จากกรณีวันที่ 29 มิถุนายน 2567 เวลา 21.10 น. ศูนย์วิทยุ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน รับแจ้งเหตุมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงกันมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ที่บ้านหลังหนึ่ง บ้านท่าล้อ ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเช่าปูนชั้นเดียวมีลานจอดรถ บริเวณหลังบ้านพบร่างนายอิ๋ม หรือนายกฤษกร อายุ 24 ปี ซึ่งเช่าบ้านหลังกล่าวอาศัยอยู่ ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่บริเวณเหนือกกหูด้านซ้าย ลูกกระสุนฝั่งใน นอนเสียชีวิตจมกองเลือด
ส่วนมือปืนทางญาติ ควบคุมตัวไว้ได้ในที่เกิดเหตุ ชื่อนายเมธัส อายุ 22 ปี พร้อมด้วยได้ตรวจยึดอาวุธปืนลูกซองพกสั้นขนาดเบอร์ 12 แบบไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก ลูกกระสุนที่ยิงแล้วอยู่ในรังเพลิงสีส้ม จำนวน 1 ปลอก ได้ภายในรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนที่จอดไว้ริมรั้วหน้าบ้านที่เกิดเหตุ
จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุโดยรอบ
โต๊ะอาหารพบขวดแก้วภายในบรรจุน้ำกระท่อมที่ดื่มกันไปแล้วเหลือไม่ถึง 1 นิ้วและแก้วพลาสติก 4-5 ใบมีเศษน้ำกระท่อมเหลือติดกันแก้วเล็กน้อย และพบมีร่องรอยการต่อสู้และถูกทำร้ายร่างกาย โดยมีถังขยะวางอยู่ข้างที่เกิดเหตุตกแตกกระจายในบริเวณดังกล่าว
จาการสอบถามนายเมธัส มือปืนที่ก่อเหตุเบื้องต้นในการรับสารภาพว่าได้ใช้อาวุธปืนลูกซองแบบไทยประดิษฐ์ยิงใส่ผู้ตายจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ โดยอ้างว่าช่วงเย็นได้ไปนั่งกินข้าวแล้วนั่งดื่มน้ำกระท่อม ตนเองถูกนายกฤษกร ผู้ตายซึ่งเป็นลูกน้องของพ่อพูดจาถากถางว่าเป็นรุ่นน้อง ซึ่งผู้ตายตัวใหญ่กว่า ก่อนจะมีปากเสียงกัน ก่อนผู้ตายจะท้าทาย ตนว่าตัวเล็กกว่าต่อสู้ไม่ได้ ทำให้โมโหจึงลุกไปหยิบอาวุธปืนลูกซองสั้น ที่เก็บไว้ภายในรถยนต์เก๋งที่จอดไว้หน้าบ้านมาจ่อยิงที่ศรีษะผู้ตายไป 1 นัด จนเสียชีวิตดังกล่าว
ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติม เวลา 21.06 น. ของวันที่ 29 มิถุนายน กล้องวงจรปิดบ้านพักเพื่อนบ้านซึ่งห่างจากบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 50 เมตร บันทึกนาทีที่เกิดเหตุ โดยจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดช่วงเวลา 21.06 นาที จากนั้นจะได้ยินเสียงผู้หญิงส่งเสียงร้องขึ้นมาในคลิปด้วยความตกใจ เสียงปืนดังกล่าวถูกลั่นไก่ขึ้นมาตอนที่ทั้งนายเมธัสและนายกฤษกรนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันที่บ้านเกิดเหตุ
เวลา 21.07 น. ของวันที่ 29 มิถุนายน เป็นช่วงหลังสิ้นเสียงปืน จากภาพจะเห็นพ่อของนายเมธัสรวมทั้งญาติรีบวิ่งออกมาจากบ้านพักที่ทุกคนอยู่แล้วมุ่งตรงไปยังบ้านที่เกิดเหตุทันที
เวลา 21.28 น. ของวันที่ 29 มิถุนายน เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านที่เกิดเหตุได้โทรเรียกรถกู้ภัยมา ซึ่งกู้ภัยก็เข้ามาถึงที่เกิดเหตุทันทีเพื่อเร่งช่วยเหลือนายกฤษกร คนที่ถูกยิง
เวลา 21.29 น. ของวันที่ 29 มิถุนายน จะเห็นกลุ่มเพื่อนของนายกฤษกร ขับรถมาจอดใกล้บ้านที่เกิดเหตุแล้วลงจากรถเดินไปดูอาการของนายกฤษกรทันที
