วันนี้ 22 มิ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านของน้องอลิส ต.คอนกาม อ.ยางชุมน้อย จังหวัดศรีษะเกษ โดยวันนี้จะมีพิธีการเคลื่อนย้ายศพ ช่วงเวลา 13.15 น. เพื่อนำร่างของน้องอลิส วัย 3 ขวบไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลศพและบรรจุสรีระลงในสุสานในเวลา 15.00 น. ที่วัดป่ามณีศรีชมพู ต.คอนกาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีษะเกษ






สำหรับวันนี้บรรยากาศในช่วงเช้า เริ่มจากเวลา 6.00 น. ทางญาติน้องอลิส ได้มีการจัดหาสถานที่สำหรับเตรียมสร้างสุสาน โดยทำพิธีโยนไข่เสี่ยงทาย หากไข่แตกตรงไหนจะเป็นการอนุญาตให้สร้างได้ และโยนเหรียญซื้อที่พร้อมทำพิธีไหว้ขออนุญาตเจ้าที่ ในการสร้างสุสานตามความเชื่อของชาวบ้าน


จากนั้นเวลา 11.00 น. ญาติ ๆ และชาวบ้านได้มีการทำบุญตักบาตร ด้วยพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป ซึ่งมีครูหนุ่ย มาร่วมพิธีทำบุญให้น้องอลิสในวันนี้ ด้วยสีหน้าที่ปกติ ต่อมาในช่วงเวลา 13.30 น. ทางครอบครัวและญาติ ๆได้มีการเคลื่อนย้ายร่างของน้องอลิส จากบ้านโนนค้อ ไปยังวัดป่ามณีสีชมพู เพื่อนำไปประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลศพและบรรจุสรีระ ซึ่งตามความเชื่อของชาวบ้าน ถ้าหากตายแบบผิดธรรมชาติจะมีการฝังร่างไว้ก่อน และนำมาฌาปนกิจภายหลัง






จากนั้นได้นำโลงร่างของน้องใส่รถกระบะเพื่อเคลื่อนไปยังวัด โดยมีพระสงฆ์และสามเณรรวมไปถึงชาวบ้านที่มาร่วมงานได้จูงสายสิญจน์ ขณะที่พ่อกับแม่ของน้องอลิสได้ถือรูปถ่ายของน้องนำหน้าขบวน โดยพ่อแม่อยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ที่ร้องไห้ตลอดเวลา


อีกทั้ง เมื่อนำร่างมาถึงวัดป่ามณีสีชมพู ได้มีทำพิธีสวดมาติกาบังสกุล ซึ่งมีชาวบ้านมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งนี้ ทีมข่าวยังได้สังเกตุเห็นอาหารที่ทางครอบครัวจัดเตรียมมาให้น้องอลิส ได้แก่ ข้าวสวย ต้มจืด ผลไม้ น้ำและนม


ขณะเดียวกัน ทีมข่าวก็ได้สังเกตุเห็นบุคลากรของ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ทั้ง 4 คน ได้แก่ ครูน้อย ครูหนุ่ย ครูปูเป้ และป้านิ่ม ซึ่งเป็นแม่ครัวศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ได้เดินทางมาร่วมพิธีที่วัดด้วย ซึ่งทั้ง 4 คน มีลักษณะสีหน้าที่เรียบเฉย และทีมข่าวได้สังเกตุเห็นว่า ของชำร่วยที่นำมาแจกให้สำหรับผู้ที่มาร่วมงาน เป็นตุ๊กตาที่น้องอลิสชื่นชอบมาก เช่น ตุ๊กตาลาบูบู้ สีม่วง และชมพู รวมถึงตุ๊กตาหลากหลาย ๆ เช่นสีชมพู สีขาว สีม่วง สีน้ำตาล สีฟ้า ฯลฯ รวมถึง มาม่า นม และข้าวที่นำมาแจกจ่าย


