"ไกรบุญ" ยันไม่เคยรับส่วย ยอมรับสั่งปลดตำรวจชุดน้ำมันเถื่อนจริงตามที่ปรากฏในแชตจ่ายส่วย
พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปนม.ตร. เปิดเผยความคืบหน้าการ ตรวจสอบดำเนินคดีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำ หายไปจาก ถ้าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบจังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.นั้น ได้รายงานความคืบหน้าทางคดีและการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้กับนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว และนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ยืนยันว่าตนเอง จะดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนอย่างถึงที่สุด และตนเองในฐานะที่ดูแลทั้งศูนย์ปราบน้ำมันเถื่อนฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจแห่งชาติ ขอใช้เป็นหลักประกันว่า จะไม่นำเรื่องนี้มาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ขอให้เชื่อมั่นในการทำงานว่าไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ และตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งก็จัดเก็บภาษีน้ำมันได้มากขึ้นกว่า 100% แสดงให้เห็นว่าน้ำมันเถื่อนลดลง
ส่วนการป้องกันการขนย้ายน้ำมันทางบก ได้เชิญผู้ประกอบการทั้งหมดมาหารือ โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ขอเอกสารตารางการเดินรถในทุกเส้นทาง เพื่อให้มีข้อมูลตั้งต้นว่ารถบรรทุกน้ำมันแต่ละคันเมื่อออกมาจากแท่นเติมน้ำมันแล้วจะมีน้ำมันจำนวนเท่าใดจะใช้เส้นทางอะไร โดยทุกคันจะต้องผ่านจุดชั่งน้ำหนักของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงจะรายงานมาที่ศูนย์ปราบปรามน้ำมันเถื่อนฯ เพื่อติดตามระยะทาง และปริมาณน้ำมัน ตลอดระยะทางการขนส่ง
พล.ต.อ.ไกรบุญ ยอมรับว่า ในส่วนของห้องแชทสนทนาที่เผยแพร่ออกมา ยอมรับว่าไม่ได้ดูรายละเอียดว่าเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับอะไร แต่ที่มีการอ้างว่าถูกตนเองสั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนบุคคลที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง ต้องรอการตรวจสอบจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว พร้อมยืนยันว่าการสั่งให้หยุดปฏิบัติงาน เพื่อที่จะให้ผู้ที่ทำงานจะต้องเป็นคนที่ตนไว้ใจ เพราะตนเน้นเรื่องใจซื่อมือสะอาด ขอย้ำว่าในยุคของตนเองจะต้องไม่มีเรื่องการทุจริต การเรียกรับผลประโยชน์เกิดขึ้น
พล.ต.อ.ไกรบุญ ยังกล่าวว่าสำหรับประเด็นที่ว่ากองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับตำรวจน้ำโดยตรง จะมีการสอบสวนให้เกิดความเที่ยงธรรมได้อย่างไรนั้น ขอให้เชื่อใจพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าจะสามารถทำกระบวนการสอบสวนให้เกิดความสุจริตและเป็นธรรมได้ หากไม่ได้รับความเป็นธรรมและพบว่าการสอบสวนไม่ตรงไปตรงมา
"ตนจะนำจเรตำรวจเข้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง และจะสั่งปลดหัวหน้า ชุดตรวจสอบรวมถึง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ และจะมอบหมายให้ จเรตำรวจเข้าไปจัดการแทน มองว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องเก็บกวาดบ้านเขา ขอให้เวลาให้เขาได้ทำงานก่อนไม่เช่นนั้นเราจะเข้าไปจัดการเอง" พล.ต.อ.ไกรบุญ ระบุ
พล.ต.อ.ไกรบุญ กล่าวอีกว่า ส่วนข้อสังเกตอัยการที่มองว่าการจับกุมน้ำมันตั้งแต่ครั้งแรกเป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ตนมั่นใจในพยานหลักฐานมาก เพราะได้เห็นหลักฐานทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นจะสามารถตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดได้แน่นอน การเห็นแย้งกันถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะทำให้ตำรวจทำงานได้อย่างรอบคอบขึ้น เพื่อจะได้หาพยานหลักฐานมาตอบทุกข้อสงสัย มั่นใจสามารถติดตาม ผู้ต้องหาแม้อยู่ต่างประเทศก็ตาม
ส่วนการติดตามเส้นทางเรือขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า “เคนาย” (k9) ที่รับขนถ่ายน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลางทั้งสามลำนั้น ยอมรับว่าไม่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเรืออยู่ที่ไหน ส่วนตัวเชื่อว่าตอนนี้เรือไม่ได้อยู่ในน่านน้ำไทยและอยู่ไกลมาก ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสืบสวนและการขยายผล และจะกวาดล้างให้หมด
พล.ต.อ.ไกรบุญ ยังกล่าวถึงกรณี นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ฝากให้ตรวจสอบ รอง ผกก.ตำรวจน้ำ ส. เอี่ยวค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่อีกเคส และพบเรือต้องสงสัยชื่อเฟื่องฟ้าจอดอยู่น่านน้ำแม่น้ำปากพนัง 3 ลำ ว่าเรื่องดังกล่าวตนเองทราบแล้วและทาง สส.ชัยชนะ ก็ประสานข้อมูลมาทางตนเช่นกันโดยเรื่องที่ปากพนังทีมตำรวจกองปราบปรามได้กดดันมากว่า 1เดือนแล้ว และมีการตรวจเรือที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนได้ข้อมูลมาหมดแล้ว และตอนนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ยืนยันว่ากลุ่มดังกล่าวไม่มีว่าใหญ่ระดับไหน เพราะไม่มีใครใหญ่กว่ากฎหมายใครทำผิดก็จับกุมหมด ตนเองในฐานะที่คุม ศปนม.ตร. ก็เอาสมาคมชาวประมงมานั่งเป็นกรรมการและให้ข้อมูลตำรวจมีการเปิดรับข้อมูลมากขึ้น พร้อมยอมรับว่าหลังจากที่มีการจับกุมตัวการใหญ่ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทำให้การลักลอบกระทำความผิดลดลง อีกทั้งปีนี้ตนเองให้งบประมาณเชื่อเพลิงกับตำรวจน้ำเพื่อให้ออกลาดตระเวนและป้องกันมากขึ้น จึงมั่นใจว่าให้แล้วจะต้องมีผลงานจับกุมได้เป็นตัวชี้วัดที่ตามมา