จากกรณี เวลา 15.30 น. เมื่อวันที่ (22 มิ.ย.67) พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย กิตติอุดมพันธ์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.ชำนิ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต จึงรุดตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ บ้านหลังหนึ่ง ต.ช่อผกา อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์

 

พบศพ น.ส.วาศิฐี (หรือแอ๊ด) อายุ 39 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 เข้าที่บริเวณขมับข้างซ้าย 1 นัด ล้มนอนจมกองเลือดอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ขายของภายในบ้าน โดยหลังก่อเหตุ ผู้ต้องหาพยายามหลบหนี ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่รวบตัวคาบ้านพัก ทราบชื่อภายหลัง คือ นายไพรจิตต์ หรือฉายาเต้ หัวสะพาน อายุ 47 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนไทยประดิษฐ์ ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอกกระสุนปืนขนาด .38 อีกจำนวน 6 นัด และปลอกกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 ปลอก (ปืนไม่มีใบอนุญาต)

 

วันนี้ (23 มิ.ย.67) ทีมข่าวช่องแปดได้เดินทางไปยัง สภ.ชำนิ อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ หลังผู้ต้องหา นายไพรจิตต์ (หรือ นายเต้) อายุ 47 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไป ซึ่งทีมข่าวได้พยายามโทรหาทางผู้กำกับเพื่อขอพูดคุยกับผู้ต้องหา แต่ไม่มีการรับสาย เนื่องจากเป็นวันหยุด

 

จากนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามข้อมูลกับร้อยเวร พ.ต.ท.ศักดิ์ชาย กิตติอุดมพันธ์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.ชำนิ โดยให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้แจ้งข้อหา นายไพรจิตต์ (หรือ นายเต้) 2 ข้อหา คือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับได้รับอนุญาต ซึ่งญาติไม่มีการติดต่อขอประกันตัวแต่อย่างใด ดังนั้น ในช่วงเช้าของ (วันที่ 24 มิ.ย. 67 ) เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการนำตัวผู้ต้องหาทำการฝากขังศาลอาญานางรองต่อไป

 

ต่อมา เวลา 11.00 น. ทีมข่าวช่องแปดได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุต.ช่อผกา อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ โดยช่วงเช้าเป็นบรรยากาศในการเตรียมงานศพ เพื่อรอรับศพกลับมา ซึ่งด้านแม่ของผู้เสียชีวิตและญาติๆ ยังอยู่ในอาการเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

 

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นางนเรศ อายุ 66 ปี (แม่ของผู้เสียชีวิต) เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุ ขณะที่ตนกำลังนั่งอยู่ข้างบ้าน ตนเห็นผู้ก่อเหตุเดินเข้าไปในร้านค้า จากนั้นได้ยินเสียงลูกสาวเรียกหลานให้ไปดูน้ำร้อนเดือดแล้ว สิ้นเสียงพูด ตนได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ตนจึงรีบวิ่งเข้าไปดู พบว่าลูกสาวนอนจมกองเลือด โดยผู้ก่อเหตุได้วิ่งออกมา ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป ก่อนหน้านี้ตนก็ไม่ได้ยินเสียงทะเลาะอะไรกัน ถ้าหากได้ยินจะรีบเข้าไปช่วยและขอชีวิตของลูกสาวเอาไว้ ส่วนสาเหตุในการก่อเหตุครั้งนี้ตนไม่รู้จริงๆ ส่วนเรื่องชู้สาวตนก็ไม่ทราบ เนื่องจากลูกของตนมีครอบครัวอยู่แล้ว มี ลูกชาย 1 คน ลูกสาว 1 คน โดยสามีทำงานอยู่ที่กรุงเทพ ส่งเงินเดือนให้ใช้ทุกเดือน เพื่อให้เป็นทุนผู้ตายเปิดร้านขายของชำ และเลี้ยงลูก อีก2 คน

 

ต่อมา ช่วงบ่าย เวลา 13.30 น. รถกู้ภัย พร้อมญาติและครอบครัว ที่ได้เดินทางไปรับร่างของ น.ส.วาศิฐี (หรือนางแอ๊ด) เดินทางมายังบ้าน เพื่อนำศพกลับมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีครอบครัว ญาติ พี่น้องและเพื่อนๆ มารอรับศพผู้เสียชีวิต 

