จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น.ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ

 

ล่าสุดวันนี้ (27 มิ.ย.67) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ในพื้นที่ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ 

 

โดยเมื่อวานนี้ที่มีกระแสข่าวลือว่า วันนี้เวลา 10.00 น. ทางนายก อบต.คอนกาม จะมีการพาครูทั้ง 3 คนและป้านิ่มแม่บ้าน ไปไกล่เกลี่ยพูดคุยกับทางพ่อแม่ของน้องอลิส ที่ สภ.ยางชุมน้อย 

 

ซึ่งช่วงเช้าวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 จึงได้มีการไปปักหลักดูความเคลื่อนไหวที่ อบต.คอนกาม และปักหลักเก็บความเคลื่อนไหวที่ สภ.ยางชุมน้อย 

 

โดยในส่วนของทีมที่ปักหลักอยู่ที่ อบต.คอนกาม พบว่าช่วงเช้าเวลา 08.30 น. มีความเคลื่อนไหว คือครูหนุ่ย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ฟีโน่สีฟ้าขาว เข้าไปจอดที่หน้ากองการศึกษา อบต.คอนกาม เป็นคนแรก ซึ่งที่ทีมข่าวแน่ใจว่านั้นคือรถครูหนุ่ย ก็เป็นเพราะว่า ทางครูหนุ่ย มีการนำผ้าขาวม้าผืนเดิมที่ใช้คลุมหน้าเมื่อวานผูกติดหน้ารถมาด้วย ซึ่งตั้งแต่ครูหนุ่ย ขี่รถมาจอด ครูหนุ่ย ไม่ได้เดินออกมาปรากฎตัวให้ทีมข่าวเห็นชัดๆ แต่มีการเดินเข้าออกห้องกองการศึกษาให้เห็นแว๊บๆแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น 

 

จากนั้นเวลา 09.00 น. ทางครูน้อย ก็มีการขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีน้ำเงินดำเข้าไปจอดที่หน้ากองการศึกษา ซึ่งรถของครูน้อย จอดหันหน้าเข้าหารถครูหนุ่ย คล้ายกันเข้ามาคนละทางกัน 

 

จนกระทั่งเวลา 09.51 น. ทางครูน้อย ได้เดินออกมาค้อมรถ โดยเท่าที่ทีมข่าวสังเกต ทางครูน้อย มีท่าทางรีบขี่รถออกไป ส่วนการแต่งตัวของครูน้อย ใส่เสื้อคลุมสีเทามีฮูดคาดแดง ,กางเกงผ้าสีดำ , สะพายกระเป๋าสีครีมที่แขนข้างซ้าย , สวมหมวกกันน็อกสีดำ และสวมรองเท้าหนังสีดำ 

 

ขณะเดียวกันในส่วนของผู้บังคับบัญชาของครูทั้ง 3 คน วันนี้ทีมข่าวสังเกตเห็นทาง ผอ.กองการศึกษา เข้ามาทำงานตามเวลาปกติ ซึ่งช่วงเช้าทาง ผอ.การศึกษา ได้เดินเข้าไปที่ทำการ อบต. จากนั้นเวลา 09.45 น. ทาง ผอ.กองการศึกษา ได้เดินข้ามถนนจากที่ทำการ อบต. และเดินเข้าไปในห้องกองการศึกษาที่ครูหนุ่ย รออยู่ภายในห้อง

 

จากนั้นเวลา 10.30 น. ทางครูหนุ่ย ได้ออกมาปรากฎตัวให้ทีมข่าวเห็น ซึ่งจากการสังเกตการแต่งตัว ครูหนุ่ย ใส่เสื้อสีเขียวด้านใน ,เสื้อคลุมสีดำตะเข็บแดง , กางเกงผ้าสีดำ , รองเท้าแบบรัดส้นสีครีม , และสวมกระเป๋าสีดำ 

 

