ความคืบหน้าทางคดีน้องอลิส วันนี้ (21 มิ.ย. 2567) เมื่อเวลา 10.12 น. ทางตำรวจได้ขอให้พ่อกับแม่ของน้องอลิส เก็บรองเท้าของน้องอลิส ทั้งหมด 4 คู่ไปให้ตำรวจที่โรงพัก ซึ่งเมื่อถึงหน้าโรงพัก ทางตำรวจชุดสืบสวนได้มีการเชิญพ่อกับแม่รวมถึงย่าของน้องอลิส ถือรองเท้าเข้าไปในห้องสืบสวน และไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปบันทึกภาพและไม่ยอมบอกรายละเอียดว่าที่ให้เอารองเท้ามาตรวจสอบเพื่อจุดประสงค์อะไร จากนั้นทางตำรวจก็ได้แยกสอบปากคำทีละคนโดยการสอบปากคำแม่ของน้องอลิส เป็นคนแรก




ขณะเดียวกันบรรยากาศที่หน้าห้องสืบ สภ.ยางชุมน้อย ตอนที่ทีมข่าวไปถึงพบว่า พ่อและย่าของน้องอลิส มีการนั่งรออยู่ที่ข้างห้องสืบ ส่วนที่หน้าห้องสืบก็มีตำรวจเดินเข้าเดินออกและมีบางช่วงบางตอนที่ถือน้ำเข้าไปภายในห้องสืบสวน นายปริญญา พ่อของน้องอลิส บอกว่า ก่อนที่จะเดินทางมาที่โรงพัก ตำรวจได้โทรศัพท์ไปบอกว่าให้เก็บรองเท้าของน้องอลิส ทั้งหมดมาด้วยโดยแจ้งว่าจะนำรองเท้ามาวัดขนาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตำรวจไปพบรอยเท้าเด็กในที่เกิดเหตุหรือไม่


จากนั้นเมื่อเวลา 13.00 น. ทางชุดสืบสวนของ สภ.ยางชุมน้อย ก็มีการขับรถเข้ามาจอดที่ข้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เกิดเหตุ ซึ่งเมื่อลงจากรถ ทางตำรวจชุดสืบมีการถือตลับเมตรม้วนกลมขนาดวัดระยะสุดที่ครั้งละ 100 เมตร ลงไปวัดระยะทางอีกครั้ง ซึ่งตามข้อมูลก่อนหน้านี้ ทางตำรวจเคยใช้นาฬิกาเดินวัดระยะจากบันไดไปถึงจุดที่พบศพแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งตามข้อมูลครั้งแรกในการวัดผ่านนาฬิกา ตำรวจวัดระยะได้ 470 เมตร


แต่วันนี้ในการวัดระยะ ตำรวจได้เริ่มวัดจากรั้วที่สงสัยว่าเด็กจะปีนออกไป ซึ่งจากรั้วไปถึงบันได ตำรวจวัดได้ 12 เมตร และจากบันไดไปถึงถนนก่อนจะข้ามท่อปูน ตำรวจวัดระยะได้ 27 เมตร และจากขอบถนนไปยังท่อปูนที่เด็กจำลองว่าเดินข้ามไป ตำรวจวัดระยะได้ 22 เมตร ส่วนด่านสุดท้าย เมื่อพ้นขอบปูนไปแล้ว ทางตำรวจได้เริ่มวัดระยะจากขอบหน้าไปถึงปลายนาได้ 137 เมตร และเมื่อพ้นปลายนาไปยังจุดที่พบผ้าอ้อมสำเร็จรูปกับรองเท้า ทางตำรวจวัดระยะได้ 335 เมตร




และสุดท้ายจากจุดที่พบผ้าอ้อมสำเร็จรูป ไปถึงจุดที่พบศพน้องอลิส ตำรวจวัดระยะได้ 13 เมตร แต่การคำนวนการยืดหยุ่นของตลับเมตร ตำรวจได้เผื่อระยะเอาไว้ทั้งหมดประมาณ 580 เมตร และถ้าหากวัดตั้งแต่ประตูทางเข้าห้องเรียนไปถึงรั้ว ตำรวจวัดได้เพิ่มอีก 20 เมตรเท่ากับถ้าน้องอลิส เดินจากห้องเรียนไปถึงจุดพบศพมีระยะทางรวมประมาณ 600 เมตร แต่ถ้าน้องอลิส วัดเดินจากรั้วไปถึงจุดพบศพวัดระยะได้ 580 เมตร


