จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น.ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ
วันนี้ (30 มิ.ย.67) นายปริญญา นางพุทธมาลย์ พ่อและแม่ของน้องอลิส บอกว่า วันนี้ที่ต้องมาทำบุญแต่เช้า เป็นเพราะว่าเมื่อวานนี้น้องอลิส ไปเข้าฝันพี่ของน้องอลิส ก็คือน้องไอซ์ โดยน้องไอซ์ เล่าความฝันดังกล่าวให้ฟังว่า เห็นหลวงปู่ที่วัดป่ามณีศรีชมพู จูงมือน้องอลิส มาส่งที่หน้าบ้าน ซึ่งน้องอลิส ยังถือขนมมาแบ่งให้กับน้องไอซ์ โดยความฝันดังกล่าวทำให้พ่อกับแม่เชื่อว่า การที่ไปทำบุญทุกครั้งลูกได้รับทุกอย่างที่พ่อแม่ทำบุญไปให้
ส่วนเรื่องคดี ล่าสุดทางครอบครัวจะแต่งตั้งทนายโนบิตะ เป็นทนายให้กับคดีของน้องอลิส ซึ่งเมื่อวานนี้ได้คุยรายละเอียดกันเบื้องต้นแล้ว และทนายโนบิตะ ก็จะมีการเดินทางมาที่จังหวัดศรีสะเกษ ในวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่จะมีการนัดเจรจากับครูทั้ง 3 คนรอบที่ 2
ส่วนประเด็นเรื่องผลชันสูตร ตั้งแต่ทางโรงพยาบาลศรีสะเกษ เรียกไปฟังผลชันสูตรครั้งแรก ถึงวันนี้ยังไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมมากับทางครอบครัว ซึ่งทางครอบครัวก็รอลุ้นผลชันสูตรจากทางนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจว่าจะรายละเอียดมากกว่าผลชันสูตรโรงพยาบาลศรีสะเกษหรือไม่
ขณะที่ครูทั้ง 3 คน พ่อและแม่ยืนยันตั้งแต่วันที่ไปเจรจากันที่โรงพัก ถึงวันนี้ครูทั้ง 3 คน ยังไม่ได้มีการติดต่อมาขอคุยส่วนตัวกับพ่อและแม่ ส่วนป้านิ่ม ตั้งแต่กล้องบ้านผู้ใหญ่บ้านถูกเปิดเผย ทางครอบครัวยืนยันว่าไม่เคยเจอหน้าป้านิ่มอีกเลย
ส่วนประเด็นที่มีเบาะแสจากน้องแก้ม ที่เห็นอลิส หัวจุ่มน้ำ ทางครอบครัวยืนยันเชื่อในคำพูดของเด็ก เพราะเด็กไม่โกหก ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมมติว่าวันเกิดเหตุ ถ้าน้องอลิส เป็นแบบนั้นจริงๆและหลังเกิดเหตุถ้าครูบอกกับทางครอบครัวทันทีว่าน้องอลิสตาย ยืนยันว่าทางครอบครัวรับได้ แต่ถึงวันนี้ถ้าจะมายอมรับ ว่าเด็กตายและเอาไปทิ้งด้วยความตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ยืนยันทางครอบครัวรับไม่ได้และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ขณะเดียวกันเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา พ่อกับแม่น้องอลิส ได้มีการเดินทางไปติดกล้องวงจรปิด ที่อุโมงค์ฝังศพน้องอลิส ภายในวัดป่ามณีศรีชมพู โดยกล้องดังกล่าว เป็นกล้องที่พ่อกับแม่ซื้อมาเอง และตอนที่ไปติดตั้งกล้อง ทางพ่อของน้องอลิส เป็นคนใช้บันไดปีนขึ้นไปติดกล้องวงจรปิดด้วยตัวเอง
ส่วนแม่ของน้องอลิส ในขณะที่พ่อกำลังติดกล้องอยู่นั้น แม่ได้มีการไปทำความสะอาดรอบๆอุโมงค์ฝั่งศพ พร้อมกับซื้อน้ำ ,นม รวมถึงขนม ไปจุดธูปบอกกล่าวให้ น้องอลิส มารับของที่แม่นำมาให้
