เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 มิถุนายน 2567 พลเมืองดีที่ขับรถผ่านบริเวณสี่แยกไฟแดง ถนนมหาจักรพรรดิ พบเห็นชายยืนถือป้ายวิงอนลูกหนี้ให้คืนเงินที่ยืมไป โดยมีข้อความว่า “ กราบคู่กรณีที่เคารพ วันนี้ผมมาขอร้องให้คุณคืนเงินที่เหลือให้ผมและครอบครัวทั้งหมดมียอดรวมทั้งหมด 961500 บาท เป็นหนี้ที่คุณบังคับขอร้อง อ้างสามีป่วยติดเตียง คุณพ่อรถชน กำลังจะตาย ให้ผมหายืมเงินมาให้ แต่ไม่ยอมคืนตามที่นัดไว้ ตอนยืมบอกร้อยละ 10-20 ก็ได้ แต่เวลาคืนไม่ยอมทำตามที่นัด ซ้ำยังหาเหตุยืมเพิ่ม จนครอบครัวผมเดือดร้อน อ้างเหตุผลสารพัดข่มขู่จะส่งเรื่องให้ทนายจัดการอีกต่างหาก

 

( แผ่นที่ 2 ) กราบเรียนคู่กรณี (ต่อ) คุณอ้างตลอดว่ามีเงินคืนนัดอย่างดี แต่ก็ไม่คืนอ้างว่าชนะคดีจะได้เงินบอกได้ที่ดินจะยืมเพิ่มเรียกว่าสารพัด สุดท้ายคุณบอกว่าจะหาเงินที่ไม่เสียดอกแพงมาคืน แล้วผมที่ยืมดอกแพงมาให้คุณ ครอบครัวผมต้องมารับกรรมแทนเหรอครับ คุณมีอำนาจ มีคนรู้จักใหญ่โต มีทนายชั้นดี ถึงได้มาหลอก มาทำร้ายผมและครอบครัวที่จน ลำบากได้เหรอครับ ลูกผมต้องเสียอนาคตและการเรียนเพราะคุณเหรอ เกินไปมากแล้ว คำว่าคนสะกดเป็นไหม? )

 

ทางผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปพบชายปริศนาที่ชูป้ายวิงวอนลูกหนี้ให้คืนเงินรายได้กล่าว ซึ่งทราบชื่อคือนาย ธประพนธ์ อายุ 42 ปี ได้ให้ข้อมูลว่า ตนเองได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง อายุประมาณ 30 ปี ซึ่งเป็นภรรยาน้อยของอดีตนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนเธอเป็นคนที่มีนิสัยใจคอดี คอยช่วยเหลือและดูแลคนเองและครอบครัว แต่มาระยะ 2-3 ปีหลัง สามีของเธอได้ล้มป่วยลงและกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ทำให้เธอเดือดร้อนและมีความต้องการที่จะใช้เงิน จึงได้มาขอร้องให้ตนเองช่วยหยิบยืมเงินกู้นอกระบบให้ เพราะเห็นว่า นายธประพนธ์ มีเครดิตดี ที่สามารถหยิบยืมเงินได้เป็นจำนวนมากๆ จึงได้อาศัยให้ช่วยหยิบยืมเงินให้หน่อย โดยสัญญาว่าจะใช้หนี้คืนให้ ซึ่งตนเองก็เชื่อใจ เพราะที่ผ่านมา เธอเป็นคนมีน้ำใจ ประกอบกับตัวเธอเองก็มีหน้ามีตาในสังคม จึงเชื่อมั่นว่าเธอจะไม่โกง แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป เธอนอกจากจะไม่คืนเงินแล้ว ยังข่มขู่ว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับตนเองด้วย ซึ่งปัจจุบันครอบครัวกำลังเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะตนเองมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งก็มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ ทำให้ต้องใช้เงินในการรักษา แต่ในปัจจุบันตนเองไม่สามารถไปหยิบยืมใครได้อีก เนื่องจากเงินของเก่าที่เคยยืมมาให้คู่กรณีสาว เกือบ 1 ล้านบาท ยังไม่ได้มีการส่งคืนเลย ทำให้ครอบครัวของตนเองตอนนี้ลำบากอย่างหนัก ส่วนสาเหตุที่มายืนถือป้ายในครั้งนี้ ก็เพราะคู่กรณีเป็นคนกว้างขวาง การที่ตนเองมายืนถือป้ายลักษณะนี้ คู่กรณีจะต้องเห็นและรับรู้ได้ และหวังอยากให้คู่กรณีเห็นใจ คืนเงินที่เคยหยิบยืมไป เพื่อเอามาคืน