ซึ่งระหว่างที่ครูหนุ่ย เดินออกมาไขกุญแจรถ ทีมข่าวก็บอกว่า จะยังไม่สอบถามเรื่องเกี่ยวกับคดี แต่จะมาบอกครูหนุ่ยว่า พระครูฝากมาบอกว่าให้ครูหนุ่ย ใจเย็นๆ ซึ่งครูหนุ่ย ก็ยิ้ม โดยบอกทีมข่าวว่าหลวงพ่อใจดีจัง ส่วนการเตรียมตัวไปเจรจากับญาติน้องอลิส ครูหนุ่ย บอกว่าไม่ได้เตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ เดี๋ยวครูหนุ่ย จะขี่รถออกไปแวะซื้อของก่อนและจะขี่รถเข้าไปที่โรงพัก

 

ขณะเดียวกันในส่วยของครูปูเป้ เมื่อเวลา 10.45 น. ทีมข่าวพบว่าครูปูเป้ ได้ขับรถมาจอดที่หน้ากองการศึกษา เมื่อจอดรถเสร็จ ก็เดินเข้าไปในกองการศึกษา ซึ่งการแต่งตัวของครูปูเป้ สวมเสื้อคลุมสีกรมคาดขาว ,กางเกงผ้าสีดำ , รองเท้าส้นสูงสีครีม และสวมหน้ากากอนามัยสีขาว 

 

จากนั้นในขณะที่ครูปูเป้ เดินออกมาขึ้นรถ ทีมข่าวก็เดินเข้าไปถามในเบื้องต้นว่า วันนี้ครูปูเป้ จะไปร่วมการเจรจากับพ่อแม่น้องอลิส ด้วยหรือไม่ ซึ่งทันทีที่ครูปูเป้ เห็นทีมข่าว คุณครูปูเป้ มีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยหยุดเดินและหันมาบอกทีมข่าวว่า ครูปูเป้ กำลังไปร่วมการเจรจาด้วยจ้า เดี๋ยวไปเจอกันที่โรงพักนะ ส่วนที่ครูหนุ่ย บอกกับนักข่าวว่าจะแวะซื้อของ ครูปูเป้ ไม่รู้ว่าครูหนุ่ย เขาแวะซื้ออะไร

 

ในเวลา 10.00 น. ช่วงเช้า วันที่ 27 มิ.ย. 67 ทีมข่าวช่องแปดเดินทางมายัง สภ.ยางชุมน้อย ตามกำหนดการ ที่ทางครอบครัวน้องอลิสได้เผยกับทีมข่าว โดยจะมีการนัดหมายไกล่เกลี่ย รอบแรก ระหว่าง 3 ครู ซึ่งตั้งแต่วันเกิดเหตุ ครูน้อย ครูหนุ่ย ครูปูเป้ ยังไม่เคยเข้ามาพูดคุย หรือ ไกล่เกลี่ย กับทางครอบครัว หลังจากที่เกิดเหตุมีเพียงเข้ามาแสดงคำขอโทษและความเสียใจ แต่ทางครอบครัวยังไม่ได้รับการชี้แจงแต่อย่างใด 

 

ต่อมา ในเวลา 10.30 น. ครอบครัวของน้องอลิสได้เดินทางมายัง สภ.ยางชุมน้อย โดย รถเก๋ง 4 ประตู ยี่ห้อ mg สีดำ ซึ่งวันนี้ทางครอบครัวพร้อมสมาชิก จำนวน 7 คน คือ คุณพ่อ (นายปัญญา) , แม่ (น.ส.พุทธมาลย์ ) , ย่า (ทองทิพย์) และญาติๆ อีก 4 คน ที่เดินทางมาเจรจา จากนั้นเดินเข้าห้องไกล่เกลี่ยไป โดยมี พ.ต.ท. ปัญญา โพธิ์ขำ สว.(สอบสวน) สภ.ยางชุมน้อย นั่งรออยู่ภายในห้องเจรจา

 