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้ไปเจอป้านิ่มแล้ว ซึ่งป้านิ่ม ไปทำกับข้าวกินที่บ้านครูหนุ่ย โดยป้านิ่ม ยังไม่ขอตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น แต่ยืนยันกับทีมข่าวว่า วงจรปิดที่เห็นป้านิ่ม ขี่รถออกจากบ้านแต่เช้า ป้านิ่ม บอกว่าออกไปรับจ้างตัดไม้ยูคาลิปตัส ตอนนี้ป้าตกงาน เพราะป้าไม่ได้เป็นข้าราชการเหมือนครูคนอื่น ถ้าป้าไม่ออกไปรับจ้าง ป้าก็ไม่มีเงินกิน ส่วนเรื่องไทม์ไลน์วันไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ป้านิ่ม ให้ข้อมูลว่า ให้การกับตำรวจไปหมดแล้ว
ขณะเดียวกันประเด็นของบุคคลและรถที่ผ่านกล้องบ้านผู้ใหญ่บ้านในวันเกิดเหตุ วันนี้ทีมข่าวได้มีโอกาสเดินทางไปเจอกับผู้หญิงเสื้อสีชมพู ตามกล้องหมายเลข 10
โดยนางแหลม อายุ 44 ปี เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตามกล้องวงจรปิดที่เห็นเดินลงรถที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ตนเองไปทำธุระกับผู้ใหญ่บ้านที่กรมที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อกลับมาถึงบ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นช่วงเวลาที่ลูกใกล้จะเลิกเรียน จึงเดินผ่านกล้องไปนอนรอรับลูกที่เปลข้างบ้านผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันในขณะที่นอนอยู่ที่เปล ไม่เห็นเด็กหรือได้ยินเสียงเด็กดังออกมาจากศูนย์พัฒนา และขอยืนยันว่าในขณะที่นอนอยู่ที่เปล ไม่เห็นครูเดินออกมาตามหาเด็ก กระทั่งมารู้ว่าเด็กหาย ก็ตอนที่ป้านิ่ม ขี่รถมาบอกผู้ใหญ่ตามภาพในวงจรปิด ซึ่งก่อนที่ป้านิ่ม จะขี่รถมาบอกผู้ใหญ่ ยืนยันว่าไม่เห็นครูออกเดินตามหาเด็ก และตอนที่นอนอยู่ที่เปล ก็ไม่ได้มองไปทางทุ่งนา จนกระทั่งต่อมาพอตนเองเห็นย่าของน้องอลิส วิ่งเข้าไปยังจุดพบศพ ตนเองก็วิ่งตามเข้าไปดูและพอเห็นศพน้องอลิส ตนเองก็วิ่งออกมาเลยเพราะตกใจ ซึ่งตามข้อมูลที่ชาวบ้านให้การกับตำรวจว่าเห็นผู้หญิงใส่เสื้อชมพูวิ่งเข้าวิ่งออกจากจุดพบศพ ชาวบ้านที่เห็นอาจจะเข้าใจผิดว่าตนเองเป็นครูก็ได้
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปที่หมู่ 9 ซึ่งตามข้อมูลคนที่ขี่รถผ่านกล้องคือนายคูณกับยายติ่ง โดยคนแรกคือนายคูณ อายุ 57 ปี เป็นชายเสื้อน้ำเงินที่ขี่รถพ่วงข้าง(กล้องเบอร์7) บอกว่า ที่เห็นขี่รถผ่านมา ตนเองขี่รถผ่านมาทางศูนย์เด็กจริง แต่ตอนที่ขี่ผ่านเห็นแต่ทางโล่งๆ ไม่มีเด็กเดินข้างทาง และไม่เห็นครูเดินออกตามหาเด็ก ส่วนก่อนหน้านี้ที่เคยขี่รถผ่านศูนย์เด็ก เคยเห็นแต่เด็กวิ่งเล่นกันหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้านหลังจากเลิกเรียนเท่านั้น
ด้านนางติ่ง อายุ 87 ปี เป็นชาวบ้านหมู่9 ที่นั่งรถพ่วงข้างผ่านกล้อง (เบอร์8) บอกว่า ตอนที่เห็นผ่านกล้อง ลูกสาวกำลังขี่รถพายายไปเที่ยวที่ทุ่งนาอีกหมู่บ้าน ยืนยันตอนที่ยายนั่งรถลูกสาวผ่านศูนย์เด็ก ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ไม่เห็นเด็กเดินตรงถนน ไม่เห็นครูออกเดินตามหาเด็ก ซึ่งตัวยายมารู้เรื่องว่าเด็กมันจมน้ำตาย ก็ตอนที่มีคนโทรมาบอกลูกสาว
