จากเหตุการณ์ที่ มีกลุ่มวัยรุ่นขับขี่รถจักรยานยนต์ใช้ปืนไล่ยิงใส่ เข้าไปในรถฟอร์จูนเนอร์ สีดำ ซึ่งมี นายวรเชษฐ์ เป็นคนขับ และ นายเจษฎา นั่งทางฝั่งซ้ายของคนขับและถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนจะไปเสียชีวิตต่อมาที่โรงพยาบาล ที่บริเวณหน้าร้าน MB BAR. ใกล้สามแยกไฟแดงลาซาลตัดแบริ่ง เมื่อช่วงเช้ามือดวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา

 

วันนี้ (30 มิ.ย.67) สำหรับความเคลื่อนไหวที่ สน.บางนา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเรียกนายวรเชษฐ์ หรือ นายเฮิร์ท คนขับรถฟอร์จูนเนอร์สีดำคันที่ถูกยิง เข้ามาสอบปากคำพร้อมกับแฟนสาว เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อวานนี้ได้มีการสอบปากคำไปก่อนหน้าแล้ว การสอบปากคำในวันนี้ใช้เวลาสอบปากคำไปประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนตำรวจจะปล่อยตัวนายเฮิร์ท และแฟนสาวกลับไป 

 

นายเฮิร์ท ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า การเข้ามาสอบปากคำในวันนี้ ตำรวจได้มีการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเองได้ให้การไปเมื่อวานทั้งหมดแล้ว ส่วนต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ อย่างที่ตนเองเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ปมนั้นเกิดจากเรื่องที่ตนเองและกลุ่มผู้ก่อเหตุมีปากเสียงถึงขั้นชกต่อยมานานแล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดคดีดังกล่าวขึ้น ตนเองและกลุ่มผู้ก่อเหตุก็เคยมีเรื่องถึงขั้นต้องขึ้นโรงพักมาแล้วถึง 4 คดีด้วยกัน (รวมคดีล่าสุดเป็น 5 คดี)

 

ซึ่งหากย้อนไปแต่ละคดี ตนเองยืนยันเลยว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกลุ่มของตนเองไม่เคยเป็นคนเริ่มก่อนแม้แต่คดีเดียว รวมถึงคดีที่เกิดขึ้นนี้ด้วย เพราะก่อนที่จะเกิดเหตุตนเองไปนั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนๆ แต่นายเล็กกับนายปาย ซึ่งเป็นคู่อริของตนเอง ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาเบิ้ลใส่ที่หน้าร้านที่ตนเองนั่งอยู่ถึง 3 รอบด้วยกัน ขณะนั้นตนเองก็ยอมรับว่า อยู่ในอาการเมาสุรา จึงเกิดความโมโหก่อนจะขับรถพร้อมกับผู้ตายตามกลุ่มผู้ก่อเหตุไป

 

ระหว่างที่ขับตามไปนั้นปรากฏว่านายเล็ก และนายปาย ได้ขับไปหากลุ่มของเขาที่ดักรออยู่ จึงทำให้ตนเองรู้เลยว่าถูกกลุ่มคนก่อเหตุลวงออกมาดักยิง ตอนนั้นตนเองได้พยายามขับรถหนี และไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า มีกลุ่มคนก่อเหตุขี่ จยย.ตามหลังมา ตนเองได้เปิดประตูรถกำลังจะไปถามว่า ขับตามมาทำไม ก่อนจะมาถูกยิงตามที่เห็นภาพในกล้องวงจรปิด ซึ่งตอนนั้นตนเองก็ไม่ทราบเลยว่าผู้ตายที่เป็นรุ่นพี่ของตนเองถูกยิงไปด้วย มาทราบอีกทีตอนที่ผู้ตายเอนตัวลงมาหาตนเองขณะที่กำลังขับรถมาขอความช่วยเหลือ

 

หลังจากเกิดเหตุจนถึงตอนนี้ตนเองทราบดีว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นใคร แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำได้เพียงให้การกับตำรวจเท่านั้น เพราะตั้งแต่เป็นข่าวจนถึงตอนนี้ถึงตนเองจะไม่เคยพูดชื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุระหว่างให้ข่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็มีการบอกต่อๆกันจากกลุ่มผู้ก่อเหตุว่า ได้มีการสั่งเก็บตนเองแล้ว หากหลังจากนี้ตนเองเป็นอะไรไป ก็ขอให้รู้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุที่มาทำร้ายตนเองคือกลุ่มเดียวกับที่ไล่ยิงตนเองเมื่อคืนก่อน

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีเรื่องกับกลุ่มผู้ก่อเหตุก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่การชกต่อยกันเท่านั้น แต่ตอนนี้มันถึงขั้นการสูญเสียกันแล้ว ถามว่าตนเองอยากจบเรื่องทั้งหมดไหม ส่วนตัวก็อยากจบแล้ว เพราะไม่อยากให้มีการสูญเสียเพิ่มเติม แต่ในทางคดีก็อยากให้ทางตำรวจได้มีการจับคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้

 

สำหรับศพของผู้เสียชีวิตหลังจากได้มีการนำร่างไปชันสูตรที่โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ญาติก็ได้ไปรับร่างมาประกอบพฤติกรรมทางศาสนาที่วัดบุญรอดธรรมาราม บรรยากาศในงานศพเป็นไปอย่างโศกเศร้า เพื่อนผู้ตายนับร้อยคนเดินทางเข้ามาร่วมงานศพ พร้อมเข้ารดน้ำศพผู้ตาย ส่วนนายเฮิร์ท คนขับรถฟอร์จูนเนอร์สีดำ หลังเข้าให้ปากคำกับตำรวจเสร็จก็ได้เดินทางเข้ามาร่วมพิธีรดน้ำศพด้วยเช่นกัน

