จากกรณีเกิดเหตุ น้องอลิส วัย 3 ขวบ จมน้ำเสียชีวิตในสระน้ำกลางทุ่งนา ห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ระยะทางจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปยังจุดเกิดเหตุ ประมาณ 470 เมตร ซึ่งทางครอบครัวของน้องอลิส ติดใจสาเหตุของการเสียชีวิต

 

ล่าสุดวันนี้(23 มิ.ย.67) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว โดยบรรยากาศเช้าวันนี้ที่ สภ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ ทางครูหนุ่ย พร้อมกับทนายความรวมไปถึง นางนิ่มนวล แม่ครัวที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาตามวันเวลาที่มีการนัดกับพนักงานสอบสวนเอาไว้ ซึ่งตามข้อมูลคุณพงษ์พัฒน์ นักข่าวช่อง8 ประจำจังหวัดศรีสะเกษ

 

โดยบรรยากาศในห้องสอบสวนในขณะที่ทีมข่าวไปถึงพบว่า ทางครูหนุ่ย กำลังนั่งสอบปากคำอยู่กับพนักงานสอบสวน ซึ่งภายในห้องยังมีนางนิ่มนวล แม่ครัวนั่งอยู่ด้วย โดยการสอบปากคำดังกล่าว มีทางทนายนั่งรับฟังอยู่ด้วยตลอดการสอบปากคำ 

 

นอกจากนี้ช่วงเวลาประมาณ 10.30 น. ทางชุดสืบสวนก็มีการเดินเข้าไปภายในห้องสอบสวน ซึ่งตามข้อมูลที่ชุดสืบต้องเข้าไปร่วมรับฟังด้วย เนื่องจากต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ ทางครูหนุ่ย เป็นคนเดียวที่ยังไม่เคยให้ปากคำตำรวจอย่างละเอียด

 

ต่อมาผู้สื่อข่าวพร้อมด้วยชาวบ้านในพื้นที่บ้านค้อ ตำบลคอมกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ เดินทางไปยังจุดสระน้ำส่วนบุคคล หลังศูนย์พัฒนาเด็กเล้กบ้านค้อ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้องอลิสจมน้ำ โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้มีชาวบ้านลงไปในน้ำเพื่อลองจำลองเหตุการณ์ว่า หากน้องอลิสลงไปในน้ำจะต้องเจอความลึกขนาดไหน และลักษณะของน้ำเป็นอย่างไร

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำภายในสระดังกล่าว มีความลึกประมาณ 1.7 เซนติเมตร และลึกสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 2 เมตร สภาพใต้น้ำเป็นดินแข็งผสมใบไม้ มีโคลนเพียงเล็กน้อย โดยชาวบ้านนอกได้กรอกน้ำจากสระน้ำที่น้องอลิสเสียชีวิต ใส่ขวด เอามาลองเทียบเคียงกับสีน้ำในศูนย์เด็ก ซึ่งพบว่าสีน้ำแตกต่างกัน

 

นายมนัส อายุ 39 ปี ช่างประปาประจำตำบลคอนกาม เปิดเผยว่า ความแตกต่างระหว่างน้ำในสระที่เจอศพน้องอลิสกับน้ำประปาที่อยู่ในศูนย์เด็ก สีน้ำจะแตกต่างกัน นอกจากนั้นน้ำจากศูนย์เด็กจะมีการผ่านกระบวนการผลิตสามารถที่จะเทียบเคียงหรือตรวจสอบได้จากสีน้ำและสารเจือปนที่อยู่ในน้ำ น้ำที่อยู่ในศูนย์เด็กจะมีสารส้มและคลอรีนที่ปะปนอยู่ที่สามารถตรวจสอบได้ ตนอยากรู้ว่าน้ำที่ตรวจเจออยู่ในปอดน้องอลิส จะสามารถตรวจสอบได้ไหมว่าเป็นน้ำในสระหรือน้ำประปาที่ใช้ในศูนย์เด็ก ซึ่งอยากให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในเรื่องนี้ เพราะน้องอาจเสียชีวิตตั้งแต่ภายในศูนย์ฯ และมีคนนำร่างน้องมาทิ้งไว้ที่สระน้ำแห่งนี้