ช่วงเวลา 15.00 น. ทีมข่าวช่องแปดได้ลงพื้นที่ มายัง ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อทอง โดยบังเอิญพบกับครูน้อย ที่เดินทางมานำรายชื่อเด็กนักเรียนที่มาเรียนในวันเกิดเหตุ ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้พูดคุยกับครูน้อย โดยเปิดเผยว่า วันนี้ตำรวจไปหาครูน้อยที่บ้าน เพื่อขอใบรายชื่อนักเรียนทั้งหมดและเช็คจำนวนนักเรียนที่มาเรียนในวันเกิดเหตุกี่คน โดยรายชื่อจะเป็นลักษณะ ผู้ปกครองที่มาส่งเด็กในตอนเช้าจะมีการเซ็นชื่อมาส่งและช่วงเลิกเรียนจะมีการเซ็นต์ชื่อมารับ ซึ่งจะรู้ว่ามีใครมาเรียนบ้าง
ส่วนประเด็น ที่มีเสียงอลิสในเวลา 11.54 น. ตามกล้องวงจรปิด ขณะนั้นครูยืนบริเวณแถวอ่างล้างมือ ยังไม่ได้เข้าห้อง ซึ่งขณะที่ครูปูเป้ได้โทรตามตาน้องโมเดลให้มารับในวันเกิดเหตุ หลังจากนั้นเป็นช่วงครูน้อยและครูปูเป้พาเด็กๆ มาล้างหน้าเตรียมจะเข้านอน
ขณะที่ประเด็นที่น้องแก้ม ให้เบาะแสกับผู้ปกครองเรื่องที่เห็นน้องอลิส หัวจุ่มน้ำ วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับทางครูน้อย อีกครั้ง ซึ่งครูน้อย ยืนยันกับทีมข่าวว่า ที่ผ่านมาเด็กในศูนย์ไม่เคยเล่นหัวจุ่มน้ำจนสำลัก แต่ยอมรับว่าเด็กที่กินนมกินข้าวเยอะ เคยสำลักนมสำลักข้าวให้เห็น
ส่วนประเด็นที่น้องแก้ม ทำท่าให้ผู้ปกครองดูว่าเห็นน้องอลิส นอนสำลักอยู่บนที่นอน ประเด็นดังกล่าว ครูน้อยยืนยันว่า วันเกิดเหตุครูน้อย ไม่เห็นน้องอลิส บนที่นอน และครูทุกคนก็มารู้ว่าน้องอลิส หาย ก็ตอนที่กำลังเช็คชื่อเด็กในขณะที่กำลังจะเข้านอน
ส่วนประเด็นเรื่องเสียงวงจรปิดบ้านผู้ใหญ่ที่ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อน้องอลิส น่าจะเป็นเสียงที่ครูเรียกชื่อเด็กๆหรือเปล่า เพราะช่วงนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าน้องอลิส หายตัวไป และช่วงที่ตาน้องโมเดล เข้าไปรับหลาน ยืนยันว่าตอนนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ว่าน้องอลิส หายตัวไป เพราะตอนนั้นเด็กยังไม่ได้ลงไปนอนบนที่นอนครบทุกคน และเท่าที่จำได้ ตอนที่ตาโมเดล เข้ามาที่ศูนย์ ครูน้อย กำลังจัดที่นอนให้เด็กอยู่ ส่วนครูปูเป้ กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป ให้กับเด็ก ส่วนป้านิ่ม กำลังล้างถาดข้าวเด็กอยู่ในครัว
ส่วนประเด็นที่กล้องวงจรปิด ได้ยินเสียงชาวบ้านคุยกันว่า ไม่ใช่ครูพาเด็กไปเล่นน้ำใต้คลองหรอ ประเด็นดังกล่าว ครูยืนยันว่าไม่เคยพาเด็กรุ่นเดียวกันกับน้องอลิส ไปเล่นใกล้คลอง ซึ่งคำว่าพาเด็กไปเล่นใต้คลอง ยอมรับว่าครูเคยพาเด็กรุ่นก่อนที่ไปเรียนโรงเรียนใหญ่แล้วไปเล่นตรงจุดนั้นจริง