จากนั้นในช่วง เวลา 15.00 น. ชาวบ้านและ ครูทั้ง 3 คน ครูหนุ่ย ครูเป้ และครูน้อย ได้มีการวางดอกไม้จันทร์ พร้อมทางญาติโปรยทานและแจกของชำร่วยให้กับผู้มาที่ร่วมงาน ซึ่งหลังจากวางดอกไม้จันทร์ ทีมข่าวได้สังเกตุเห็นครูปูเป้ ได้เข้าไปแสดงความเสียใจกับทางพ่อแม่ และย่าของน้องอลิส




จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถาม ครูปูเป้ ประเด็นถึงความรู้สึกความกังวลในเรื่องคดีหรือไม่ เผยว่า ตนไม่มีความกังวลใด ๆ ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและกฎหมาย จากนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามประเด็นเห็นคนปั่นจักรยานมาอุ้มน้องไปนั้น ครูปูเป้เผยว่า ได้ให้ข้อเท็จจริงกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปหมดแล้ว จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าวันนี้ได้เข้าไปบอกกับอะไรทางญาติของน้อง ครูปูเป้ เผยว่า ขอแสดงความบริสุทธิ์ใจและเสียใจ


หลังจากนั้น ได้นำร่างของน้องอลิสไปทำพิธีบรรจุสรีระบริเวณสุสาน ด้านหลังวัดป่ามณีศรีชมพู ซึ่งลักษณะที่บรรจุศพเป็นท่อปูนซีเมนต์ ยาว 2 เมตร สูง 1 เมตร โดยก่อนจะมีการบรรจุโลงศพนั้น พระสงฆ์ 2 รูป ได้นำโลงศพของน้องอลิส เดินวนรอบ สุสาน 3 รอบ หลังจากนั้นได้มีการเปิดโลงให้ทางครอบครัวและญาติ ๆ ได้ร่ำลาน้องอลิสครั้งสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า โดยแม่กับพ่อของน้องอลิสร้องไห้แทบขาดใจ โดยเฉพาะแม่ที่ร้องไห้จนเกือบจะเป็นลมโดยมีพ่อและญาติ ๆ คอยประคอง ซึ่งผู้สื่อข่าวสังเกตุเห็นญาติ ๆ ของน้องอลิสต่างร้องไห้เสียใจ และบางคนแสดงท่าทีโมโหต่อยต้นไม้ด้วยความแค้น จากนั้นได้มีการปิดฝาโลง นำร่างบรรจุเข้าสุสานอุโมงค์เพื่อบรรจุสรีระ และชาวบ้านได้ช่วยกันนำฝามาปิดและโบกปูนปิดอุโมงค์ดังกล่าว โดยใช้ไม้ยาวขนาด 4 เมตร ค้ำปากอุโมงค์




ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายปริญญา และ นางสาวพุทธมาลย์ (พ่อแม่ของน้องอลิส) เผยว่า อยากให้น้องอลิสมาเข้าฝันและบอกว่าใครเป็นคนกระทำน้อง และอยากฝากถึงตำรวจทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มาช่วยทำคดีให้มีความคืบหน้าและกระจ่าง พร้อมอยากให้ทนายหรือนักกฎหมายเก่ง ๆ มาช่วยทำคดีน้องอลิส เช่น คุณกัน จอมพลัง เพราะครอบครัวของน้องอลิสยากจนกลัวจะไม่มีเงินสู้คดีและได้รับความเป็นธรรม ส่วนครูศูนย์ฯ ก็ได้แค่มาร่วมงานและแสดงความเสียใจแต่ไม่ได้มาอธิบายหรือเล่าเรื่องราวให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ลูกตนต้องมาเสียชีวิต ตนรู้สึกคาใจและอยากให้ครูมาอธิบายตนยังรออยู่เสมอ


จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นางสาวพุทธมาลย์ (แม่ของน้องอลิส) เผยว่า หากใครที่ทำน้องให้อลิสมาบอกแม่ หรือบอกใครก็ได้ ซึ่งคุณครูทั้งสามท่านยังไม่มีใครมากล่าวถึงเหตุการณ์ในวันที่เกิดขึ้นกับตนเอง มีเพียงเข้ามาแสดงความเสียใจ ส่วนความรู้สึกตนในวันนี้รู้สึกเหมือนมีใครมาพรากลูกออกไป จากทางครอบครัว และคิดถึงทุกความทรงจำถ้าหากเป็นไปได้อยากให้ลูกกลับมาเกิดเป็นลูกพ่อแม่อีกครั้ง ส่วนในเรื่องคดีตนปล่อยให้เป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้


จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับคนที่รู้ข้อมูล เกี่ยวกับสองผัวเมียที่เห็นเหตุการณ์ ซึ่งตามข้อมูลหลังเกิดเหตุมีนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่บางคนที่เป็นเครือญาติกับครูบางคน ได้มีการนัดเจรจากันเพื่อนำเงินไปปิดปากสองผัวเมียคู่ดังกล่าวที่เห็นเหตุการณ์




โดยนางมณีรัตน์ (นามสมมติ) อายุ 46 ปี เป็นผู้ที่แจ้งเบาะแสมากับทีมข่าว เปิดเผยว่า เบาะแสที่มาแจ้งให้กับช่อง 8 เป็นคำพูดที่เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า วันเกิดเหตุคนที่เห็นเหตุการณ์มากที่สุดและน่าจะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตอนที่มีคนอุ้มน้องอลิส มีเพียงสองผัวเมียที่ไปทำนาในที่เกิดเหตุ ซึ่งหลังเกิดเหตุยังมีคนไปเห็นว่าผู้ใหญ่บางคนในพื้นที่ มีการนัดใครบางคนมาเจอเพื่อเจรจาเรื่องนำเงินไปปิดปากสองผัวเมียคู่ดังกล่าว ซึ่งยอดเงินที่เจรจาจ่ายกันประมาณ 2 แสนบาท และหลังจากที่สองผัวเมียคู่นั้น ได้เงินไปก็เงียบหายไปเลยโดยไม่มีข่าว ว่าตำรวจนำตัวไปสอบปากคำ และไม่เคยเห็นทั้งคู่ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ


ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากเป็นความจริงยอมรับว่าชาวบ้านก็ต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัว เพราะเงินสามารถซื้อได้แม้แต่ความเป็นความตายของเด็ก แต่ส่วนตัวยังเชื่อว่า ตำรวจและนักข่าวเก่งพอที่จะไปสืบหาผู้ก่อเหตุเพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับน้องอลิส


จากนั้นเมื่อทีมข่าวได้ข้อมูลดังกล่าว ก็เลยเดินทางไปสอบถามกับคู่ผัวเมียที่ถูกกล่าวหา โดยทันทีที่ไปเจอกับนางนกแก้ว (นามสมมติ) ชาวนาที่ถูกกล่าวหา ทีมข่าวก็ถามตรง ๆ เลยว่ามีใครมาเสนอเงิน 2 แสนให้หรือไม่ ซึ่งเมื่อนางนกแก้ว ได้ยินก็โวยวายขึ้นมาเลยว่า ใครหน้าไหนละจะเอาเงินมาให้




จากนั้นทีมข่าวก็ถามว่า แล้ววันเกิดเหตุเห็นอะไรบ้าง ซึ่งนางนกแก้ว บอกว่า วันเกิดเหตุก็ไปเฉย ๆ ใครล่ะบอกว่าไปหว่านข้าวทำนาอยู่ตรงนั้น ซึ่งวันนั้นก่อนจะไปดูที่นาใกล้กับจุดพบศพ ไปปลูกหอมและปลูกผักที่อื่นมาก่อน และที่ตั้งใจไปตรงจุดเกิดเหตุ ตั้งใจจะไปดูว่านามันว่านข้าวได้หรือยัง ยืนยันวันนั้นก่อนเกิดเหตุไม่เห็นอะไรเลย ใครละเป็นคนบอกว่าฉันกับผัวเห็นเหตุการณ์ หาพูดไปเรื่อย ปิดปากสองแสนสามแสน ไม่มี