 

ขณะเดียวกันหลังจากที่ทีมข่าวได้ข้อมูลเรื่องถังน้ำในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทีมข่าวจึงไปสำรวจห้องน้ำภายในศูนย์ฯ พบว่าห้องน้ำดังกล่าวมีความกว้างประมาณ 2 เมตรและยาวประมาณ 3 เมตร ซึ่งจะมีโถส้วมแบบนั่งยองๆอยู่ 2 โถด้วยกัน ซึ่งโถส้วมดังกล่าวที่อยู่ในห้องน้ำเดียวกันจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ซึ่งตามภาพโถส้วมฝั่งซ้ายและขวาจะมีอ่างน้ำอยู่ข้างๆ โดยฝั่งซ้ายจะไม่มีถังน้ำ ส่วนฝั่งขวาพบถังน้ำอยู่ในอ่างน้ำสีดำ 1 ใบ 

 

ซึ่งวันนี้ทีมข่าวที่ลงพื้นที่ไป มีการอธิบายสถานที่ดังกล่าวมาด้วยและมีการเชิญคุณย่าของน้องอลิส ไปสำรวจพร้อมกันว่า ห้องน้ำดังกล่าวที่ย่าเห็นเป็นห้องน้ำเดียวกันหรือไม่ โดยตอนที่คุณย่ามาถึง ทีมข่าวก็ถามกับย่าและเปิดภาพให้ย่าดู ซึ่งย่าก็ยืนยันว่าถังน้ำในภาพคือถังน้ำที่เห็น และห้องน้ำที่ช่อง 8 มาสำรวจเป็นห้องน้ำที่เด็ก ๆ ใช้ในขณะที่มาเรียน แต่วันเกิดเหตุไม่รู้ว่าน้องอลิส จะเข้าไปใช้โถส้วมฝั่งไหน แต่ย่ายืนยันว่า ในห้องน้ำมีถังน้ำอยู่ฝั่งเดียว

 

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) หรือ หมอหมู ระบุว่ากรณีที่เด็ก 3 ขวบ สูง 70 เซนติเมตร หากเกิดอุบัติเหตุ หัวทิ่มลงในอ่างน้ำที่สูงเพียง 30 เซนติเมตรในหลายกรณี พบว่าเด็กไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้จนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต เนื่องจากกล้ามเนื้อคอของเด็กยังอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ควบคุมศีรษะได้ไม่ดี ทำให้ยกศีรษะขึ้นเหนือน้ำลำบาก ประกอบกับเด็กยังไม่รู้วิธีช่วยเหลือตัวเอง และมีความกลัวตื่นตระหนกทำให้สูญเสียการควบคุม ซึ่งเมื่อน้ำไหลเข้าสู่ปอด เด็กจะหายใจไม่ได้ สมองขาดออกซิเจน กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง เด็กก็จะหมดสติจนเสียชีวิต

 

จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางย้อนกลับไปที่บ้านของน้องอลิส ซึ่งวันนี้ทีมข่าวได้ให้ทางนางทองทิพย์ อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นย่าของน้องอลิส พาไปดูห้องน้ำภายในบ้าน ซึ่งห้องน้ำที่บ้านน้องอลิส มีลักษณะเป็นโถส้วมที่นั่งยองๆ เหมือนกับโถส้วมที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และจะมีถังน้ำขนาด 100 ลิตรวางอยู่ใกล้กับโถส้วม

 

โดยคุณย่า บอกกับทีมว่า ที่บ้านถ้าน้องอลิส ปวดท้อง ย่าก็จะพาน้องอลิส เข้ามานั่งยองๆ บนโถส้วม ซึ่งน้องอลิส นั่งเองได้แต่ย่าไม่เคยปล่อยให้น้องอลิส อยู่คนเดียว และเมื่อน้องอลิส ทำธุระเสร็จ ย่าก็จะเป็นคนกวักน้ำล้างก้นให้กับน้องอลิส 

 