ขณะที่ประเด็นที่ผู้ปกครองน้องโปรด ยืนยันว่าวันเกิดเหตุ ครูไม่เห็นน้องอลิส เล่นน้ำกับน้องโปรด แต่รู้ว่าน้องโปรด ไปเล่นน้ำที่หน้าเสาธงมาจริง เพราะตอนที่น้องโปรด เดินตัวเปียกเข้ามา น้องโปรด เดินเข้ามาคนเดียว และวันนั้นครูปูเป้ ก็เป็นคนที่เปลี่ยนชุดให้กับน้องโปรด ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงชุลมุนที่กำลังจะเอาเด็กเข้านอน ครูก็เลยไม่ได้สังเกตว่าน้องอลิส เดินตามน้องโปรด เข้ามานอนหรือไม่ ส่วนประเด็นที่ครูน้อย เคยพูดว่าก่อนเกิดเหตุล้างมือให้กับน้องอลิส ยืนยันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนที่จะเห็นน้องโปรด ตัวเปียกน้ำ และเท่าที่จำได้ วันนั้นครูล้างมือให้เด็กทั้งหมด 4 คน คือ น้องโปรด ,น้องอลิส กับเด็กอีก 2 คน จำไม่ได้ว่าเป็นใคร ซึ่งเด็กทั้ง 4 คน เดินมาให้ครูล้างมือให้เองเพราะตอนนั้นครูยืนอยู่ที่อ่างน้ำพอดี และหลังจากล้างมือเสร็จ ครูก็พาเด็กๆไปนั่งกินข้าว และหลังจากเด็กกินข้าวเสร็จ ครูก็ปล่อยให้เด็กๆไปวิ่งเล่นกัน ซึ่งตอนที่เด็กไปวิ่งเล่นกัน ป้านิ่ม ก็ช่วยดูเด็ก และคนต้อนเด็ก จากตรงบันไดและชิงช้าเพื่อพาเข้านอน ก็คือครูหนุ่ย ยืนยันหลังรู้ว่าน้องอลิส หายตัวไป ครูทุกคนออกตามหาทันที
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นางเกสร ผู้ปกครองน้องโปรด ถึงประเด็นเด็กเล่นน้ำก๊อกจะสำลักหรือหัวปักน้ำได้หรือไม่ กล่าวว่า ตามความคิดของตน อาจจะเป็นทั้งไปได้หรือไม่ได้ โดยจากการทดลองเปิดก๊อกน้ำ ได้สังเกตเห็นบุตรหลานของตน ในตอนแรกจะเปิดน้ำแรงทำให้ตัวเปียก เด็กก็จะมีการเปิดก๊อกน้ำค่อยๆผ่อนลง
อีกทั้งผู้ปกครอง ยังได้พยายามสอบถามบุตรหลานเห็นน้องอลิสสำลักน้ำหรือไม่ โดยตัวน้องโปรดเองไม่เห็น จากการสอบถามน้องจะตอบแบบไปเรื่อย บางครั้งก็ตอบเป็นตัวเองทำบ้าง ซึ่งเวลาผ่านมาหลายวันน่าจะจำไม่ได้ ส่วนน้องอลิสที่มีการหัวปักในห้องน้ำ ตนก็มองว่าอาจจะเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้พร้อมยืนยัน น้องโปรดไม่เห็นเหตุการณ์ โดยหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังเล่นน้ำน่าจะกำลังเตรียมตัวนอน
ทีมข่าวช่องแปด ได้จำลองเหตุการณ์ พาคุณยายเกสร ผู้ปกครอง พร้อมน้องโปรด ได้มาชี้จุดที่น้องโปรดเล่นน้ำกับน้องอลิสก่อนน้องจะหายตัวไปในวันเกิดเหตุ
ต่อมา ทีมข่าวได้ให้ผู้ปกครอง พยายามสอบถามน้องโปรดเล่นน้ำตรงไหนบ้าง ซึ่งน้องวิ่งไปยังบริเวณจุดอ่างล้างมือ โดยทำท่าล้างมือ ล้างหน้า โดยผู้สื่อข่าวสังเกตว่า ลักษณะที่เปิดน้ำก๊อกเด็กสามารถคาดคะเนในการเปิดน้ำได้ โดยเปิดน้ำแบบแรง และเปิดน้ำเบา
จากนั้น ผู้ปกครองพยายามสอบถามน้องโปรดเล่นน้ำกับอลิสบริเวณจุดไหนอีก น้องจึงวิ่งไปยังอีกจุดตรงก๊อกน้ำบริเวณหน้าเสาธง โดยทำท่าล้างมือ และเปิดปิดน้ำเองได้อย่างระมัดระวัง
ซึ่งหลังจากนั้น น้องโปรดวิ่งกลับมาเล่นที่กองทราย และผู้ปกครองได้พยายามสอบถามว่าเห็นน้องอลิสหัวปักน้ำหรือไม่ น้องก็กล่าวว่าไม่เห็น และไม่ค่อยอยากจะตอบ โดยผู้ปกครองกล่าวกับทีมข่าวว่าอาจจะด้วยระยะเวลาผ่านไปหลายวันน้องอาจจะจำไม่ได้