นอกจากนี้หลังจากการวัดระยะ ตำรวจชุดสืบสวนยังเดินลงไปในน้ำเพื่อวัดระดับน้ำ โดยตำรวจที่ลงไปยังมีการทำท่าทางนอนหงายท้องอยู่ในน้ำในลักษณะตอนที่พบศพน้องอลิส จากนั้นได้มีการยืนวัดระดับน้ำ จนกระทั่งเมื่อได้ระดับแล้วว่าน้ำอยู่ตรงส่วนไหนของตำรวจที่ลงไปสำรวจ ตำรวจอีกชุดที่อยู่ด้านบนก็ได้มีการให้ตำรวจคนที่ลงไปในน้ำนอนลงกับพื้นและก็มีการวัดระดับน้ำจากตัวตำรวจคนดังกล่าวจนได้ระดับน้ำ 1 เมตร 20 เซนติเมตร


ขณะเดียวกันในพื้นที่เกิดเหตุ วันนี้ทางชาวบ้านและญาติ ๆ ของน้องอลิส ได้มีการไปตรวจสอบบ่อน้ำที่พบศพอีกครั้ง ซึ่งบรรยากาศที่บ่อน้ำตอนที่ทีมข่าวไปถึง พบว่ามีชาวบ้านหนึ่งคนก็คือนายบุญหนา อายุ 37 ปี ได้ลงไปในบ่อน้ำตรงจุดพบศพอีกครั้ง ซึ่งในขณะที่ลงไปอยู่ในนั้น ทีมข่าวก็ได้ให้นายบุญหนาเดินให้ดูและมุดน้ำให้ดูเพื่อทดสอบว่า ดินใต้น้ำจะติดที่เท้าขึ้นมาหรือไม่ ซึ่งขณะที่นายบุญหนาโชว์เท้าขึ้นมาให้ดู ปรากฏว่าไม่มีดินติดที่เท้าและที่เล็บ และขณะที่มุดน้ำลงไปหยิบดินใต้น้ำ ก็มีเพียงเศษใบไม้และก้านไม้ติดมือขึ้นมาเท่านั้น




โดยนายบุญหนา บอกกับทีมข่าวว่า วันนี้ลงไปในน้ำเป็นเพราะว่าญาติของน้องอลิส อยากจะรู้ว่าใต้น้ำเป็นดินแบบไหน ซึ่งจากการที่ลงไปตรวจสอบพบว่า ดินใต้น้ำตรงจุดเกิดเหตุเป็นดินแข็งไม่มีโคลนและมีแต่ใบไม้กิ่งไม้ที่อยู่เหนือพื้นดินใต้น้ำ ส่วนสภาพน้ำ เป็นน้ำสีขุ่น ๆ เหมือนกับวันที่เจอศพน้องอลิส ซึ่งจุดดังกล่าว ยอมรับว่าตนเองเคยเข้ามาบ่อย และยืนยันว่า ไม่เคยเห็นชายชุดดำหรือคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้กับจุดเกิดเหตุหรือเข้าไปใกล้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งส่วนตัวยอมรับว่าเคยเดินเข้าไปใกล้ ๆ และเมื่อเด็กเห็นคนตนเองที่เป็นคนในพื้นที่แท้ๆ เด็กๆก็ยังมีความหวาดกลัวและไม่ยอมเข้ามาใกล้แม้แต่ครั้งเดียว