ด้าน นางสาวธัญชนก ภรรยาของผู้ตาย เจ้าหน้าที่พยายามสอบถามข้อมูลส่วนตัว และสอบถามว่ามีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องอะไรกับผู้ตาย เมื่อได้ยินว่า “ผู้ตาย” นางสาวธัญชนกก็ร้องไห้ฟูมฟาย “มันตายแล้วหรอ กลับมาอิ๋มกลับมา” จนไม่สามารถให้การต่อได้ เมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสอบถามอีกครั้ง นางสาวธัญชนกได้เปิดเผยว่า ผู้ตายต่อว่านายเมธัสเรื่องทิ้งขยะภายในบ้านต้องทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง ก่อนจะมีปากเสียงกัน แล้วเห็นนายเมธัสไปหยิบปืนจากรถมาแล้วมาจ่อยิงหัวนายอิ๋มเลย ต่อหน้าต่อตา ผู้สื่อข่าวจึงไม่สอบถามต่อ เนื่องจากเป็นการทำร้ายจิตใจผู้สูญเสียที่เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
โดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจังหวัดน่าน แพทย์เวรนิติเวชโรงพยาบาลน่าน และพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรภูเพียง ทำการชันสูจน์พลิกศพ พบถูกยิงด้วยกระสุนปืนเข้าที่บริเวณท้ายทอยด้านซ้าย กระโหลกแตก หัวกระสุนพุ่งออกมาตุงอยู่ที่ตา ทำให้ตาถลน แต่ไม่มีรอยออกของกระสุน คาดว่ากระสุนฝังอยู่ในเนื้อสมอง จึงมอบศพให้มูลนิธิเพชรเกษม เขตเมืองน่าน นำศพส่งแผนกนิติเวช โรงพยาบาลน่าน เพื่อรอทำการผ่าพิสูจน์อีกครั้งในวันทำการ
ขณะที่บรรยากาศสภ.ภูเวียง จ.น่าน หลังจากตำรวจได้คุมตัวนายเมธัส อายุ 22 ปี ผู้ต้องหา ที่ยิงนายกฤษกร อายุ 24 ปี เสียชีวิต ขณะที่ทั้งนายเมธัสและนายกฤษกรนั่งกินข้าวแล้วนั่งดื่มน้ำกระท่อมด้วยกันที่บ้านพ่อผู้ก่อเหตุที่บ้านท่าล้อ ต.ฝายแก้ว อ.ภูเพียง จ.น่าน โดยในที่เกิดเหตุอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 คน มีนายเมธัสและภรรยา นายกฤษกรและภรรยา และยายของนายกฤษกร ซึ่งช่วงเกิดเหตุพ่อของนายกฤษกรไม่ได้อยู่ด้วยในบ้านพัก
โดยพล.ต.ต.ดเรศ กัลยา ผบก.ภ.จว.น่าน เป็นผู้สอบปากคำนายเมธัสด้วยตนเอง ซึ่งนายเมธัสมีสีหน้าเรียบเฉยแล้วก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ก่อนเกิดเหตุยอมรับว่าตนเองกับนายกฤษกรเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเป็นหลังที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านพ่อของตน
ที่ผ่านมาระหว่างที่อยู่ในบ้านเช่าด้วยกันกับนายกฤษกร แม้จะอยู่กันคนละห้องพักและต่างคนก็ต่างอยู่กับแฟนสาวของตัวเอง แต่มีปากเสียงกันมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการทิ้งขยะที่ทิ้งไม่เป็นที่ และเรื่องที่ไม่พอใจกันระหว่างนายกฤษกร ผู้เสียชีวิตกับแฟนสาวของตน ทำให้แคลงใจกันมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาบานปลายหรือรุนแรง
ก่อนเกิดเหตุตนก็ชวนนายกฤษกร ผู้เสียชีวิตและแฟนสาวนายกฤษกร มากินข้าวที่บ้านพักพ่อของตน และตนก็เป็นคนขับรถเก๋งพาทุกคนมาที่บ้านพ่อที่เกิดเหตุ ระหว่างทางแฟนสาวของตนทะเลาะกับนายกฤษกรบนรถ และเมื่อมาถึงบ้านที่เกิดเหตุนั่งกินข้าวด้วยกันทั้งแฟนสาวของตนกับนายกฤษกรก็ทะเลาะกันอีกรอบ แถมนายกฤษกรยังมาพาลด่าต้นโดยด่าถึงบุพการีด้วยถ้อยคำหยาบคาย ด้วยความที่อดทนมาหลายครั้งก็เลยบันดาลโทสะไปหยิบปืนที่เอามาด้วยในรถเก๋งของตน แล้วเอามาขู่นายกฤษกร โดยเล็งปืนไปที่นายกฤษกรแต่ไม่ได้ตั้งใจยิง ซึ่งไม่รู้ว่าลั่นไกปืนตอนไหนเพราะไม่รู้ตัวก็มารู้ตอนที่นายกฤษกรถูกยิงแล้ว
ส่วนปืนที่ก่อเหตุตนซื้อต่อจากรุ่นพี่ที่ทำงานในราคา 5,000 บาท ซึ่งตอนนั้นได้ปืน1 กระบอกพร้อมกับกระสุน1 นัด ยืนยันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ตั้งใจยิ่งทำไปเพราะบันดาลโทสะ
หลังจากสอบปากคำเสร็จทางตำรวจได้นำตัวนายเมธัสเข้าห้องฝากขังอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวถูกแจ้ง 3 ข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา , มีอาวุธปืนไว้ครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต , และพกพาปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
