จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่าเกิดเหตุการณ์เจ้าของสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ใช้อาวุธปืนยิงใส่พนักงานที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทางร้าน จนเสียชีวิต ก่อนจะมีการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจและยืนรอมอบตัว ซึ่งผู้ก่อเหตุในครั้งนี้คือ นายธวัชชัย หรือ เสี่ยต้น อายุ 40 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตคือ นายณัฐพล อายุ 23 ปี


ขณะที่การสอบปากคำเบื้องต้น ตัวนายธวัชชัย ยังคงให้การในลักษณะของการเกิดอุบัติเหตุอาวุธปืนลั่น โดยโดยสาเหตุของการเกิดเหตุมาจากการที่เรียกผู้ตายเข้าไปตำหนิเรื่องการทำงาน ทั้งเรื่องการแต่งตัว เรื่องการทำงาน และเรื่องการยุ่งเกี่ยวกับพนักงานผู้หญิงภายในร้าน ทำให้ผู้ตายเกิดความไม่พอใจ ชักอาวุธปืนขึ้นมา ทำให้ผู้ก่อเหตุต้องเข้าไปแย่งอาวุธปืน และเกิดปืนลั่นขึ้น 1 นัด ด้วยความตกใจจึงนำอาวุธปืนไปทิ้งที่คลองแห่งหนึ่งไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ ก่อนจะกลับบ้านและตั้งสติก่อนติดต่อตำรวจเพื่อมอบตัว ส่วนศพของผู้เสียชีวิตก็ยังอยู่ในจุดเกิดเหตุไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายไปที่ใด โดยตำรวจได้รับแจ้งในช่วงเย็นของวันที่ 20 มิถุนายน จึงเข้าตรวจสอบและนำร่างผู้เสียชีวิตส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ




เบื้องต้นทางตำรวจไม่ปักใจเชื่อจากคำให้การของผู้ก่อเหตุ จึงมีการแจ้งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องและเข้าข่ายความผิดทั้งหมดเอาไว้ก่อน ส่วนคำให้การเป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องหาสามารถให้การได้


วันนี้ (21 มิ.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยได้เดินทางไปที่ร้านที่เกิดเหตุ โดยพบว่าหลังเกิดเหตุร้านดังกล่าวยังคงปิดให้บริการ และมีแนวเส้นโพลีสลายกันพื้นที่บริเวณประตูเข้าออกเอาไว้ โดยดังกล่าวทราบภายหลังว่าเป็นร้านคาราโอเกะกึ่งร้านอาหาร


เบื้องต้น ทีมข่าวทราบรายงานข้อมูลจากชุดสืบสวนว่า วันที่เสี่ยต้นมีการก่อเหตุยิงนายณัฐพล เป็นช่วงเวลาประมาณก่อน 02.30 น. ของวันที่ 20 มิ.ย. และหลังจากที่มีการก่อเหตุยิงแล้วได้มีการเรียกพวกรวมถึงคนใกล้ชิด (คาดเป็นเมีย) เดินทางมาที่ร้าน เพื่อที่จะมีการเก็บของขึ้นรถ และพากันเดินทางออกจากร้าน แต่พบว่าภายในห้องส่วนของสำนักงานที่มีการยิงกัน ได้มีการเปิดเครื่องปรับอากาศ และปล่อยให้ร่างของนายณัฐพลนอนอยู่ภายในออฟฟิศ ช่วงค่ำวันเดียวกัน 20 มิ.ย. เวลาประมาณ 19.00 น. จะตัดสินใจเรียกตำรวจมาที่เกิด พร้อมกับมีการมอบตัว




เบื้องต้น มีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์วันที่ 20 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันที่ตัวของเสี่ยต้นมีการก่อเหตุยิงนายณัฐพล มีภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าร้านที่เกิดเหตุจับภาพเวลาก่อน 02.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังร้านปิด จะเห็นว่าตัวของเสี่ยต้น ได้มีการเรียกนายณัฐพลคนตายไปยืนเคลียร์กันที่หน้าร้าน ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นทั้งคู่ยืนคุยกัน ก่อนที่จะมีการล็อคคอและเข้าไปคุยกันต่อภายในร้าน