ขณะเดียวกัน ทางด้าน ครูน้อย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ (ยี่ห้อ ฮอนด้าเวฟ คันสีน้ำเงิน) โดยสวมเสื้อกันหนาวสีเทา ใส่เสื้อสีแดง ซึ่งวันนี้ครูน้อยได้ทักทายกลุ่มสื่อมวลชน ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยพูดคุยกับผู้สื่อข่าวว่าวันนี้ตนเดินทางมาเพื่อสอบสวนและไกล่เกลี่ย เนื่องจาก เมื่อวานนี้ตนไม่ได้มา เนื่องจากติดสอบสวน ที่ อบต. ถึง 4 โมงเย็น ส่วนครูหนุ่ยตนไม่ทราบว่าจะเดินทางมาหรือไม่ จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามมีการเตรียมความพร้อมหรือไม่ ครูน้อยเผยสั้นๆ ว่าพร้อม จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าวันนี้ ได้ก้าวเท้าไหนออกจากบ้าน ครูน้อยเผยว่า จำไม่ได้คนสวย พร้อมส่งยิ้ม และเดินเข้าห้องสอบสวนไป

 

จากนั้น ครูปูเป้ ได้เดินทางมายัง สภ. ยางชุมน้อย โดยขับรถอีซุๆมิวเอ็ก คันสีขาว ขับรถวนสังเกตุการณ์ เพื่อดูลาดหลาวแล้วจอดสักครู่ ก่อนจะขับรถออกไป คาดว่าจะเดินทางกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมครูหนุ่ย

 

จากนั้น นายมุนินท์ แก้วคำ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคอนกาม ได้เดินทางมาถึง สภ.ยางชุมน้อย โดยให้ข้อมูลสั้นๆว่า วันนี้มาไกล่เกลี่ย พร้อมครูทั้ง 3 คนยืนยันมาแน่นอน 

 

หลังจากนั้น ช่วง เวลา 11.00 น. ครูหนุ่ย พร้อม นางสุกัญญา หัวหน้ากองการศึกษา (เสื้อสีส้ม) ได้เดินทางมาที่ สภ.ยางชุมน้อย เพื่อมาไกล่เกลี่ยกับทางครอบครัวน้องอลิส โดยวันนี้ ครูหนุ่ยได้สวมใส่เสื้อสีเขียว พร้อมเสื้อคลุมเสื้อสีดำและใบหน้ายิ้มแย้มไร้ความกังวล โดยมีการพูดคุยทักทายกับผู้สื่อข่าวเล็กน้อย และสอบถามหาครูปูเป้ หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามต่อ แต่ครูหนุ่ยก็ไม่ได้ตอบอะไรพร้อมเดินเข้าห้องไกล่เกลี่ยไปพบครอบครัวของน้องอลิส ที่รออยู่นานแล้วเกือบ 1 ชม. โดยขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้สังเกตเห็น ครูปูเป้เดินทางมา ถึง สภ.ยางชุมน้อยในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยด้านนอกสวมเสื้อ ฮู้ดสีน้ำเงิน ด้านในสวมเสื้อสีชมพู และปิดแมส พร้อมมีสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วเดินเข้าห้องไกล่เกลี่ยไป 

 

จากนั้นสักประมาณ 15 นาที ครูน้อยได้เดินออกมาจากห้อง สอบสวน แล้วเดินเข้าห้องเจรจาเพื่อขึ้นมารับฟังการไกล่เกลี่ย 

 

หลังจากที่ ทางครอบครัวน้องอลิส ได้เข้าไปเจรจา กับทาง ครู ทั้ง 3 คน และ นายก อบต.โดย ใช้เวลาในการเจรจา ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยบรรยากาศ ในห้องเจรจา พบว่าครูหนุ่ย ครูน้อย และครูปูเป้ มีสีหน้าที่เรียบเฉย รวมถึงสีหน้าของนายก อบต. โดย ผู้สื่อข่าวสังเกตว่า หลังจากเข้าไปในห้อง ได้มีการไหว้ทักทาย กับฝั่งทางครอบครัวน้องอลิส แต่ในลักษณะที่ไม่สบตากัน พร้อมขณะการนั่งฟังคุณครูทั้ง 3 ก็หันหน้ามองไปทิศทางอื่น 