เราพยายามสอบถามนายเมธัสว่า อะไรเป็นปมเหตุที่ทำให้ต้องยิงนายกฤษกร ซึ่งเจ้าตัวตอบว่า “เขามาด่าผม เราจึงถามอีกว่าอยากขอโทษผู้เสียชีวิตหรือไหม เข้าตัวตอบว่า “ถ้ามีโอกาสก็อยากขอโทษ” ก่อนเข้าห้องฝากขังไป
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของนายกฤษกร ผู้เสียชีวิตซึ่งอยู่ต. ตำบลขึ่ง อ.เวียงสา จ.น่าน บรรยากาศที่บ้านพักทางครอบครัวผู้เสียชีวิตกำลังจัดสถานที่เพื่อเตรียมงานศพนายกฤษกร แต่ศพของผู้เสียชีวิตยังคงชันสูตรพริกศพอยู่ที่โรงพยาบาล โดยวันพรุ่งนี้ทางอาสาสมัครกู้ภัยจะนำร่างของผู้เสียชีวิตมาส่งให้ครอบครัวเพื่อจัดงานศพ
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางมาลี อายุ 67 ปี ย่าของผู้เสียชีวิต บอกว่า ตนเป็นคนเลี้ยงหลานชายคนนี้ มาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อกับแม่เขาแยกทางกัน ล่าสุดเจอหลานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลานชายเดินทางมาที่บ้านของย่าพร้อมกับแฟนสาวของหลานและผู้ก่อเหตุ
ตอนที่หลานมาที่บ้านครั้งล่าสุด หลานบอกกับตนว่าอยากกินยำหน่อไม้ ตนก็ทำให้หลานกินแล้วก็ห่อใส่ถุงให้นำกลับไปกินที่บ้านเช่าด้วย ซึ่งครั้งนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกับหลานชาย แล้วหลานก็ไม่ได้พูดอะไรไปลางบอกเหตุก่อนที่จะเสียชีวิต และหลานให้คำมั่นสัญญากับย่าว่า ปีหน้าอายุครบ 25 ปี จะบวชทดแทนบุญคุณให้กับย่า ไม่คิดว่าหลานจะมาเสียชีวิตก่อน
ในส่วนหลานรู้จักกับนายเมธัสได้อย่างไรทราบเพียงว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อนหลานไปเช่าบ้านอยู่ที่อ.ภูเพียง กับนายเมธัส คนยิง ซึ่งเขาเป็นเพื่อนกัน และทำงานด้วยกัน ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นทั้งสองคนนี้จะทะเลาะกัน เวลามาที่บ้านหลานก็จะพานายเมธัสมาด้วย ซึ่งนายเมธัสก็มากินข้าวที่บ้านย่าหลายครั้งแล้ว
ตนเสียใจมากเพราะสูญเสียหลานชายคนเดียวไปอย่างกะทันหัน ซึ่งตนมองว่าหากว่าทะเลาะกันก็น่าจะคุยกันดีๆหรือถ้าจะยิง ก็ยิงโดนส่วนอื่นก็ได้ เช่นแขน หรือขา ไม่ใช่จ่อยิงที่หัวแบบนี้ ตนจึงคิดว่าเป็นการกระทำที่โหดเกินไป และตนเองทำใจไม่ได้จริงๆ เมื่อคืน ก็ร้องไห้ทั้งคืน หลังทราบข่าวหลานถูกยิงด้วยน้ำมือของเพื่อนที่อยู่กินด้วยกันทุกวัน
ส่วนคำกล่าวอ้างของนายเมธัสผู้ก่อเหตุที่บอกว่า ยิงหลานชายของตนด้วยอารมณ์โทสะโมโห เหตุเพราะหลานของตนชอบไปว่าเขา และทะเลาะกันเรื่องการทิ้งขยะเพราะเมธัสไม่เก็บขยะ ตนขอยืนยันว่าหลานชายของย่า เป็นคนรักสะอาด เป็นคนมีระเบียบ หากว่าเจอคนทิ้งของระเกะระกะก็คงจะบ่น และอีกทั้งหลานของตนเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา เสียงดังอาจจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเคือง
ตอนนี้ตนเองขาดเสาหลักของบ้านไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร เนื่องจากว่า ที่ผ่านมาหลานเป็นคนทำงานส่งเสียย่ามาโดยตลอด ซึ่งทางครอบครัวของผู้ก่อเหตุก็ได้มาขอโทษและเข้ามาเจรจาเรื่องการชดใช้เยียวยาให้กับตนแล้ว ด้วยการเสนอที่จะให้เงินตนเป็นรายเดือน เท่ากับที่หลานย่าเคยให้ เพราะตอนนี้ตนไม่มีใครส่งเงินให้แล้ว และไม่มีรายได้ แต่ตนยังไม่ได้ตกลงรับเงื่อนไขนั้น หากถามว่าตนอโหสิกรรมให้คนยิงหลานหรือไม่ ตนก็ขออโหสิกรรมให้กับผู้ก่อเหตุ แต่ฝากสื่อถามฆาตกรยิงหลานตนทำไม เพราะ ทำใจไม่ได้ที่หลานถูกยิง