามหนักว่า “ส่วนร่วมอะไร พูดออกมาให้หมด” จนพระหัดได้บอกใหม่อีกครั้งว่า ตัวเองไม่ได้ก่อเหตุอะไรหรอก มีแต่นายสุนย์ทร ลูกชายที่ดึงตัวเองให้มาเกี่ยวข้องด้วย ตัวเองยังยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถ้าตัวเองเกี่ยวข้อง ตัวเองหนีไปนานแล้ว

 

จากนั้น นางสาวฐิดายุ หลานคนตาย ก็ได้จี้ถามพระหัด อยู่ราว 1 ชั่วโมง เพื่อให้พระพูดความจริง แต่พระหัดก็ตอบวกไปวนมา ว่าร่วมก่อเหตุบ้าง ไม่ได้ร่วมก่อเหตุบ้าง

 

จากนั้นได้มีเหตุการณ์วุ่นวายรอบที่ 2 ที่ญาติคนตาย ที่เป็นผู้ชาย เข้ามาจี้ถามพระหัดเป็นรอบที่ 2 ทำให้บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ซึ่งญาติพยายามถามว่าพระหัดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุหรือไม่ และเรื่องที่พระหัด ไปให้ข่าวว่าคนตาย มาขอข้าวไปกินนั้นไม่เป็นความจริง เพราะผู้ตายทำงานหาเงินส่งลูกๆ 2 คน จบมหาลัย เขาจะมาขอข้าวกินทำไม

 

แต่รอบนี้ พระหัดก็ปิดปากเงียบ ไม่ตอบคำถามญาติของคนตายแต่อย่างใด และพบว่า พระหัดสีหน้าค่อนข้างเครียด

 

นอกจากนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้กล้องวงจรปิด ไทม์ไลน์พระหัด และพระสุนย์ทร ในวันที่ นายศุภพงษ์ ผู้เสียชีวิต ได้หายตัวไป (14 มิถุนายน 2567)

 

กล้องตัวที่ 1 มี 2 มุม เวลา 05.56.44 น. พบว่าพระหัด (พระพ่อ) เดินออกมาจากสำนักสงฆ์ ที่อยู่ภูเขาด้านหลัง เพื่อออกไปบิณฑบาต

 

กล้องตัวที่ 2 มี 1 มุม เวลา 06.01 พบว่าพระสุนย์ทร (พระลูก) ได้เดินออกจากสำนักสงฆ์เพื่อไปบิณฑบาตในชุมชน

 

กล้องตัวที่ 3 มี 2 มุม พบว่า เวลา 08.06.35 พระสุนย์ทร (พระลูก) ได้เดินเข้าซอยเพื่อกราบสำนักสงฆ์หลังจากที่บิณฑบาตเสร็จแล้ว

 

กล้องตัวที่ 4 มี 2 มุม พบว่า เวลา 09.05.06 น. พระหัด (พระพ่อ) ได้เดินเข้าซอยเพื่อกลับสำนักสงฆ์หลังจากที่บิณฑบาตเสร็จ ซึ่งพบว่าพระหัด จะกลับสำนักสงฆ์หลังจากพระสุนย์ทรผู้เป็นลูกชายประมาณ 1 ชั่วโมง

 

เวลา 15.30 น. ที่ผ่านมา ตำรวจชุดสืบสวน ได้ควบคุมตัวนายสุนย์ทร ผู้ก่อเหตุ ออกจากห้องสืบสวน เพื่อมาเข้าห้องขัง จังหวะนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายสุนย์ทร เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ไปหัวเราะไปว่า “ล้านเปอร์เซ็นต์เลยครับ” ผู้สื่อข่าวถามกลับว่า “ล้านเปอร์เซ็นต์คืออะไรครับ” ผู้ต้องหาตอบว่า “ล้านเปอร์เซ็นต์คือทำครับ” ที่ตัวเองต้องก่อเหตุล้าน % เพราะโมโห ที่วันเกิดเหตุนั้นตัวเองกลับจากบิณฑบาตมาเหนื่อยๆ แล้วคนตายก็มาขอกับข้าวกิน และคนตายก็ไม่เคยช่วยงานอะไร เอาแต่ขอข้าววัด ตัวเองยืนยันว่าตัวเองก่อเหตุเพียงแค่คนเดียว

 

ซึ่งเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุนั้น ตัวเองได้มีปากเสียงและชกต่อยกับผู้เสียชีวิต ก่อนที่ตัวเองจะใช้ช้อนแทงที่บริเวณใบหน้าและศีรษะของผู้เสียชีวิต แล้วพูดเสียชีวิตก็ได้วิ่งหลบหนีตัวเองไปตกบ่อน้ำดังกล่าวจนเขาตาย ยืนยันว่าไม่มีใครมาช่วยตัวเองฆ่า

 

ส่วนที่มีกล้องวงจรปิดประมาณช่วงบ่ายวันที่ 14 มิถุนายน 2567 จับภาพตัวเองและนายสุนันท์ ลูกศิษย์วัด เดินผ่านบ้านผู้เสียชีวิตหลังจากที่ก่อเหตุแล้วนั้น ก็ยืนยันว่า แค่เดินผ่านบ้านคนตายไปเท่านั้น ส่วนนายสุนันท์ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

 

ตัวเองอยากขอโทษครอบครัวคนตายหลายๆ ขอโทษเยอะๆ ที่ตัวเองโกหกผู้สื่อข่าวมาตลอดเพราะตัวเองคิดว่าจะสามารถหนีความจริงได้ แต่สุดท้ายมันก็หนีความผิดไม่ได้

ช็อก! พระโหดถลกจีวรฆ่าพ่อเฒ่า อุ้มศพโยนน้ำอำพราง