 

ขณะเดียวกันวันนี้ ทางครอบครัวได้มีการร่างสัญญา 1 ฉบับ เพื่อทำการเจรจาตกลงเรียกชดใช้ค่าเสียหาย โดยคู่กรณีที่ 1 นายปัญญา (พ่อ) ,น.ส.พุทธมาลย์ (แม่) , และนางทองทิพย์ (ย่า) ได้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทน กรณีน้องอลิสเสียชีวิต จากครู ทั้ง 3 คน ประกอบด้วย ครูน้อย ครูหนุ่ย และครูปูเป้ คู่กรณีที่ 2 รวม จำนวน 10 ล้านบาท และเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากทางองค์การบริหารส่วนตำบลคอนกาม เนื่องจาก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ อยู่ในความดูแล ในจำนวนอีก 5 ล้านบาท อีกทั้งวันนี้ เป็นเพียงการไกล่เกลี่ยครั้งแรก และให้คู่กรณีรับทราบข้อเสนอ และนำไปปรึกษากันก่อน พร้อมลงลายชื่อไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน โดยลงชื่อ ทั้งหมด 10 คน คือ นายปริญญา (พ่อน้องอลิส) คู่กรณีที่1 , ครูน้อย ครูหนุ่ย ครูปูเป้ และ นายมุนินท์ (นายก อบต. คอนกาม) คู่กรณีที่ 2 พร้อม พยาน อีก 4 คน รวมถึง พ.ต.ท. ปัญญา โพธิ์ขำ สว.(สอบสวน) สภ.ยางชุมน้อย และหลังจากนั้น จะมีการนัดไกล่เกลี่ยอีกครั้ง โดยจะนัดเจรจา ในวันที่ 2 ก.ค. เวลา 11.00 น.

 

ต่อมาขณะเดียวกันหลังจากที่ญาติได้ออกมาจากห้องเจรจา โดย นางเพ็ญ (นามสมมติ) ยายของน้องอลิส ได้ มุ่งไปที่ ป้ายแนะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณหน้าห้อง และชี้ไปที่ รูป ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกล่าวกับทีมข่าวว่าตนรู้สึกไม่พอใจ ขณะที่ครูหนุ่ยได้เดินทางมาถึง สภ. ยางชุมน้อย และกำลังจะเข้าไปในห้องเจรจาได้มีตำรวจนายหนึ่ง ทำท่าทางจุ๊ปากและขยิบตา ให้กับครูหนุ่ยก่อนเดินเข้าห้อง และครูหนุ่ยมีการเห็นแต่ไม่ได้ตอบกลับ โดยตนเห็นแล้วรู้สึกไม่พอใจเจ้าหน้าที่ตำรวจควรให้ความเป็นธรรมกับฝั่งผู้เสียหาย ไม่ใช่เอื้อให้กับคู่กรณี มีอะไรแอบแฝงหรือไม่ 

 

นอกจากนี้ทางผู้สื่อข่าวจึงได้สอบถามว่าวันนี้ในการไกล่เกลี่ยเป็นอย่างไรบ้าง ยายของน้องอลิส เผยว่า วันนี้เป็นการเจรจา ในเรื่องของค่าเสียหายของครอบครัว และค่างานศพต่างๆ ซึ่งตนไม่ขอเปิด เผยตัวเลข แต่เป็นหลัก 10 ล้าน โดยจะมีการนัดหมาย ไกล่เกลี่ยเจรจา อีกครั้ง ในวันที่ 2 ก.ค. 