ส่วนห้องน้ำที่ศูนย์ฯ ย่ายืนยันว่าย่าเคยเห็น ซึ่งห้องน้ำที่ศูนย์ มีโถส้วมลักษณะเดียวกันกับที่บ้านแต่จะมีอ่างน้ำอยู่ติดกับโถส้วม นอกจากนี้ในส้วมที่ศูนย์ก็มีถังน้ำอยู่ในนั้นแต่ถังน้ำดังกล่าวมีขนาดเล็กกว่าถังที่บ้าน ซึ่งตัวย่าเอง ไม่เคยเห็นน้องอลิส เข้าไปทำธุระในห้องน้ำที่ศูนย์ ซึ่งจะมีอยู่วันหนึ่งที่ย่าไปรับแล้วน้องอลิส ปวดท้อง แต่พอเดินเข้าไปน้องอลิส ดันเดินออกมาบอกว่าไม่ปวดแล้วซึ่งวันนั้นทำให้ย่าเห็นว่ามีถังน้ำอยู่ในส้วมดังกล่าว

 

ขณะเดียวกันเพื่อไขปริศนาคำพูดครูน้อย ที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกันกับคุณตาของน้องโมเดล ในเรื่องที่ครูน้อย บอกว่าไม่เห็นตอนตาโมเดล เข้าไปอุ้มเพราะยืนอยู่ข้างนอก 

 

ทีมข่าวก็ต้องย้อนกลับไปถามกับตาน้องโมเดล อีกครั้ง ซึ่งนายบุญทวี อายุ 54 ปี เป็นตาของน้องโมเดล บอกว่า จะให้ตอบกี่ครั้งก็ยืนยันว่าเห็นครูทุกคนอยู่ในห้องเรียนที่เด็กนอนอยู่ และเด็กทุกคนก็นอนอยู่ในห้องเรียน ส่วนแม่ครัว ยืนอยู่ในครัว ซึ่งที่ครูน้อย อ้างกับช่อง 8 ว่า ตอนที่ตนเองไปอุ้มน้องโมเดล ออกมาไม่เห็นเพราะยืนอยู่ข้างนอก ไม่เป็นความจริง เพราะจริงๆแล้วตนเองเห็นครูน้อย ยืนอยู่ในห้องเรียน แต่ครูทั้ง 3 คนแยกกันอยู่ตามมุมของตัวเอง และขอยืนยันว่า ตนเองเข้าไปรับหลานเวลา 12.30 น. ก็ยังไม่มีการออกตามหาน้องอลิส หรือมีครูพูดให้ช่วยตามหาน้องอลิส แต่ครูลงไลน์กลุ่มให้ผู้ปกครองช่วยตามหาน้องอลิส ในเวลา 12.39 น.

 

ส่วนประเด็นเรื่องถังน้ำในห้องน้ำ ยอมรับว่าตนเองไม่เคยสังเกตว่า นอกจากอ่างน้ำมีถังน้ำอยู่ในห้องน้ำหรือไม่ ขณะเดียวกันตามข้อมูลที่ทีมข่าวถามกับหลานๆของคุณตา ซึ่งเคยเข้าไปเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หลานของคุณตาที่โตแล้ว ให้ข้อมูลกับช่อง 8 ว่า ก่อนที่ครูจะพาเด็กเข้านอนกลางวัน ครูจะมีการนับและเช็คชื่อเด็กว่าอยู่ครบหรือไม่

 

ขณะเดียวกันช่วงที่มีการสอบปากคำกันอยู่ ทีมข่าวไปเจอว่าครูน้อย ก็มาที่โรงพัก ซึ่งเมื่อทีมข่าวเข้าไปสอบถาม ทางครูน้อย ก็บอกว่าวันนี้ไม่ได้มาสอบปากคำแต่มารอพบทนาย เนื่องจากทางครูน้อย จะใช้ทนายคนเดียวกันกับครูหนุ่ย 

 