ต่อมาทีมข่าวได้ให้ผู้ปกครองสอบถามน้องโปรดว่าเล่นชิงช้ากับอลิสตรงไหน น้องโปรดจึงวิ่งไปยังชิงช้า โดยตนเองนั่งชิงช้าตัวแรก หลังจากนั้น ผู้ปกครองสอบถามอลิสนั่งตรงไหน น้องกล่าวว่าตรงนั้น พร้อมกับเดินไปนั่งชิงช้าตัวที่ 3 และแกว่งชิงช้าไปมา ซึ่งน้องโปรดสามารถบอกตำแหน่งที่นั่งได้ตรงกับจุดเดียวกันกับที่ครูน้อยได้ชี้จุดให้ทีมข่าวดูด้วยในวันนี้
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางนวลจันทร์ อายุ 56 ปี ( ผู้ปกครองน้องแต้งกิ้ว) โดยวันนี้ได้เดินทางมาจากต่างหมู่บ้าน เพื่อมายังศูนย์พัฒนาเด็กบ้านค้อโดยอยากมาดูจุดเกิดเหตุ เผยว่า วันนี้ตนเดินทางมาจากบ้าน เพื่อมาดูจุดเกิดเหตุ ซึ่งตนมีความสงสัยว่าเด็กจะสามารถเดินไปตายเองได้อย่างไร
จากนั้นทีมข่าวได้สอบถามประเด็นน้องจะสามารถสำลักน้ำได้หรือไม่ หลังจากที่คุณแม่นวลจันทร์ ได้นำๆ เด็กมาร่วมทดลองกับทีมข่าว เผยว่า ถ้าในอ่างล้างมือเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอ่างกะละมัง บรรจุน้ำ และเด็กมีการปักหัวลงไป สามารถสำลักน้ำได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งตนคิดว่าเด็กไม่สามารถเดินลงไปตายเองได้ขนาดตนเองดูจุดบันไดไม้ ก็ยังคิดว่าเด็กไม่สามารถเดินลงไปได้ ทั้งนี้ตนเองมองว่า วันนี้ที่มีการจำลอง บางครั้งน้ำเข้าจมูกเด็กก็ยังเดินออกมาได้ ไม่เล่นน้ำต่อ แต่ถ้าเป็นการเล่นน้ำในอ่าง หรือกะละมัง ก็อาจเป็นไปได้ที่จะมีการสำลักน้ำ โดยตนยังไม่เคยปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวขณะอาบน้ำ เพราะกลัวจะเกิดอันตราย
ทีมข่าวช่องแปด เดินทางไปยังบ้านของน้องอลิส เพื่อพูดคุยกับ นายปัญญา และนางสาวพุทธมาลย์(พ่อแม่น้องอลิส) ในประเด็นที่มีเห็นคลิปวงจรปิดเต็ม เผยว่า รู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อเห็นหลักฐานที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งพ่อและแม่ หลังจากเห็นคลิปวงจรปิด จึงเกิดความสงสัยในประเด็นเกี่ยวกับการตายของน้อง แต่ยังไม่ขอพูด
ในส่วน กรณีมีเด็กเห็นน้องหัวปักน้ำเละเกิดอาการสำลักน้ำ คิดเห็นอย่างไร นายปัญญา และนางสาวพุทธมาลย์(พ่อแม่น้องอลิส) เผยว่า ตนมีความเชื่อ ในสิ่งที่เด็กเห็นและกล้าพูดออกมา เชื่อว่าน้องอาจจะจมน้ำตายที่ศูนย์ฯ ก่อน และแม่ยังเผยอีกว่า น้องกลัว ปกติเวลาสระผม แม่ตักน้ำ ราด 1-2 ขัน น้องจะบอกว่าพอแล้ว พร้อมกับวิ่งหนี ทั้งนี้เวลาแม่ให้น้องเล่นในสระ ที่มีการสูบลมยาง น้องก็จะสามารถเล่นได้ปกติ แต่ไม่เคยเอาหัวลง ให้น้ำเปียกหัวโดยจะเป็นคนหวงหัวของตนเองมาก โดยสามารถคิดได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวปักเอง หรือมีคนทำ
นอกจากนี้ตนรู้สึกดีใจ ที่ชาวบ้านหลายๆคน เริ่มออกมา พูด เพื่อช่วยคลี่คลายคดี ก็อยากขอบคุณทุกๆคนพร้อมยกมือไหว้ และส่วนตัวมองว่าน้องอาจจะ สำลักน้ำในห้องน้ำ เพราะมีน้ำขัง ส่วนอ่างน้ำล้างมือตนมองเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นก๊อกน้ำ