 

หลังจากนั้นทีมข่าว ได้เข้าไปสอบถามพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ญาติระบุ โดยอ้างว่า มีการส่งซิก “จุ๊ปาก ขยิบตา” ให้กับครูหนุ่ย เปิดเผยว่า ไม่เป็นความจริง ตนเพียงจะชี้และแนะนำให้ครูหนุ่ยเข้าไปในห้องเจรจา ไม่ได้มีการส่งซิกใดๆ และไม่ ได้มีความสนิทสนม เดิมตนรู้จักครูหนุ่ยเพราะ 3-4 ปี ที่แล้วครูหนุ่ยเคยได้มีการมาแจ้งความวัวหาย หลังจากนั้นครูหนุ่ยได้มาสอบปากคำ จึงได้มีการทักทายกันว่าจำหนูได้หรือไม่ ซึ่งตนเองก็ยังได้ปฏิเสธไปเพราะ จำไม่ได้ ขอยืนยันไม่มีความเกี่ยวข้องและไม่ได้มีความเอนเอียง เนื่องจากอีกไม่กี่ปีตนก็จะเกษียณแล้ว จึงไม่ได้มีการมอบหมายคดีให้กับตำรวจท่านอื่นและตนไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้

 

ขณะเดียวกันในระหว่างที่พูดคุยกับนายตำรวจดังกล่าว ทางยาย ของน้องอลิส และญาติอีก 2 คน ได้เดินเข้ามาและ มีการโต้เถียงกับตำรวจว่า ยืนยันว่าเห็นนายตำรวจสบตากับครูหนุ่ย และทางตำรวจก็โต้คืนว่า ผมยังไม่ได้ส่งซิกสายตาให้กับครูหนุ่ยเลย ทางยาย จึงโต้กลับว่า “ท่านไม่เห็นหรือไงหนูนั่งอยู่ใกล้ๆ” ตำรวจจึงโต้กลับว่าตนเพียงแค่จะเข้าไปถ่ายรูปในการเจรจา ยายจึงโต้กลับไปว่า ขณะที่ทางตำรวจกำลังยกเก้าอี้มาจะนั่งใกล้ใกล้ครูหนุ่ย และครูหนุ่ยกำลังจะพูดท่านได้มีท่าทีขยิบตาให้ครูหนุ่ย และทำมือจุ๊ปากตำรวจจึงโต้กลับว่าไม่ได้ทำจริงๆ จับตนไปสาบานที่ไหนก็ได้ไม่ได้ทำจริงๆ และตนก็เพิ่งรู้จักกับครูหนุ่ย รอบสองที่ มีคดี ยายจึงโต้กลับว่าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจบริสุทธ์ใจก็จะไม่ติดใจอะไรตำรวจโต้กลับ บริสุทธ์ใจ ไม่มีอะไรจริงๆยายจึงโต้กลับว่า แต่ถ้าท่านมีอะไรท่านจงนึกถึงเวรกรรม ที่จะเกิดขึ้นตามมา ตำรวจจึงโต้กลับ ตอบรับว่า “แน่นอน”

 

ที่แรก เปิดวงจรปิดบ้านผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 นาทีป้านิ่ม ขี่รถมาแจ้งอลิสหาย รับสารภาพกับผู้ใหญ่บ้าน ครูปล่อยเด็กเล่นด้านนอกต้อนเข้าไปแล้วแต่หาเด็กไม่เจอ ด้านทีมข่าวย้อนดูกล้อง ก่อนป้านิ่มไปจะแจ้งไม่พบใครเดินผ่านบ้านผู้ใหญ่เพื่อตามหาน้องอลิส 

 

ขณะเดียวกันวงจรปิดที่บ้านผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ที่ทีมข่าวไปขอนำเมมโมรี่การ์ด มาตรวจสอบ ปรากฎว่าพบภาพในวันเกิดเหตุ แต่วันเดือนปีในกล้องไม่ตรง และมุมกล้องก็ไม่ได้หันหน้าขึ้นหรือส่องไปที่ทุ่งนา 

 