จากนั้นทีมข่าวก็เริ่มถามครูน้อย ทีละประเด็น โดยประเด็นแรก ทีมข่าวถามกับครูน้อยว่า วันเกิดเหตุใครใส่เสื้อสีอะไรบ้าง ซึ่งครูน้อย ยืนยันกับทีมข่าวว่าวันเกิดเหตุครูน้อย ใส่เสื้อสีส้ม ส่วนครูปูเป้ ใส่เสื้อสีเทา และครูหนุ่ย ใส่เสื้อสีชมพู ซึ่งประเด็นเรื่องเสื้อสีชมพู ทางครูน้อย ยืนยันว่าครูมีเสื้อสีชมพูทุกคน แต่จะสลับเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนสีไปตามวันนั้นๆ เช่นวันจันทร์ ครูก็จะใส่สีเหลือง และทุกวันพุธจะใส่เสื้อสีชมพู 

 

ส่วนประเด็นที่ 2. ทีมข่าวได้สอบถามครูน้อย เรื่องห้องน้ำในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งครูน้อย ยืนยันกับทีมข่าวว่า ภายในห้องน้ำนอกจากจะมีอ่างน้ำ ยังมีถังน้ำอยู่ในห้องน้ำด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าถังน้ำที่มีอยู่ขนาด 14 นิ้วหรือ 16 นิ้ว โดยวันเกิดเหตุถังน้ำใบดังกล่าวก็อยู่ในห้องน้ำ 

 

ส่วนประเด็นถ้าน้องอลิส จะเข้าไปอึในห้องน้ำ ครูน้อย ยืนยันว่าน้องอลิส ก็จะไปนั่งอึบนโถส้วมเหมือนกับเด็กคนอื่น ซึ่งทุกครั้งที่เด็กเข้าไปในห้องน้ำ ยืนยันว่าคุณครู ก็จะยืนดูอยู่ห่างๆ โดยจะเปิดประตูค้างเอาไว้เพราะครูต้องมองดูเด็กที่อยู่ข้างนอกด้วย ส่วนที่ครูน้อย เคยให้สัมภาษณ์กับช่อง 8 เอาไว้ว่าน้องอลิส เคยถอดผ้าอ้อมสำเร็จรูป แล้วไปนั่งอึข้างห้องน้ำ ยืนยันว่าเป็นความจริง 

 

จากนั้นทีมข่าวก็ถามอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีเด็กเข้าไปนั่งอึแล้วหัวทิ่มลงไปในถังน้ำบ้างหรือไม่ ซึ่งครูน้อย ยืนยันว่าไม่เคยมีเด็กหัวทิ่มถังน้ำมาก่อนเพราะครูจะยืนดูอยู่ตลอด 

 

นอกจากนี้ทีมข่าวยังย้อนถามไปถึงวันเกิดเหตุอีกครั้ง ซึ่งที่ต้องถามเพราะครูพูดไม่ตรงกันกับที่ชาวบ้านให้ข้อมูลกับทีมข่าว ซึ่งครูน้อย ยอมรับว่า วันที่ตาน้องโมเดล ไปอุ้มหลานออกมา ครูน้อยจำได้ละว่าครูน้อย อยู่ภายในห้องเรียน ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านเห็นผู้หญิงเสื้อสีชมพู วิ่งออกมาจากจุดพบศพ วันนั้นถ้าย้อนกลับไป ครูน้อยยืนยันว่า ตัวครูน้อยเอง เป็นคนเดินนำครูปูเป้ เข้าไปตามหาน้องอลิส และตอนที่เจอศพก็เห็นพร้อมๆกัน ส่วนที่ทำไมครูน้อย ถึงเดินมุ่งหน้าไปหาที่จุดนั้น ก็เป็นเพราะว่าครูหาอลิส รอบๆศูนย์ฯแล้วมันไม่เจอก็เลยเดินหาไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนที่พบศพ ตัวครูน้อยเองตกใจจนเข่าทรุดลงไปกับพื้น ก็เลยหันไปถามกับครูปูเป้ว่า วิ่งไหวไหม ถ้าวิ่งไหววิ่งไปตามคนมาช่วยหน่อย จากนั้นครูปูเป้ ก็วิ่งไปตามผู้ใหญ่บ้าน 

 