นอกจากนี้ ทีมข่าวยังถามกับนางนกแก้วอีกว่า และวันนั้นป้ากับผัวไปถึงจุดเกิดเหตุตอนกี่โมง และอยู่ไกลจากจุดพบศพมากแค่ไหน ซึ่งนางนกแก้ว บอกว่า ป้ากับผัวเดินลงไปในที่นา ประมาณเที่ยงครึ่ง แต่ไม่เห็นอะไรเลยและก็มาเห็นตอนที่เขาออกตามหาน้องอลิส กันแล้ว และป้ากับผัวก็อยู่ห่างจากจุดพบศพประมาณ 200 เมตร แต่ไม่เห็นอะไรเลย


ขณะเดียวกันเรื่องความคืบหน้าทางคดี วันนี้ พ.ต.ท.วีรจักร์ รอง ผกก.สืบสวน สภ.ยางชุมน้อย ได้มีการขับรถวนไปสอบปากคำพยานตามหมูบ้าน โดยพยานกลุ่มดังกล่าว ตามข้อมูลเป็นพยานที่นั่งอยู่ใกล้กับศูนพัฒนาเด็กเล็กในช่วงก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ และตามข้อมูลที่ทีมข่าวสอบถามกับทางรองผู้กำกับ ให้ข้อมูลมาว่าที่ตำรวจต้องมาสอบปากคำพยานทุกวัน เป็นเพราะว่าต้องการรู้ว่าพยานที่ให้การมาตั้งแต่วันแรก ที่เห็นคนนั้นคนนี้อยู่ในที่เกิดเหตุ ยังคงให้การตามเดิมหรือไม่




โดยวันนี้ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางจุ๋ม (นามสมมติ) ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานที่ตำรวจมาสอบปากคำ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ที่ตำรวจเข้ามาสอบปากคำ ตำรวจมาถามเหมือนเดิมว่าวันนั้นแน่ใจหรือไม่ที่เห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีชมพู วิ่งออกมาจากจุดที่พบศพน้องอลิส ซึ่งตนเองก็ตอบไปตามที่เห็นเหมือนเดิมว่า เห็นผู้หญิงที่วิ่งออกมาคือครูปูเป้ และหลังจากเห็นครูปูเป้วิ่งออกมาก็เห็นชาวบ้านพากันวิ่งเข้าไปในที่เกิดเหตุ ซึ่งที่แน่ใจว่าคน ๆ นั้นคือ ครูปูเป้ เพราะตนเองกับเพื่อนนั่งอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าไปพบศพ แต่ตอนที่ครูปูเป้เดินเข้าไป ยอมรับว่าไม่เห็นเพราะตอนนั้นเผลอหลับไป และคนที่จะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดมันจะมีคู่ผัวเมียอยู่หนึ่งคู่ที่ไปไถนาว่านข้าวใกล้กับจุดเกิดเหตุ


จากนั้นทีมข่าวก็ถามต่อว่า วันเกิดเหตุเห็นคนแปลกหน้าเข้าไปใกล้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือไม่ และก่อนจะเกิดเหตุเห็นเด็กออกมาเล่นกันนอกรั้วหรือตรงบันไดหรือไม่ ซึ่งนางจุ๋ม ยืนยันเสียงแข็งว่า ไม่เห็นคนแปลกหน้า ส่วนเรื่องเด็กก่อนเกิดเหตุ ก็ไม่เห็นเด็กแม้แต่คนเดียว ที่เดินออกมาเล่นด้านนอกศูนย์ฯ




ขณะเดียวกันประเด็นที่เมื่อวานช่อง 8 นำเสนอไปว่ามีชาวบ้านรวมถึงพ่อแม่ของน้องอลิส เชื่อว่าวันเกิดเหตุน้องอลิส น่าจะหัวทิ่มลงไปในอ่างน้ำ หรือถังน้ำที่อยู่ภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เกิดเหตุ