ซึ่งภาพและเสียงที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้มาจากกล้องวงจรปิดบ้านผู้ใหญ่บ้าน พบว่า ป้านิ่ม แม่ครัว มีการขี่รถจักรยานยนต์มาหาผู้ใหญ่บ้านจริง โดยขณะที่มาถึง จะเห็นว่ารถของป้านิ่ม มีตะกร้าอยู่ท้ายรถ ส่วนในมือป้านิ่ม ถือผ้าข้าวม้าติดมือมาด้วย

 

จากนั้นเมื่อป้านิ่ม ขี่รถไปจอดหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ก็จะได้ยินเสียง ป้านิ่ม ตะโกนบอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า ผู้ใหญ่หาเด็กน้อยไม่เจอ เด็กคนนั้นชื่ออลิสน้อย ก่อนหน้านี้เห็นไปนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใต้คลอง ครูไปไล่กลับมาแล้ว หลานป้าทิพย์ก็ไม่เห็น ซึ่งเมียผู้ใหญ่บ้าน ก็บอกป้านิ่มว่า ไม่ใช่กลับเองแล้วหรอ ซึ่งป้านิ่ม ก็บอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า โน่นครูกำลังวิ่งตามหากันอยู่ ทำยังไงดีล่ะ ช่วยไปตามหากันหน่อย จากนั้นเมียผู้ใหญ่บ้านก็แนะนำป้านิ่ม ให้โทรหาย่าของน้องอลิส ซึ่งป้านิ่มตองว่า ฉันเหนื่อยแล้ว เด็กน้อยไม่น่าจะกลับบ้านได้เอง

 

จากนั้นก็จะเห็นว่ามีผู้หญิงสองคนขี่รถมาถามว่า ใครหายตามหาใคร ซึ่งป้านิ่ม ก็บอกว่า ไม่รู้เด็กเดินไปทางไหน ซึ่งชาวบ้านก็แนะนำให้ป้านิ่มโทรหาย่าของน้องอลิส ซึ่งป้านิ่มก็บอกว่ากำลังให้ผู้ใหญ่บ้านโทรให้อยู่ 

 

จากนั้นชาวบ้านทั้งสองคนก็ขี่รถไปทางศูนย์พัฒนา ซึ่งขณะนั้น ป้านิ่ม ยังเล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟังอีกว่า ก่อนอลิสหาย เห็นเด็กน้อยกำลังล้างมือเข้านอน จากนั้นก็จะเห็นป้านิ่ม ขี่รถย้อนกลับไปที่ศูนย์พัฒนา ซึ่งขากลับจะเห็นว่าป้านิ่ม คลุมหน้าด้วยผ้าขาวม้า

 

ส่วนวงจรปิดเหตุการณ์ถัดไป หลังจากนั้น 2 นาทีก็จะเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านที่ใส่เสื้อสีแดง มีการเดินโทรศัพท์แจ้งกับทางย่าของน้องอลิส ว่าหลานหาย จากนั้นก็จะเห็นภาพรวมๆที่ชาวบ้านเดินผ่านหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านและมีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

 

ส่วนความคืบหน้าทางคดีในพื้นที่ ล่าสุดวันที่เมื่อเวลา 14.00 น. ชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ มีการนำกำลังมาโดยรถตู้พร้อมอุปกรณ์ตรวจด้านเทคโนโลยี เข้าไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 โดยเมื่อไปถึง เท่าที่ทีมข่าวสังเกตอยู่ห่างๆ ทางตำรวจชุดดังกล่าวได้มีการขึ้นไปปลดกล้องวงจรปิดหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ลงมาตรวจสอบทั้ง 2 ตัว จากนั้นเมื่อปลดกล้องวงจรปิดลงมาแล้ว ตำรวจมีการตรวจสอบเมมโมรี่การ์ด ทางตำรวจได้ลองติดกล้องเข้าไปที่เดิม และก็มีการทดลองโบกมือเพื่อตรวจสอบว่าถ้าหากกล้องจุดนี้มีการบันทึกภาพได้ในวันเกิดเหตุ กล้องจะสามารถหันไปมาตามเสียงคนหรือหันไปตามจับภาพคนที่เดินผ่านหน้ากล้องได้หรือไม่ 