ส่วนประเด็นชายชุดดำที่เข้าไปอุ้มเด็กในวันเกิดเหตุ ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ก็ไปไขความจริงจนเจอ ซึ่งบุคคลดังกล่าวใส่เสื้อสีดำคลุมหัวเข้าไปอุ้มเด็กออกมาจริง ๆ ซึ่งบุคคลนั้นก็คือตาของน้องโมเดล ที่ไปอุ้มหลานออกมา หลังครูแจ้งมาว่าน้องโมเดลป่วย ตามข้อมูลที่ทีมข่าวเคยสัมภาษณ์ยายของน้องโมเดล คุณตาได้เข้าไปอุ้มน้องโมเดล ออกมาในเวลาประมาณ 12.30 น. ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะมีการออกตามหาน้องอลิส ไม่เกิน 10 นาที และตามข้อมูล น้องอลิส น้องโมเดล และน้องปันปัน มีลักษณะรูปร่างใกล้เคียงกัน




ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปเจอกับ นายบุญทวี อายุ 54 ปี ซึ่งเป็นตาของน้องโมเดล ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นชายปริศนาเข้าไปอุ้มเด็กออกมาในวันเกิดเหตุ เปิดใจกับทีมข่าวว่า วันเกิดเหตุตนเองใส่เสื้อสีดำตัวที่โชว์ให้ทีมข่าวดูเข้าไปอุ้มหลานออกมาจริง ๆ ซึ่งวันนั้นเท่าที่จำได้ ประมาณเที่ยงกว่า ๆ ในขณะที่ตนเองกำลังเอาวัวไปกินน้ำอยู่ในทุ่กนา ก่อนจะเข้าไปรับหลาน ลูกสาวได้โทรศัพท์มาบอกว่าน้องโมเดล ป่วยและทางครูแจ้งมาทางไลน์ว่าให้ไปรับกลับบ้าน ด้วยความตกใจกลัวว่าหลานจะเป็นอะไรมาก ก็เลยรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปรับหลานในชุดที่ใส่อยู่คือเสื้อแขนยาวสีดำแต่จำไม่ได้ว่าสวมไอ้โม่งเข้าไปด้วยหรือไม่


ซึ่งวินาทีที่เข้าไปถึงตนเองเห็นน้องโมเดล นอนเล่นอยู่กับเพื่อน ๆ ของเขา แต่ไม่ได้สังเกตว่าน้องอลิสอยู่ตรงไหน โดยภายในห้องนอกจากเห็นเด็ก ๆ นอนอยู่ ก็ยังเห็นครูทั้ง 3 คนอยู่ในห้องเรียนครบทุกคน และยังมองไปเห็นแม่ครัวนั่งอยู่ตรงห้องครัว ซึ่งยืนยันว่าเหตุการณ์ตอนนั้นยังสงบ และยังไม่มีการตามหาน้องอลิส




จากนั้นเมื่อตนเองเดินเข้าไปหาหลานก็เห็นครูปูเป้ บอกว่า โมเดลลุกขึ้นตามารับแล้ว จากนั้นตนเองก็เข้าไปอุ้มน้องโมเดล ออกมา ซึ่งตอนที่เข้าไปอุ้มมีเด็กคนหนึ่งมองมาที่ตนเอง แต่จำไม่ได้ว่าใช่ลูกของครูปูเป้หรือไม่ ยืนยันวันเกิดเหตุชายปริศนาใส่ชุดดำเข้าไปอุ้มเด็กออกมา มีตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้น


ขณะเดียวกันวันนี้ นอกจากจะได้คุยกับตาของน้องโมเดล ทีมข่าวยังขออนุญาตลองอุ้มน้องโมเดล เพื่อทดสอบว่าเด็กจะร้องไห้หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าขณะที่ทีมข่าวเข้าไปอุ้มน้องโมเดล ก็ร้องไห้ขึ้นมาทันที


ขณะเดียวกันประเด็นที่ลูกครูปูเป้ เห็นชายชุดดำเข้าไปอุ้มเด็กและเห็นชายปริศนาปั่นจักรยานเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งชายที่ปั่นจักรยานตามข้อมูลของชาวบ้าน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นก็คือ ตาสมบูรณ์ ส่วนชายชุดดำที่เข้าไปอุ้มเด็กในวันเกิดเหตุ ก็มีเพียงคนเดียวคือ ตาของน้องโมเดล


ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ไปเจอกับชายปริศนาที่ปั่นจักรยานในหมู่บ้านแล้ว ก็คือนายสมบูรณ์ อายุ 77 ปี ซึ่งตอนที่ทีมข่าวไปถึงที่บ้านก็ถามคำแรกกับตาสมบูรณ์ ว่าตา ๆ รถจักรยานอยู่ไหน ซึ่งตาสมบูรณ์ก็ตะโกนบอกกับทีมข่าวว่า ตาเอารถจักรยานไปซ่อมได้ 2 วันแล้ว




ตาสมบูรณ์ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตาเป็นคนเดียวที่ปั่นจักรยานอยู่ในหมู่บ้านจริง ซึ่งตามีอาชีพเก็บรากของต้นหญ้าคามาสานทำหลังคาขายให้กับชาวบ้าน โดยถ้ารถจักรยานของตาไม่เสีย ชีวิตประจำวันของตาก็จะปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ตาเอารถไปซ่อมได้ 2-3 วันแล้ว


จากนั้นทีมข่าวก็ถามเข้าประเด็นว่า ในวันที่น้องอลิสหายตัว ตาสมบูรณ์ได้ปั่นจักรยานไปใกล้ที่เกิดเหตุหรือไม่ ซึ่งตาสมบูรณ์ ยืนยันกับทีมข่าวว่า วันนั้นไม่ได้ปั่นจักรยานไป ที่ผ่านมาไม่เคยปั่นจักรยานเข้าไปใกล้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก แต่ก่อนเกิดเหตุเคยปั่นจักรยานเข้าไปเก็บหญ้าตามทุ่งนาแถวนั้นจริง แต่ไม่เคยปั่นเข้าไปใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และก็ไม่เคยเข้าไปอุ้มเด็กหรือเล่นกับเด็ก ยืนยันความบริสุทธิ์ใจถ้าตำรวจจะเรียกไปสอบก็พร้อมเสมอ


ขณะเดียวกันหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ วันนี้ตาสมบูรณ์ยังออกมาเดินตามถนนในหมู่บ้านให้ทีมข่าวดู ว่าขนาดเดินยังเดินไปสะดวกเพราะขาใส่เหล็กแล้วจะมีปัญญาไปอุ้มเด็กได้ยังไง




จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับครูน้อย โดยครูน้อยบอกกับทีมข่าวว่า ที่พยายามหลบสี่อเป็นเพราะว่าทางรองผู้กำกับสั่งไว้ว่าไม่ต้องไปพูดอะไรแล้ว เพราะมันจะกระทบกับรูปคดี ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านบอกว่าครูพยายามปั่นประเด็นเรื่องที่ลูกครูปูเป้ขึ้นมา เรื่องดังกล่าวครูน้อยก็รู้พร้อมกับสื่อ ส่วนเรื่องที่วันเกิดเหตุ เห็นตาของน้องโมเดลเข้าไปอุ้มน้องโมเดลออกมาหรือไม่ ยอมรับว่าเห็นตาโมเดลขี่รถเข้ามา แต่ไม่เห็นตอนที่เข้าไปอุ้มน้องโมเดลออกมา เนื่องจากตัวครูน้อยยืนอยู่ข้างนอก ขณะเรื่องที่ชาวบ้านสันนิษฐานกันว่า น้องอลิสหัวทิ่มถังและครูไม่เห็นหรือปิดบังอะไรหรือไม่ เรื่องดังกล่าวครูน้อย ยืนยันว่าครูพูดไปตามความจริง ซึ่งตอนนี้ยอมรับว่าเครียด จนต้องให้หมอมาเช็กอาการที่บ้านทุกวัน


ขณะที่วัดบ้านค้อ ต.คอนกาม อ.ยางชุมน้อย นายสฤษดิ์ รัตนวงษ์ นายอำเภอยางชุมน้อย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในอำเภอ และชาวบ้านในพื้นที่มาร่วมทำบุญใส่บาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง ข้าวสุก อาหารปรุงสุก เพื่อร่วมกันทำบุญถวายแด่พระคุณเจ้า ทั้งจากวัดบ้านค้อ และวัดป่ามณีศรีชมพู เป็นการทำบุญให้กับศูนย์เด็ก อุทิศส่วนบุญกุศลให้มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ซึ่งต่างก็ขอให้ความจริงกระจ่างโดยเร็ว




โดยทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางบูร ที่มีหลานเรียนที่ศูนย์เด็กเล็กดังกล่าว ได้ให้ความเห็นกรณีครูหนุ่ย ระบุมีชายชุดดำมาอุ้มน้องอลิสไป ว่า ตนเองก็ยังยืนยันว่าหากศูนย์เด็กมีการปรับปรุง มีรั้วรอบขอบชิดที่แน่นหนา ดูแลปลอดภัย สามารถควบคุมเด็กให้อยู่แต่ในศูนย์ได้ มีการดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ปล่อยปะละเลยเช่นที่ผ่านมา ก็จะยอมเอาหลานไปเข้าเรียนที่ศูนย์ต่อ ส่วนเรื่องที่ครูหนุ่ย ออกมาระบุว่า มี่คนโทร. มาบอกว่ามีคนเห็นน้องอลิสออกไปด้านหลัง ก่อนมีชายชุดดำปั่นรถจักรยานมาอุ้มน้องอลิสไป ก่อนไปพบจมน้ำตาย ตนว่า เคยมีครูพูดกับเด็กในศูนย์มาตลอด เพื่อเป็นการหลอกเด็ก ๆ ว่า “ลูก ๆ อย่าแอบไปเล่นด้านหลังศูนย์ อย่าเดินไปตรงถนนนะ ระวังมีชายแบกถุงดำมาจับเด็กเอาไปนะ” แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่


ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายปริญญา พ่อของน้องอลิส บอกว่า ส่วนการสอบปากคำตำรวจแจ้งมาว่า จะแยกสอบพ่อแม่และย่าทีละคน ส่วนประเด็นเรื่องชายชุดดำและชายปั่นจักรยาน ทางตำรวจแจ้งว่าเด็กเป็นคนพูด ซึ่งตัวพ่อกับแม่ยังไงก็ไม่เชื่อ เพราะถ้ามีการเข้าไปอุ้มจริง ยังไงครูก็ต้องเห็นและต้องได้ยินเสียงน้องอลิสร้องไห้ เนื่องจากน้องอลิสกลัวคนแปลกหน้า ที่สำคัญถ้ามีคนแปลกหน้าปั่นจักรยานมารับ ยังไงน้องอลิสก็ไม่มีทางไปด้วย และถ้ามีคนปั่นจักรยานเข้ามาจริง ๆ ยังไงครูกับพระในวัดก็ต้องเห็น




ส่วนประเด็นที่ครูปล่อยข่าวออกมาอีกเรื่องว่าน้องอลิส เคยพูดว่าโตขึ้นอยากเป็นผี ในเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง เพราะคำพูดดังกล่าวน้องอลิส เคยพูดเล่นกับตัวพ่อเอง ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านสันนิษฐานว่า เด็กที่เอาข้อมูลไปพูดให้เจ้าหน้าที่ฟังเป็นการสอนเด็กให้ท่องจำไปก่อน ในเรื่องดังกล่าว ส่วนตัวพ่อก็คิดเหมือนชาวบ้านเช่นเดียวกัน


อย่างไรก็ตาม ถ้าตำรวจจะปิดคดีโดยบอกว่าน้องอลิส เดินไปจมน้ำตายเอง ยืนยันว่ายังไงพ่อก็ไม่เชื่อ ซึ่งความเป็นไปได้ที่สุด ตัวพ่อเองคิดเหมือนชาวบ้านว่า วันเกิดเหตุครูน่าจะปล่อยให้น้องอลิส ไปล้างมือแล้วหัวทิ่งลงไปตาย พอครูไปเห็นแล้วกลัวความผิดก็เลยเอาศพไปทิ้ง และที่สำคัญตัวครูน้อย ก็มีพิรุธตั้งแต่วันแรก ที่ทำไมถึงไลน์แจ้งผู้ปกครอง ทำไมถึงไม่ขี่รถออกมาบอกทั้ง ๆ ที่บ้านของเด็กก็อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ซึ่งวันนี้ส่วนตัวพ่ออยากจะให้ครูทั้ง 3 คนพูดความจริง เพราะถ้าลูกหัวทิ่งถังน้ำตายเอง ยังไงครอบครัวก็ไม่เอาผิดครูที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ถ้าตายแล้วเอาศพไปทิ้ง ยังไงทางครอบครัวก็รับไม่ได้




นอกจากนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว โดยระหว่างที่ทีมข่าวไปนั่งกินข้าวในหมู่บ้านที่เกิดเหตุ ก็แอบฟังว่าชาวบ้านคุยถึงเรื่องน้องอลิส โดยชาวบ้านคุยกันจับใจความได้ประมาณว่า กลุ่มชาวบ้านที่ไม่พอใจการทำงานของครูทั้ง 3 คน เขาเชื่อกันว่า ประเด็นที่ครูบางคนพยายามปั่นว่าน้องอลิส เป็นคนถือรองเท้าไปเองมันเป็นไปไม่ได้ และชาวบ้านก็เชื่อว่าเด็กที่ให้การกับนักจิตวิทยาก็คือลูกของครูปูเป้ ถูกครูเป้เป่าหูและสอนให้ท่องจำไปพูดให้เจ้าหน้าที่ฟัง


นอกจากนี้ชาวบ้านยังเชื่อว่าวันเกิดเหตุ ครูน่าจะปล่อยให้น้องอลิส ไปเล่นน้ำก๊อกแล้วหัวทิ่มไปจนเสียชีวิต และหลังจากเสียชีวิตไปแล้วครูทำอะไรไม่ถูก ก็เลยอุ้มเด็กไปโยนทิ้งแต่ลืมคิดไปว่าน้ำตรงนั้นเป็นน้ำโคลน และตอนที่หยิบรองเท้าไปด้วยดันหยิบรองเท้าที่ไม่ใช่ของน้องอลิสไปวาง


ขณะเดียวกันหลังจากชาวบ้านคุยกันจบ ก่อนจะแยกย้าย ทีมข่าวก็เลยไปถามนางแจ๋ว (นามสมมติ) อายุ 44 ปี เป็นชาวบ้านในพื้นที่ ที่รู้จักกับครูทุกคนเป็นอย่างดี เปิดเผยว่า ที่นั่งพูดกับชาวบ้านเป็นการสันนิษฐานจากความเป็นจริงเพราะชาวบ้านทุกคนสงสัยว่าวันเกิดเหตุ คุณครูไล่ให้เด็ก ๆ ไปล้างมือแล้วน้องอลิสดันหัวทิ่มลงไปตายในถังน้ำหรือไม่ และที่มันต้องคิดแบบนั้นก็เป็นเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับหลานที่บ้าน ซึ่งวันเกิดเหตุถ้าสมมติว่าน้องอลิสไปล้างมือแล้วไม่มีคนเห็นตอนหัวทิ่ม และบังเอิญที่ตอนครูเช็กยอดเด็กเข้านอนเดินไปเห็นน้องอลิสตายอยู่ในถังน้ำ ก็สันนิษฐานได้ว่าครูจะกลัวความผิดโดยนำร่างของน้องอลิส ไปโยนทิ้งในบ่อน้ำที่พบศพ ซึ่งสิ่งชาวบ้านสันนิษฐานกัน มันก็สอดคล้องกับหลังฐานที่ผลชันสูตรไม่พบโคลน หรือน้ำขุ่นในปอดของน้องอลิส




ยิ่งไปกว่านั้นประเด็นเรื่องรองเท้า ส่วนตัวเชื่อว่ายังไงเด็กก็ไม่มีทางคิดซับซ้อนเอารองเท้าไปวางได้แบบนั้น เพราะเด็กที่ตกน้ำยังไงมันก็ไม่ถอดรองเท้า และก็เชื่อว่ารองเท้าที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นรองเท้าที่ครูรีบหยิบไปจนจำลองเท้าของน้องอลิสผิดคู่ และที่สำคัญถ้าเด็กมันจะเล่นน้ำจริง ๆ ทำไมมันต้องเดินไปเล่นไกลขนาดนั้น