ซึ่งวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 มีการเดินทางไปหาเด็กลักษณะเดียวกันกับน้องอลิส และมีอายุเท่า ๆ กันก็คือ น้องปันปัน โดยการจำลองวันนี้ ทีมข่าวได้ขออนุญาตทางคุณย่าของน้องปันปันเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการจำลองดังกล่าว ทางคุณย่าของน้องปันปัน มีการนำกะละมังขนาดความสูง ประมาณ 30 เซนติเมตร และนำถังน้ำที่มีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตรมาจำลองเหตุการณ์ ซึ่งตามข้อมูลที่คุณย่าน้องปันปัน บอกกับทีมข่าวถังน้ำที่มีความสูง 50 เซนติเมตร เป็นถังน้ำที่น้องปันปัน เคยเล่นในห้องน้ำและน้องปันปัน ก็เคยหัวทิ่มลงไปแต่โชคดีที่เหตุการณ์นั้นทางคุณย่าเข้าไปช่วยเอาไว้ได้ทัน




นอกจากนี้ ในการจำลองทีมข่าวจำเป็นต้องตั้งกล้องเอาไว้เพราะถ้าน้องปันปัน เห็นคนแปลกหน้าเจ้าตัวจะไม่ยอมลงไปเล่นน้ำ ซึ่งเท่าที่ตั้งกล้องเอาไว้ ผลลัพธ์ในการจำลองก็คือ น้องปันปันจะเล่นน้ำในกะละมังมากกว่า และยังมีความหวาดกลัวถังน้ำที่เคยหัวทิ่งลงไป ซึ่งตามภาพจะเห็นว่าทางคุณแม่ พยายามจะหลอกล่อให้น้องปันปัน ก้มไปหยิบสิ่งของในถังน้ำ 50 เซนติเมตร แต่น้องปันปันไม่ยอมหยิบและจะหันไปร้องให้ให้ทางคุณแม่ เป็นคนหยิบให้


โดยภายหลังจากการจำลองเหตุการณ์ นางรัชนี ย่าน้องปันปัน บอกกับทีมข่าวว่า ในการจำลองเหตุการณ์ดังกล่าว ที่น้องปันปัน ไม่กล้าที่จะก้มลงไปเก็บของในถังน้ำ ก็เป็นเพราะว่าน้องปันปัน ยังมีความหวาดกลัวที่เคยหัวทิ่มลงไปในถังน้ำ ซึ่งเหตุการณ์นั้นเท่าที่ย่าจำได้ ตอนเข้าไปเจอหัวของน้องปันปัน ทิ่มลงไปในถังและน้องปันปันก็ช่วยเหลือตัวเองขึ้นมาไม่ได้ โชคดีวันนั้นย่าไปเห็นก่อนก็เลยช่วยชีวิตหลานเอาไว้ได้




ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุดังกล่าว ยอมรับว่าย่าก็เคยปล่อยให้หลานเล่นน้ำแบบนี้เป็นประจำ แต่หลังจากนั้นไม่เคยปล่อยให้หลานอยู่ในห้องน้ำตามลำพัง และหลังเกิดเหตุ ถ้าหลานขะหยิบอะไรในถังน้ำก็จะเรียกย่าให้ไปหยิบให้ทุกครั้ง


โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องอลิส ก็เป็นไปได้ที่อลิสจะหัวทิ่มลงไปแล้วไม่มีคนเห็น ซึ่งหลังจากนี้ทางย่ายืนยันว่า ถ้าทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เกิดเหตุเปิด แล้วไม่เปลี่ยนครูชุดใหม่มาหรือมีมีแนวทางสร้างแนวทางการป้องกันให้รัดกุมกว่านี้ ยืนยันว่าย่าไม่มีทางที่จะให้หลานกลับไปเรียนอย่างแน่นอน


จากกรณีเมื่อวานนี้ที่นายสมบูรณ์ เจ้าของจักรยานที่ให้ข้อมูลกับช่อง 8 ว่าเอารถจักรยานไปซ่อมเอาไว้ที่ร้านช่างอ๋อง วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ก็เลยเดินทางไปตามหาร้านซ่อมรถดังกล่าว ปรากฎว่าไปพบว่านายสมบูรณ์ นำรถจักรยานไปซ่อมเอาไว้จริง ๆ ซึ่งจากการตรวจสอบ รถจักรยานของนายสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นจักรยานแม่บ้านสีแดง ความสูง 24 นิ้ว