 

จากนั้น ก่อนจะนำร่างบรรจุโลงศพ ท่ามกลางความโศกเศร้า ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นว่า ลูกๆ ทั้งสองคนของนางแอ๊ด ลูกสาว วัย 16 ปี และลูกชาย วัย 9 ขวบ ร้องไห้แทบขาดใจ โดยเฉพาะลูกชายของนางแอ๊ดวัย 9 ขวบที่กรีดร้องออกมาสุดเสียง บอกว่า “เเม่ไม่ฟื้นขึ้นมาเเล้ว” จนตาต้องมากอดไว้ ก่อนจะต้องอุ้มเด็กชายออกไปด้านนอกเพื่อไม่ให้เห็นภาพศพของนางแอ๊ด

 

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นอีกว่า ก่อนจะเริ่มพิธีรดน้ำศพ ในขณะที่พี่ชายของนางเเอ๊ด ขึ้นไปนั่งบนเเคร่เเละจับมือน้องสาว ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างหนัก โดยก่อนหน้านี้ได้เสียน้องสาวที่ประสบอุบัติเหตุไปแล้ว 1 คน และมาเสียนางแอ๊ด จึงเสียใจมาก 

 

จากนั้นผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นว่า ได้มีการทำพิธีวางกระทง 4 มุมบนโลงศพ โดยมีหมากพลูและเทียนอยู่ในกระทง จากนั้นใช้มีดอีโต้เคาะขอบโลง 3 ครั้ง โดยเป็นความเชื่อของชาวภาคอีสาน เพื่อเป็นการบอกกล่าวดวงวิญญาณ และมีการกล่าวขอขมาอโหสิกรรมศพ ก่อนที่จะมีการรดน้ำศพ

 

ต่อมา นางปาริฉัตร อายุ 57 ปี อาของอดีตเมียเก่าคนก่อเหตุ เปิดใจกับทีมข่าวว่าก่อนหน้านี้หลานเขยของตนเป็นคนสระแก้วแล้วมาอยู่ในหมู่บ้านนี้นานกว่า 20 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้หลานสาวตน อดีตเมียนายเต้ (ผู้ก่อเหตุ) ที่ก่อนเสียชีวิต เคยมาเล่าให้ตนฟังว่า ตอนที่ขายของรถพุ่มพวง (กับข้าวเร่) ผู้ก่อเหตุได้ไปติดพัน กับ นางแอ๊ด ผู้เสียชีวิต ตั้งแต่ประมาณ 4 ปี ที่แล้ว ตอนนั้น ตนเองก็ไม่ทราบว่า เรื่องมือที่ 3 เป็นใครที่ไหนรู้เพียงรู้ว่า อยู่สำโรง 

 

อีกทั้งด้าน ปัญหา คนก่อเหตุ ไม่เคยมาปรึกษาหรือ ระบายอะไรให้ตนฟัง ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 มิ.ย. 67) ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่ตนกำลังตัดต้นมันอยู่กับลูกชาย นายเต้ได้ขับรถผ่านมา แวะทักทายตน ก่อนจะขับรถออกไปก่อเหตุยิงคนตาย จากนั้นตำรวจตามมารวบตัวที่บ้านของผู้ก่อเหตุ ปกตินายเต้ หรือผู้ก่อเหตุ เป็นคนดี แต่ตนคาดว่า ถ้าจะแค้นจนก่อเหตุอาจจะเป็นปมชู้ สาว 



ส่วนเรื่องของปืน ตนไม่ทราบเป็นของใคร เพราะปกติไม่ได้คุยกันมาก เพียงแค่แวะไปส่งกับข้าวให้ผู้ก่อเหตุหลังจากที่เมียตาย เป็นครั้งคราวเพราะสงสารหลานเคยที่เลี้ยงลูก อีก 2 คน และไม่เคยเห็นพฤติกรรมในการพกปืน ยืนยันเป็นคนนิสัยดีและชาวบ้านรักทุกคน และขยันทำมาหากิน

รักต้องฆ่า! สาวใหญ่ตีตัวห่าง กระสุนเป่าหัวต่อหน้าแม่