ส่วนประเด็นเรื่องชายคนดำกับคนปั่นจักรยาน ตนเองเชื่อว่าเป็นการปั่นกระแสของครูเพื่อเบี่ยงประเด็นไปให้พ้นตัว เพราะในฐานะที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่ ไม่เคยเห็นชายชุดดำแปลกหน้าเข้ามาใกล้กับที่เกิดเหตุ ส่วนคนที่ปั่นจักรยานในหมู่บ้านมีคนเดียวเท่านั้นก็คือตาสมบูรณ์ และก็เป็นไปไม่ได้ที่ตาสมบูรณ์จะปั่นจักรยานไปอุ้มเด็ก เนื่องจากตาสมบูรณ์อายุมากแล้วถ้าจะอุ้มเด็กเดินไปไกล ๆ ส่วนตัวคิดว่าตาสมบูรณ์คงจะตายก่อนที่ไปถึงจุดเกิดเหตุ และที่สำคัญถ้าเด็กเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาอุ้มน้องอลิส ทำไมครูถึงไม่เห็นและความเป็นจริงถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามาอุ้มเด็ก ยังไงเด็กก็ต้องส่งเสียงร้อง และถ้าส่งเสียงร้องยังไงครูก็ต้องได้ยิน ที่สำคัญเท่าที่ได้เจอกับน้องอลิส ตัวน้องเองเป็นคนไม่เข้าหาคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ญาติตัวเอง และที่ลูกของครูปูเป้ เพิ่งจะพูดประเด็นเห็นคนอุ้มน้องอลิส ชาวบ้านเชื่อกันว่า อาจจะมีการซ้อมให้เด็กพูดและท่องจำก่อนที่จะนำตัวเด็กไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่


อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นชาวบ้านและมีความผูกพันกับครู ก็อยากจะให้ครูออกมาพูดความจริง ซึ่งถ้ายอมรับตั้งแต่วันนี้ว่าเป็นอย่างที่ชาวบ้านคิด ตอนนี้ชาวบ้านยังให้อภัยได้ แต่ถ้าไปรับสารภาพหรือไม่พูดความจริงทีหลัง พวกคุณครูทั้งหลายจะไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งตัวครูน้อยที่เป็นคนในหมู่บ้าน แต่ก่อนใครเจอก็ยกมือไหว้ แต่หลังเกิดเหตุแค่มองชาวบ้านยังไม่อยากจะมองเลย และวันเกิดเหตุตัวครูน้อยก็มีพิรุธที่สุด เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าการที่ลงไลน์กลุ่มให้ช่วยตามหาเด็ก ถ้าครูน้อยคิดได้จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องลงไลน์กลุ่ม แต่ครูน้อยด้วยความที่เป็นคนในพื้นที่ ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปตามผู้ใหญ่ให้ช่วยตามหาดีกว่าไหม และทำไมวันเกิดเหตุครูถึงบังเอิญเดินไปเจอน้องอลิส ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึงและตอนที่เจอมันก็เจอเร็วเกินไป




นอกจากนี้ทีมข่าวได้รับแชตไลน์กลุ่มผู้ปกครองพูดคุยกับครูศูนย์เด็ก โดยทางผู้ปกครองแจ้งกับครูว่า น้องออนิวส์เดินถือกระเป๋ามาถึงทางถนนพระใหญ่เลยนะ พอดีทางผู้ปกครองขี่รถผ่านไปเห็นพอดี ฝากคุณครูช่วยดูแลเด็กให้ดีกว่านี้ แต่ปรากฏว่าทางฝั่งคุณครูกลับตอบกลับมาว่า "ค่ะ คุณครูดูน้องอยู่ค่ะ ว่าจะเดินไปถึงไหน"


ทีมข่าวได้เดินทางไปพูดคุยกับย่าของ “น้องออนิวส์” เกี่ยวกับประเด็นเด็กเดินได้ถึงถนน ว่า วันเปิดเทอมวันที่ 16 พ.ค. พาน้องไปส่งโรงเรียน จากนั้นเวลา 4 โมงกว่า ตาของน้องไปประชุมที่ศาลาวัด ปรากฏว่าเห็นหลานตัวเองคือ “น้องออนิวส์” เดินออกมาจากศูนย์มายังถนนใหญ่ จึงรีบไลน์บอกคุณครูให้มารับหลาน แต่ทางฝั่งครูดันตอบกลับมาว่า “กินข้าวก่อนเดี๋ยวมารับ” ตนเองเลยอ้าวทำไมครูไม่รับผิดชอบ ไม่รีบมารับเด็ก