หลังเวลา 02.30 น. ตามคำให้การที่อ้างว่า ยิงเสร็จแล้วจะเห็นตัวของเสี่ยต้นได้มีการรีบขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าร้าน และขับออกไป โดยมีการทิ้งร่างของนายณัฐพลเอาไว้อยู่ภายในออฟฟิศและมีการเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งเอาไว้ให้ และเวลาประมาณ 05.00 น. เศษ จะพบว่ารถของเสี่ยต้นได้ย้อนกลับมาที่ร้านอีกครั้ง จากนั้นจะเห็นว่ามีผู้หญิงเดินลงจากรถและไปล็อกประตูร้าน ก่อนที่จะขับย้อนศรออกไปจากร้านที่เกิดเหตุ


จากนั้นมีภาพจากกล้องวงจรในช่วงค่ำในวันเดียวกัน 20 มิ.ย. จับภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจและสายสายตรวจ รวมถึงกู้ภัยทยอยมาที่ร้านที่เกิดเหตุ ภายหลังเสี่ยต้นตัดสินใจมอบตัว และรับสารภาพว่ามีการก่อเหตุยิงนายณัฐพลภายในออฟฟิศของร้าน โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับความเคลื่อนไหวเห็นตำรวจและกู้ภัยเข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ




โดยช่วงค่ำวันเดียวกันนั้นวันที่ 20 มิ.ย. ก่อนที่จะเกิดเหตุ ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ ของนายณัฐพล คนตาย แม้ว่าเจ้าตัวจะการ์ดของร้าน แต่เวลาที่มีรถลูกค้ามาเจ้าตัวจะไป โบกรถ และจัดระเบียบรถให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ โดยเป็นภาพวงจรปิดสุดท้ายที่จะจับภาพเจ้าตัวได้ในคืนวันเกิดเหตุ


ต่อมาวันนี้ เวลาประมาณ 14.30 น. นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พาครอบครัวของผู้เสียชีวิต เดินทางมาที่ สน.โคกคราม หลังครอบครัวผู้ตายมาร้องเรียนเพราะกลัวลูกชายจะไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเชื่อว่าลูกชายน่าจะถูกฆาตรกรรมมากกว่า


ทีมข่าวได้พบกับนางสาวรจนา อายุ 48 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต โดยนางสาวรจนา ระบุว่า ตนเองทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคนป่วย อยู่ที่สถานเลี้ยงแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งได้พาลูกชายซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตในคดีนี้ไปฝากกับทางเฮียต้น ผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเพื่อนของเจ้าของสถานที่ทำงานของตนเอง เดิมทีไม่ได้รู้จักกับเฮียต้นมาก่อน แต่ตนเองได้บ่นเรื่องการหางานกับทางเจ้าของที่ทำงานตนเอง จึงได้มีการแนะนำกันมาว่าเฮียต้นกำลังต้องการช่างเชื่อม เพื่อไปทำโรงแรมและบ้านจัดสรรจัด ตนเองจึงพาลูกชายไปฝากทำงานเมื่อช่วงประมาณต้นเดือนที่ผ่านมา ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอย วิภาวดี 60 ซึ่งเป็นโรงแรมของเฮียต้นเอง


ต่อมาทราบจากลูกชายทางโทรศัพท์ว่าเฮียต้นได้สั่งให้ไปผมสั้น และย้ายไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานบันเทิงใน ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ ซึ่งเป็นร้านของเฮียต้น ซึ่งลูกชายได้บอกกับตนเองว่าไม่อยากทำ เพราะตนเองสั่งสอนลูกมาตั้งแต่เล็กว่าสถานบันเทิงเป็นที่ไม่ดี จึงมีการพูดคุยกันว่าหากเงินเดือนตนเองออกช่วงสิ้นเดือน จะให้ลูกชายลาออกและกลับไปอยู่บ้านในจังหวัดอุบลราชธานีกับตนเอง