 

จากนั้นเมื่อทดสอบว่ากล้องทำงานได้เป็นปกติแล้ว ก็จะเห็นว่าตำรวจมีการถอดกล้องทั้ง 2 ตัวลงมาอีกครั้งแล้วก็ถือกล้องทั้ง 2 ตัวไปขึ้นรถ และก่อนที่ตำรวจจะเดินกลับไปขึ้นรถ ตำรวจชุดดังกล่าวมีการสอบสวนอะไรบางอย่างจากผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งความสำคัญกล้องของบ้านผู้ใหญ่บ้าน จากการตรวจสอบ กล้องที่ติดอยู่จะอยู่ห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ประมาณ 100 เมตร และจะอยู่ติดกับทุ่งนาที่อยู่ห่างจากสระน้ำจุดพบศพน้องอลิส ประมาณ 500 เมตร 

 

จากนั้นเมื่อตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ออกจากบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ทีมข่าวก็ขับรถตามไปเรื่อยๆ ซึ่งตำรวจชุดดังกล่าว มีการขับรถวนรอบๆหมู่บ้าน จนกระทั่งเมื่อวนไปได้สักพัก ตำรวจชุดดังกล่าวมีการขับรถตู้ไปจอดในวัด และชุดสืบบางส่วนมีการเดินวนตรวจสอบรอบๆศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยเดินวนกลับไปทางบ้านของผู้ใหญ่บ้านเพื่อตรวจสอบระยะทาง

 

นายสัตติญา ผู้ใหญ่บ้านหมู่3 ซึ่งเป็นเจ้าของกล้องวงจรปิด บอกว่า วันนี้ที่ชุดสืบจังหวัดมาขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทางตำรวจที่มาแจ้งว่าขอตรวจสอบว่ากล้องวงจรปิดใช้การได้หรือไม่ และวันเกิดเหตุกล้องที่บ้านบันทึกเสียงบันภาพได้หรือไม่ ซึ่งระหว่างที่ตำรวจถอดกล้องลงมาและนำขึ้นไปติด ตนเองเห็นว่าตำรวจมีการทดลองว่ากล้องส่ายตามเสียงคนหรือไม่ ซึ่งประเด็นการทดลองดังกล่าว ยืนยันว่ากล้องที่บ้านจะส่ายได้ตามเสียงคนที่เดินผ่านบ้าน ส่วนประเด็นว่ากล้องวงจรปิดจะบันทึกในวันเกิดเหตุได้หรือไม่ ประเด็นดังกล่าวตนเองไม่รู้ว่าบันทึกได้ไหม เพราะก่อนหน้านี้ ตนเองได้ยกเลิกการใช้ระบบคลาวด์ไปนานแล้ว จึงไม่ได้สนใจว่ากล้องหากยกเลิกระบบคลาวด์ที่เสียรายเดือนไปแล้วกล้องจะยังใช้การได้อยู่หรือไม่ 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากล้องจะใช้ได้หรือไม่ได้ ตนเองยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับตำรวจและสื่อในการนำกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นตนเองเชื่อว่ากล้องวงจรปิดอาจจะใช้การไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเสียบปลั๊กไว้ตลอด ถ้าหากใช้ได้ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่ตำรวจกับสื่อจะช่วยกันคลี่คลายคดีของน้องอลิส 

 

ขณะเดียวกันหลังจากตำรวจขับรถตู้วนไปวนมาอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อทีมข่าวย้อนกลับไปดูที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน พบว่า กล้องที่ตำรวจถือขึ้นรถไปตรวจสอบ ทางตำรวจมีการย้อนกลับมาติดวงจรปิดคืนให้ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านแล้วทั้ง 2 ตัว 