อีกทั้ง “น้องออนิวส์” เลยเล่าให้ตนฟังว่า ตัวน้องเคยหนีออกจากศูนย์มาแล้วถึง 4 รอบ และครั้งล่าสุดที่หลานหนีออกมาคือวันที่ 12 มิ.ย. (2 วันก่อนน้องอลิสเสียชีวิต) เวลา 8 โมง ตนแวะไปบ้านผู้ใหญ่บ้านพอเสร็จธุระก็ขี่รถกลับมาและระหว่างทางที่ขี่ไปถึงหน้าวัดก็คิดในใจว่า ถ้ามีลูกหลานตัวเองเดินออกมาจะเห็นไหม ทันใดนั้นพอหันไปที่ประตูวัดดันเจอหลานตัวเองจริง ๆ เดินหิ้วกระเป๋ามาถึงหน้าองค์วัดพระใหญ่พอดี ซึ่งระยะทางจากวัดและศูนย์เด็กก็ห่างกันพอสมควร จึงคิดว่าเหตุใดครูถึงปล่อยเด็กออกมาไกลขนาดนี้ ตนเลยชะลอรถดู จากนั้นสักพักก็เห็นครูน้องวิ่งมารับตัวหลานของตนไป




ขณะเดียวกันบรรยากาศที่บ้านงานศพของน้องอลิส ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่จะนำศพไปฝังที่วัดป่าในวันพรุ่งนี้ ยังมีชาวบ้านมาร่วมฟังพระสวดมาติกา กันเป็นจำนวนมาก ส่วนคุณครูที่มาร่วมฟังสวดมาติกาเป็นในคืนสุดท้าย วันนี้มากันครบทั้ง 3 คน พร้อมกับแม่ครัวอีก 1 คนรวมเป็น 4 คน ซึ่งบรรยากาศในงานครูและแม่ครัว มีการนั่งใกล้ชิดกัน


โดยหลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาลา ขณะที่ครูหนุ่ย เดินออกมาจากงานทีมข่าวก็เข้าไปสัมภาษณ์อีกครั้ง ซึ่งครูหนุ่ยตอบว่าไม่ได้เครียด เรื่องเมื่อเย็นที่พูดกับนักข่าวไปจำไม่ได้แล้ว แต่ตอนที่ขี่รถหนี ครูก็บอกไปแล้วว่าให้สัมภาษณ์ไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องงานศพน้องอลิส ยืนยันพรุ่งนี้จะเดินทางไปร่วมฝังน้องอลิสที่วัดป่า




ส่วนประเด็นเรื่องลูกครูปูเป้ ก็เป็นไปตามที่ครูปูเป้ให้ข้อมูลไปกับตำรวจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวตัวครูเองไม่เคยได้ยิน ส่วนเรื่องใครเจอศพอยู่ในสำนวนที่คนเจอให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้ว ส่วนประเด็นเรื่องที่ชาวบ้านพูดกันว่า ครูหนุ่ยเคยขังน้องโชกุน เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เรื่องดังกล่าวใครเป็นคนพูด ถ้ามีหลักฐานให้คนคนนั้นมายืนยัน และมีสาเหตุอะไรที่ครูต้องไปขังเด็ก ซึ่งครูก็มีจรรยาบรรณของความเป็นครู


ด้านครูปูเป้ ก่อนจะกลับก็บอกกับทีมข่าวว่า ขอความเป็นส่วนตัว วันนี้ให้สัมภาษณ์กับช่องหนึ่งไปหมดแล้ว และยังยืนยันคำพูดเหมือนเดิมที่ให้ข้อมูลกับตำรวจไปเรื่องที่ลูกเห็น และยืนยันว่าไม่ได้ปั่นตามที่ถูกชาวบ้านกล่าวหา

 

ช่อง 8 เจอแล้ว! ชายชุดดำถูกลืออุ้ม "น้องอลิส" พ่อเชื่อลูกจมน้ำตายในศูนย์