ขณะเดียวกันทีมข่าวไปได้ภาพวงจรปิดในวันที่นายสมบูรณ์ นำจักรยานไปซ่อม ซึ่งจะเห็น เวลา 10.41 น. ของวันที่ 19 มิถุนายน นายสมบูรณ์มีการเข็นรถจักรยานคู่ใจเข้ามาในร้านของช่างอ๋อง จากนั้นเมื่อเข้ามาในร้านก็จะเห็นตาสมบูรณ์ จอดรถและบอกช่างว่ารถยางแตก ฝากซ่อมรถให้หน่อย


ส่วนวงจรปิดคลิปที่ 2 จะเห็นว่าหลังจากคุณตาสมบูรณ์ จอดรถทิ้งไว้ให้ช่างแล้ว ก็จะมีการเดินไปคุยกับช่าง จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากร้าน ซึ่งจะเห็นว่าท่าทางการเดินของตาสมบูรณ์ เหมือนกับตอนที่เดินให้ทีมข่าวดูเมื่อวานนี้




นายศิริชัย หรือ ช่างอ๋อง อายุ 50 ปี เป็นเจ้าของร้านซ่อมรถ เปิดเผยว่า ปกติตาสมบูรณ์ ถ้ารถไม่พังแกก็จะไม่เข้ามาที่ร้าน ซึ่งวันที่ตาสมบูรณ์เข็นรถเข้ามาให้ซ่อมคือวันที่ 19 มิถุนายน ยืนยันนายสมบูรณ์ ไม่ได้มีพิรุธอะไร ส่วนวันที่น้องอลิสหาย นายสมบูรณ์ ไม่ได้เอารถมาซ่อมและไม่ได้ปั่นจักรยานผ่านหน้าร้าน ส่วนประเด็นที่ทำไมนายสมบูรณ์ไม่ยอมมาเอารถจักรยานกลับไปหลังจากซ่อมเสร็จ ส่วนตัวไม่รู้ว่านายสมบูรณ์ติดเรื่องที่ไม่มีเงินมาจ่ายค่าซ่อมรถหรือไม่






จากนั้นทีมข่าวก็ถามกับช่างอ๋อง ว่าค่าซ่อมรถจักรยานเท่าไร ซึ่งช่างแจ้งมาว่า 80 บาท ทีมข่าวก็เลยขออนุญาตจ่ายเงินค่าซ่อมรถให้ตาสมบูรณ์ และขอเอาจักรยานกลับไปให้ตาสมบูรณ์ ซึ่งทางช่างก็รับเงินไว้และอนุญาตให้ทีมข่าวเอารถกลับไป โดยหลังจากเคลียร์เรื่องค่าซ่อมแล้ว ทีมข่าวจึงมีการปั่นจักรยานไปส่งให้กับตาสมบูรณ์ ซึ่งวินาทีแรกที่นายสมบูรณ์เห็นทีมข่าวเข็นรถเข้าไปให้ เจ้าตัวรู้สึกดีใจโดยอุทานเป็นภาษาอีสานขึ้นมาว่า "คือดีคักแท้วะ" แปลว่าดีมากเลย


ส่วนเรื่องที่มีคนไปลือกันว่าตาปั่นจักรยานไปที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตายังยืนยันเหมือนเดิม ว่าวันเกิดเหตุไม่ได้ปั่นเข้าไป และที่มีเด็ก ๆ เคยเห็นก็น่าจะเห็นตอนที่ตาปั่นจักรยานเข้าไปหาพระที่วัด ซึ่งพระรูปดังกล่าวชื่อว่าพระทองพันธ์ เป็นพระลูกชายของตาเอง จากนั้นทีมข่าวก็ขอให้นายสมบูรณ์ปั่นจักรยานคันโปรดให้ดู ซึ่งจะเห็นว่า ลำพังแค่นายสมบูรณ์ปั่นคนเดียวยังเซไปเซมา หากจะต้องอุ้มเด็กด้วยก็คงเป็นไปไม่ได้

 

สะพัดคนอุ้มอลิสได้ 2 แสน 2 ผัวเมียเปิดปากเกิดอะไรที่นา อึ้งเด็กผวากลัวหัวทิ่มน้ำ