นางสาวรจนา ยังระบุอีกว่า สาเหตุที่เฮียต้นให้ลูกชายตนเองโยกไปเป็นพนักงานดูแลความปลอดภัยสถานบันเทิง เชื่อว่าเพราะรูปร่างหน้าตาของลูกชายตนเอง น่าจะทำได้เพราะลูกชายเคยเป็นนักมวยตั้งแต่เด็ก มีรูปร่างดี จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่เฮียต้นให้ย้ายไปทำงานในส่วนนี้ แต่ในส่วนนิสัยของลูกชาย เป็นคนไม่หาเรื่องใคร ออกจะแนวเป็นคนคิดช้ากว่าปกติ ซะด้วยซ้ำจึงค่อนข้างมั่นใจว่าลูกชายจะไม่ใช่คนหาเรื่องเฮียต้นก่อน


ก่อนที่ในเวลาต่อมาตนเองได้รับการติดต่อมาจากทางลูกสาว ซึ่งเป็นพี่สาวของคนตาย ว่าลูกชายถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งในตอนแรกตนเองก็ยังเข้าใจว่าการที่ลูกชายไปห้ามคนตีกันภายในสถานบันเทิง ไม่คิดว่าเป็นเจ้าของยิงเอง เพราะตอนที่ไปฝากฝังให้ทำงานเฮียต้นก็รับว่าจะดูแลลูกชายสั่งสอนให้ทำงาน แม้ว่าเฮียต้นจะดูเป็นคนโผงผาง พูดจาเสียงดัง ใจร้อน แต่ก็ไม่คิดว่าจะร้ายแรงถึงขั้นฆ่าลูกชายตนเองแบบนี้


หลังทราบเรื่องตนเองได้เดินทางมาที่ สน. เพื่อต้องการสอบถามข้อมูลกับทางตำรวจเพราะได้ยินว่าลูกชายถูกยิงมานานหลายชั่วโมงก่อนจะมีการแจ้งตำรวจ แล้วยังมีการให้ข้อมูลกับทางตำรวจว่าเป็นการปืนลั่นใส่ลูกชายตนเอง ซึ่งเท่าที่ตนเองทราบไม่เชื่อว่าจะเป็นการปืนลั่นเพราะอาวุธปืนถูกยิงเข้าที่ศีรษะของลูกชายตนเอง หากเป็นปืนลั่นตามคำกล่าวอ้างควรจะต้องเข้าตามลำตัวเท่านั้น จึงเกรงว่าจะไม่รับความเป็นธรรมและตนเองอยากติดต่อหน่วยงานกลางเช่นสายไหมต้องรอดหรือการจอมพลัง ประกอบกับตนเองยังรู้ว่าเฮียต้นเป็นคนกว้างขวางเคยพูดกับตนเองว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ในพื้นที่ รวมถึงตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในเขตพื้นที่กรุงเทพจึงเกรงว่าคดีตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรม




ด้านน้าของนายณัฐ ผู้เสียชีวิต ได้เปิดเผยกับทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 ว่า เมื่อเช้าขณะที่ตนมาที่ สน.โคกคราม ก็เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ กับตน เพราะตอนที่เดินเข้ามา ก็รู้สึกตัวเย็นเฉียบและวูบหมดสติไป และไปรู้ตัวอีกทีขณะอยู่บน สน. แล้ว ก่อนที่คนรอบข้าง จะเล่าให้ตนฟังว่า ขณะที่ตนวูบลงไป ยังคงมีการพูดในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวของตน ในคำพูดที่ว่า “มันฆ่าผม” ย้ำอยู่อย่างนี้หลายครั้งและร้องไห้ไปด้วย


ซึ่งน้าของผู้ตายยืนยันกับข่าวช่อง 8 ว่า ขณะที่วูบลงไปตนไม่ได้พูดอะไร และจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งสาเหตุที่หลานมาเข้าร่างของตนนั้น ก็เพราะว่าตนเป็นคนเลี้ยงและเกิดความสนิทสนมกับหลานจนเหมือนแม่อีกคนหนึ่ง




ขณะที่ความคืบหน้าทางคดี วันนี้ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อหากับตัวผู้ก่อเหตุ คือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , พกพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนจะส่งตัวขออำนาจศาลฝากขัง และระหว่างขึ้นรถทางนักข่าวพยายามสอบถามถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุ แต่ทางเสี่ยต้นได้แต่นั่งก้มหน้าและไม่ตอบคำถามสื่อแต่อย่างใด

 

"เสี่ยต้น" ยิงการ์ดตายอ้างปืนลั่น ญาติคาใจร้อง "สายไหมต้องรอด" หาความจริง