ส่วนประเด็นที่มีข่าวลือว่า วันเกิดเหตุมีสองผัวเมียอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ยอมรับว่าครูน้อย มองไปไม่เห็นใคร และเท่าที่เห็น ครูน้อย เห็นแต่หุ่นไล่กา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงวันนี้ตัวครูน้อยเอง ยังยืนยันความบริสุทธิ์ใจเหมือนเดิมว่าไม่ได้ทำร้ายน้องอลิส และครูน้อย ก็ยืนยันว่าน้องอลิส ไม่มีทางที่จะหัวทิ่มลงไปตายในห้องน้ำโดยที่ครูไม่เห็น

 

ขณะเดียวกันประเด็นเรื่องที่ชาวบ้านระบุว่าเห็นครูปูเป้ ใส่เสื้อสีชมพู วิ่งออกมาจากจุดพบศพ ช่วงเย็นวันนี้ ทางผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน มีการใส่เสื้อสีชมพูวิ่งเข้าไปตรงจุดพบศพและวิ่งออกมา ซึ่งทีมข่าวมีการถ่ายภาพจากมุมที่คนเห็นว่าถ้ามองไปจะระบุได้หรือไม่ว่าเป็นใครที่วิ่งอยู่ในทุ่งนา โดยจุดที่ชาวบ้านมองไปเห็นและที่ทีมข่าวไปยืนถ่ายภาพ จากการตรวจสอบจะอยู่ห่างมากกว่า 500 เมตร ซึ่งตามภาพที่ทีมข่าวถ่ายมาทั้งมุมกว้าง,กลาง,แคบ ก็ระบุไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะระยะทางไกล

 

ซึ่งหลังจากการจำลองแทนสายตาเสร็จ ทีมข่าวก็ถามกับนางยุพิณ อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นเมียผู้ใหญ่บ้านว่า ที่ยืนดูผู้ช่วยฯวิ่ง ในระยะดังกล่าวระบุได้หรือไม่ว่าเป็นใคร โดยเมียของผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันกับทีมข่าวว่า ต่อให้ฟ้าสว่างกว่านี้หรือเดินเข้าไปมองอีก 200 เมตรก็ระบุไม่ได้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

 

ขณะเดียวกันหลังจากพนักงานสอบสวนสอบปากคำครูหนุ่ย เสร็จแล้ว ทางชุดสืบสวน จึงมีการเชิญครูหนุ่ย ไปสอบปากคำในห้องสืบสวน ซึ่งบรรยากาศที่หน้าห้องสืบ ทีมข่าวสังเกตเห็นครูหนุ่ย มีการเดินเข้าเดินออกห้องสืบอยู่หลายรอบ จากนั้นเมื่อครูหนุ่ย เดินออกมาที่ศาลาหน้าห้องสืบ ทางตำรวจชุดสืบสวน ก็มีการเชิญนางนิ่มนวล แม่ครัวเข้าไปสอบปากคำต่อ 

 

จากนั้นในขณะที่ครูหนุ่ย เดินออกมาจากห้องสืบสวนเพื่อนำลายนิ้วมือไปมอบให้กับทางพนักงานสอบสวน ทีมข่าวก็เข้าไปถามกับครูหนุ่ยว่า วันเกิดเหตุครูหนุ่ย ใส่เสื้อสีอะไร ซึ่งครูหนุ่ย บอกว่าใส่สีชมพู และก่อนเกิดเหตุยืนยันไม่ได้เดินออกไปนอกรั้วของศูนย์พัฒนาฯ โดยเดินออกมาแค่ครั้งเดียวคือตอนที่ออกมายืนคุยโทรศัพท์ ส่วนเรื่องอื่นๆครูไม่ให้สัมภาษณ์แล้ว และขอความเป็นส่วนตัวให้ครูด้วย

 