 

โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้น กล้องวงจรปิดที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ตัวที่ 1. จะส่องเข้าไปภายในบ้าน โดยตัวกล้องวงจรปิดมีลำโพงที่สามารถบันทึกเสียงได้ ส่วนกล้องวงจรปิดตัวที่ 2. เป็นกล้องที่อยู่นอกชายคา ที่เป็นกล้องส่องไปมุมทุ่งนา และกล้องตัวดังกล่าวก็มีลำโพงที่สามารถบันทึกเสียงได้เช่นกัน ซึ่งวันนี้ทีมข่าวมีการไปเดินดูมุมกล้องดังกล่าวว่า ถ้าหากกล้องส่องไปตามที่ตำรวจนำมาติดให้ใหม่มุมกล้องดังกล่าวจะสามารถมองไปถึงจุดที่พบศพน้องอลิส ได้หรือไม่ ซึ่งปรากฎว่า ขณะที่ทีมข่าวลองใช้มือถือเทียบกับมุมกล้อง ยังไงกล้องก็ส่องไปไม่ถึงจุดที่พบศพน้องอลิส เนื่องจากมีต้นไม้บัง แต่ถ้าจะมองไปที่ต้นตาล ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังจุดพบศพ มองเห็นได้ชัดว่าใครเดินผ่านเข้าออกบ้างในวันเกิดเหตุ

 

ช่อง8 จำลองเหตุการณ์เรื่องเสียง ระยะ 100 เมตร ถึง 200 เมตร ได้ยินเสียงเด็กร้อง แต่ 300 เมตรไม่ได้ยินเสียง

ขณะเดียวกันกรณีเรื่องเสียง ถ้าสมมติว่า น้องอลิส ถูกคนร้ายอุ้มไปจริงๆ ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเด็ก ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวไปจำลองเหตุการณ์เรื่องเสียง ซึ่งวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับความร่วมมือจากครอบครัวน้องคิตตี้ และตอนที่พาเด็กๆเข้าไปจำลองเหตุการณ์ ทางคุณพ่อของน้องคิตตี้ ก็เดินไปด้วย ส่วนคุณยายของน้องคิตตี้ ยืนฟังเสียงการจำลองเหตุการณ์อยู่กับทีมช่างภาพของเราที่บริเวณหน้าบ้าน

 

โดยการจำลองเหตุการณ์เรื่องเสียง จุดแรกที่ทีมข่าวเดินเข้าไปในทุ่งนา จะอยู่ห่างจากจุดที่ช่างภาพยืนเก็บภาพและเสียงประมาณ 100 เมตร ซึ่งการจำลองเหตุการณ์เรื่องเสียงในจุดแรก ทีมข่าวได้อุ้มน้องคิตตี้ขึ้นมาบนบ่า และลองให้น้องคิตตี้ ส่งเสียงร้อง ซึ่งระยะ 100 เมตรในจุดเเรก ได้ยินเสียงร้องของน้องคิตตี้ ค่อนข้างชัด 

 

จากนั้นทีมข่าวและพ่อของน้องคิตตี้ ได้เดินขยับไปอีก 100 เมตร ซึ่งจุดที่ 2.ในการจำลองเหตุการณ์คือระยะ 200 เมตร เสียงในกล้องจะได้ยินเสียงแว่วๆ แต่จับใจความไม่ได้ว่าเป็นเสียงอะไร

 

ขณะเดียวกันจุดที่ 3. ซึ่งทีมข่าวเดินลัดไปตามทุ่งนา โดยจุดที่ 3. จะมีระยะห่าง 300 เมตร และจุดดังกล่าว จากการจำลองเหตุการณ์ จุดที่ 3 ที่มีระยะทาง 300 เมตร ไม่ได้ยินเสียงเด็กร้องมาจากจุดดังกล่าว

ช่อง 8 เปิดหลักฐานเด็ดปิดคดีอลิส เจรจาไม่จบเรียก 15 ล้าน