 

นอกจากนี้ระหว่างงานศพ ทีมข่าวยังพบว่าหลังจากนายเฮิร์ทเดินทางมาร่วมรดน้ำศพ ได้มีกลุ่มเพื่อนของนายเจษฎาผู้ตายบางส่วน ไม่พอใจกับพฤติกรรมของนายเฮิร์ทที่มีการโพสต์ Facebook ท้าทายกลุ่มคู่อริ รวมถึงขับรถพาเจษฎาออกไปและถูกยิงตาย และได้เดินเข้าไปต่อว่านายเฮิร์ท มีการปะทะคารมกันภายในงานศพ จนทำให้กลุ่มพรรคพวกของทั้งสองฝ่ายต้องพากันเข้าไปแยกตัว

 

ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวรัศมี ภรรยาของผู้เสียชีวิต เธอเล่าให้ฟังว่า ในคืนวันเกิดเหตุเธอเองก็เดินทางไปที่ร้านเหล้าพร้อมกับสามี โดยบังเอิญไปเจอกับนายเฮิร์ท ซึ่งตัวของนายเฮิร์ท และสามีของเธอก็รู้จักเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน พอเจอกันก็ได้มีการทักทาย และถามสารทุกข์สุกดิบ เนื่องจากก่อนหน้านี้สามีของเธอเห็นว่านายเฮิร์ท มักจะโพสต์เฟซบุ๊กเหมือนกับท้าทาย และมีปัญหากับใครบางคน

 

แต่ระหว่างที่ทั้งคู่สองคนคุยกันเธอไม่ทราบรายละเอียดว่านายเฮิร์ท เล่าอะไรให้สามีของเธอฟังบ้าง แต่จังหวะนั้นกลุ่มคู่กรณีของนายเฮิร์ท ก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาวนเวียนที่หน้าร้านแล้วมีการตะโกนท้าทายกัน ซึ่งสามีของเธอกับนายเฮิร์ท ก็ได้มีการตะโกนท้าทายกลับไป ตามนิสัยของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมคน โดยตอนนั้นเธอเองก็ได้เข้าไปปรามสามี พร้อมบอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของเขาอย่าไปยุ่ง” แต่สามีก็ได้มีการตอบกลับว่า “รุ่นน้องโดนท้าทายแบบนี้จะให้ทำยังไง” เธอเองก็พูดไม่ออกเพราะที่ผ่านมาสามีไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้มาก่อนเลย

 

หลังจากนั้นกลุ่มคู่กรณีของนายเฮิร์ท ก็ขับมาวนเวียนที่หน้าร้านอีกประมาณสามถึงสี่รอบ ซึ่งทุกรอบก็ได้มีการตะโกนท้าทายมาโดยตลอด กระทั่งนายเฮิร์ท วิ่งขึ้นไปบนรถฟอร์จูนเนอร์ โดยมีสามีของเธอตามไปด้วย ตอนนั้นเธอพยายามจะห้ามสามีแต่ก็ห้ามไม่ทัน ก่อนที่เขาทั้งคู่จะขับรถตามรถจักรยานยนต์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุไป พอขับตามไปปรากฏว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุมีการดักรอเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ได้ชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่รถของนายเฮิร์ท จนต้องขับรถหนีกลับมาที่หน้าร้านอีกครั้ง

 

พอมาถึงที่หน้าร้านนายเฮิร์ท ก็บอกว่า สามีของเธอถูกยิง ตอนนั้นในใจเธอภาวนาขอให้ไม่โดนจุดสำคัญก็พอแล้ว แต่พอเธอเปิดประตูไปดูกลับพบว่าสามีถูกยิงที่หัว และกำลังนอนหายใจรวยริน ก่อนที่เธอจะเข้าไปประคองร่างของสามี และบอกให้นายเฮิร์ท รีบขับรถพาสามีของเธอไปที่โรงพยาบาล แต่สุดท้ายยังไม่ทันไปถึงสามีของเธอเสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

หลังจากเกิดเหตุตัวของนายเฮิร์ท ก็ได้มาโทษเธอว่า ไม่น่าพาสามีของเธอไปถูกยิงตายแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่เธอตอบนายเฮิร์ทไปนั้น เธอเองไม่ขอพูดถึง แต่ส่วนตัวมองว่าคำพูดของนายเฮิร์ท ดูสวนทางกับการกระทำ เพราะถ้าหากตอนนั้นที่ถูกคู่กรณีมาท้าทาย นายเฮิร์ทไม่ตามไป หรือขับรถกลับไปที่บ้านเพื่อไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย สามีของเธอคงไม่ถูกหลอกไปดักยิงจนเสียชีวิตแบบนี้

 

พอสามีของเธอซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวมาเสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม เธอก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตยังไงต่อไป เพราะทุกอย่างที่วางไว้มันพังทลายลงมาหมด สู้ให้สามีของเธอไปติดคุกดีกว่าต้องมาเสียชีวิตแบบนี้ โดยตอนที่เธอไปรับศพก็ได้มีการจุดธูปบอกสามี ว่าด้วยความที่เขาเป็นคนอาฆาตแค้น ไม่ยอมคน ก็ขอให้สามีของเธอไปตามจับคนร้ายให้ถูกดำเนินคดีให้หมด ไม่ใช่เอาแค่คนยิง แต่เอาทุกคนที่มีมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้

ล่าแก๊งรัวยิง 20 นัดฆ่าอริ "เฮิร์ธ"เปิดปากเชื่อถูกสั่งเก็บ หวิดฟาดปากกลางงานศพ