ขณะเดียวกันในส่วนของงานศพน้องอลิส วันนี้บรรยากาศที่วัดป่ามณีศรีชมพู ซึ่งเป็นสถานที่ฝากศพของน้องอลิส ทางครอบครัวได้มีการให้ช่างไปสร้างหลังคาเพิ่มเติม เนื่องจากทางครอบครัวเชื่อว่าคดีของน้องอลิส ไม่จบง่ายๆและต้องฝากศพเอาไว้ที่วัดอีกนาน ซึ่งหลังจากนี้เมื่อสร้างสิ่วต่อเติมครบแล้วทางครอบครัวก็จะนำกล้องวงจรปิดไปติดเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานหากมีใครเข้าไปทำอะไรกับศพของน้องอลิส 

 

นางสาว พุทธมาลย์ แม่ของน้องอลิส บอกว่า ตอนนี้ทางครอบครัวได้ร้องเรียนกับกันจอมพลัง ไปแล้ว ซึ่งที่ต้องร้องเรียนไป เป็นเพราะว่าตำรวจไม่ยอมบอกความคืบหน้าทางคดี ส่วนเรื่องที่มีชาวบ้านไปลือว่ามีการจ้างปิดปากใครบ้างคน เรื่องดังกล่าวแม่ยังไม่รู้เรื่อง ส่วนเรื่องศพของลูก ก็จะเก็บไว้จนกว่าคดีจะคลี่คลาย และถ้าไม่มีอะไรคืบหน้าก็ยืนยันว่าจะไม่เผาศพ 

 

ส่วนประเด็นที่ครูและชาวบ้านให้การไม่ตรงกันว่าวันเกิดเหตุใส่เสื้อสีอะไรกันบ้าง เรื่องดังกล่าวทางครอบครัวสงสัยตั้งแต่วันแรกอยู่แล้วว่าต้องมีใครพูดไม่จริง และที่สำคัญ ทางครอบครัวก็ติดใจที่ทำไมตั้งแต่เกิดเหตุ ครูหนุ่ยถึงไม่ยอมไปให้ปากคำและทำไมต้องไปให้ปากคำในวันนี้ 

 

ส่วนประเด็นการตายของลูก นอกจากการสันนิษฐานว่าถ้าลูกไม่หัวทิ่มลงในถังน้ำตาย ลูกอาจจะสำลักน้ำตายก็ได้ เพราะตามข้อมูลที่ครูให้การว่าลูกไปเล่นโคลน เป็นไปได้หรือไม่ที่ตอนครูนำตัวน้องอลิส มาล้างตัว น้องอลิส อาจจะสำลักน้ำ ซึ่งการสำลักน้ำ น้องอลิส เคยหายใจไม่ทันและสำลักน้ำตอนที่แม่เคยสระผมให้

 

จากกรณีเมื่อปี พ.ศ.2563 สภ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งจากหน่วยกู้ภัยศีลธรรม สมาคมบ้านบึง ว่า เกิดเหตุเด็กจมน้ำในบ้านพักเสียชีวิต ญาตินำมาให้แพทย์ประจำ รพ.สต.บ้านอ่างเวียน ช่วยชีวิต จึงเข้าตรวจสอบ ที่รพ.สต.บ้านอ่างเวียน หมู่10 ต.หนองอิรุณ เมื่อไปถึงพบญาติ ๆ และร่างเด็กผู้หญิง ชื่อน้องแอม อายุ 3 ขวบ ไม่สวมใส่เสื้อผ้า ลำตัวเขียวคล้ำ ไม่มีชีพจร

 

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังห้องเช่าแห่งหนึ่ง ในต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ และได้พูดคุยกับนางเอื้องคำ อายุ 39 ปี ย่าของน้องแอม หรือด.ญ.วราภรณ์ ผู้เสียชีวิต โดยนางเอื้องคำ ได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่าย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 ในช่วงเที่ยง น้องแอมได้ นั่งเล่นดินอยู่หน้าบ้านห้องเช่า ก่อนที่น้องแอมจะเดินมาล้างมือในห้องน้ำหลังเล่นดินเสร็จ ซึ่งจากจุดที่น้องแอมเล่นดินไปถึงห้องน้ำจุดเกิดเหตุ ห่างกันเพียง 10 เมตร 

 

และคาดว่าในช่วงที่น้องแอม กำลังเข้าห้องน้ำพี่มีถังน้ำแต่ไม่มีน้ำรองอยู่ใต้ก๊อกน้ำ ก็ไปเปิดน้ำล้างมือ แต่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพราะน้องแอมเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ขณะล้างมืออาจจะอาการกำเริบจนทำให้ตกลงไปในถังน้ำดังกล่าว ประกอบกับกำลังเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างมืออยู่ น้ำก็ไหลเข้าถังเรื่อยๆ จนน้องแอมจมน้ำไม่ทันจนเสียชีวิต และในเวลาต่อมาทางครอบครัวก็ได้ยินเสียงน้ำล้นอยู่ภายในห้องน้ำ จึงเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อทำการปิดน้ำที่ล้น

 

กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนก็อยากฝากถึงครอบครัวน้องอลิส เรื่องที่เกิดขึ้นตนรู้ดีว่าทางครอบครัวยากที่จะทำใจ เพราะการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง ถึงจะช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่อยู่ด้วยกันก่อนจะจากไป ต้องประกอบด้วยความรักและความผูกพันอยู่แล้ว และการที่ได้ติดตามข่าวน้องอลิสอย่างต่อเนื่อง เพราะหัวอกเดียวกัน ตนก็มองว่าตอนนั้นเด็กยังอยู่ในความปกครองของครู ไม่ว่าเด็กจะเดินออกไปเอง หรือมีคนพาไปก็ตาม จนเกิดเรื่องสลดขึ้น ทางครูในโรงเรียนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เพราะถือว่าสะเพร่าในหน้าที่ดูแลเด็กไม่ดีจนปล่อยให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น

 

ขณะเดียวกัน ประเด็นเรื่องของครูว่าเคยปล่อยเด็กออกมาเล่นนอกรั้วศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรือไม่ วันนี้ทีมข่าวช่อง8 ได้ไปเจอกับนางทองดี อายุ 55 ปี ซึ่งนางทองดี ก็ส่งหลานเข้าไปอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน โดยคุณยายทองดี เปิดเผยว่า ขณะที่ยายส่งหลานไปอยู่ในความดูแลกับครูในศูนย์ฯ ตัวยายเองจะเป็นคนไปรับส่งหลานทุกวัน ซึ่งประเด็นที่เคยเห็นเด็กออกมาเล่นน้ำนอกศูนย์ฯ ยืนยันว่ายายไม่เคยเห็น แต่ยายรับรู้ว่าเด็กมีการเล่นน้ำที่ศูนย์หรือนอกศูนย์ เพราะว่าก่อนจะเกิดเหตุตอนที่ยายไปรับหลาน ยายเห็นหลานตัวเปียกน้ำและบางครั้งตัวก็เปื้อนโคลน ซึ่งพอ ยายถามกับครูว่าทำไมเสื้อผ้าหลานถึงเปียกน้ำ ทางคุณครูทุกคนก็ยอมรับว่าหลานมีการเล่นน้ำจริง และเท่าที่รู้หลานยายไม่ได้เล่นน้ำเพียงคนเดียว เพราะมีอยู่ครั้งนึง คุณครูเคยเอาเสื้อผ้าเปียกน้ำสลับให้เด็กคนอื่นกลับบ้าน 

 

โดยยายทองดี ยังบอกอีกว่า ในขณะที่รู้ว่าหลานเล่นน้ำเล่นโคลน ยายเคยถามกับครูว่าปล่อยให้เด็กไปเล่นโคลนหรือเล่นน้ำนอกรั้วใช่หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้มาจากครู ครูยอมรับว่า ดูแลเด็กไม่ทั่วถึง มองไม่เห็นตอนเด็กเดินออกไปเล่นนอกรั้ว และที่ยาย ยังปล่อยให้หลานไปเรียนกับครูพวกนี้ เป็นความจำเป็นเพราะยายต้องทำมาหากิน แต่หลังจากนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนครูชุดใหม่มา ทางครอบครัวยืนยันว่าจะไม่ส่วหลานไปให้กับครูชุดนี้ดูแลอีกเป็นอันขาด

ไขปมปริศนาน้องอสิสจมน้ำ บุกสำรวจอ่าง-ถัง ทำหัวทิ่มดับ?