จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น.ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ยัน ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้หลักฐานใหม่ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดจากโรงเรียนแห่งหนึ่ง วันที่ 14 มิ.ย. เวลา 12.30 น. จะเห็นมอเตอร์ไซค์ 2 คัน โผล่กลางทุ่งนา โดยเป็นลักษณะขี่ตามกันมา มุ่งหน้าไปทางศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
จากนั้นเวลา 13.16 น. จะเห็นรถพยาบาลใช้เส้นทางเดียวกันกับมอเตอร์ไซค์เพื่อเข้าปรับศพน้องอลิส
นอกจากนี้ทีมข่าวยังไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดตั้งแต่ 11.30 - 12.30 น. ไม่มีรถคันไหนผ่านเส้นทางนี้เลยนอกจากรถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน
จากนั้นเมื่อทีมข่าวเห็นภาพตามกล้องวงจรปิดที่มีรถจักรยานยนต์ 2 คันขี่ขึ้นมาจากทางเข้าทุ่งนา วันนี้ทีมข่าวจึงให้ทีมช่างภาพยืนเก็บภาพอยู่ตรงมุมกล้องในโรงเรียน ส่วนนักข่าวลองไปขี่รถทดสอบดูให้เห็นว่า ถ้าขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปในจุดดังกล่าวและขี่ออกมา ช่างภาพจะสามารถเก็บภาพได้หรือไม่ ซึ่งปรากฎว่า ในขณะที่นักข่าวทดสอบลองขี่รถ ตอนที่ซูมภาพเข้าไปเห็นชัดว่าทางดังกล่าวสามารถขี่รถลงไปได้ ส่วนตอนที่ขี่ออกมา ทั้งขณะที่ซูมภาพเข้าไปและไม่ได้ซูมภาพเข้าไปก็จะเห็นตอนที่นักข่าวขี่รถออกมา
ต่อมาทีมข่าวได้พาชมภายในอาคารเรียนโดยจะเป็นลักษณะห้องโถง ขนาด กว้าง14เมตร ยาว10เมตร ซึ่งทีมข่าวสังเกตเห็นว่า ด้านในสุดจะเป็นชั้น สีชมพูเป็นที่ตั้งกระเป๋าของเด็กๆ จากนั้นด้านข้างจะเป็นห้องพักครูสำหรับทำงาน โดยเป็นห้องกระจกสีดำ โดยกระจกในห้องพักครูสามารถมองเห็นไปยังจุดบันไดที่น้องอลิสเล่น ก่อนน้องจะหายตัวไป
จากนั้นทีมข่าวสังเกตเห็นลิ้นชักเก็บของส่วนตัวของเด็กแต่ละคน โดยจะติดรูปถ่ายไว้ที่ลิ้นชัก จากนั้นด้านบนลิ้นชักยังมี ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 2-3 ชิ้น ในตะกร้าที่ยังหลงเหลือ และมีขวดนมเด็ก ที่ยังมีคราบนมติด จากนั้นยังคงพบข้าวของต่างๆ ของน้องๆที่ยังคงเหลือ เช่น ที่นอนเด็ก ซึ่งบริเวณชั้นของส่วนตัวจะติดกับห้องน้ำ และประตูด้านหลังที่สามารถออกไปได้
ทีมข่าวช่องแปดได้จำลองเดินออกจากห้องน้ำภายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยผ่านประตูด้านหลังอาคารและเดินไปยังจุดบันได โดยสังเกตว่าหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำโดยผ่านประตูไป จะเป็นฝาผนังทึบของตัวอาคารไม่มีหน้าต่างด้านขวามือ ส่วนซ้ายมือจะเป็นฝั่งรั้วโล่งจากนั้นผ่านบริเวณชิงช้า และข้ามรั้วไปซึ่งวันนี้รั้วถูกถอดออกเพราะอยู่ระหว่างปรับปรุง และเดินไปยังจุดบันได ซึ่งสังเกตุว่าหากผู้ใหญ่ไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นว่ามีคนเดินผ่านไปบริเวณด้านหลัง
ทีมข่าวช่องแปดได้จำลอง เดินจากประตูด้านหลังของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผ่านรั้ว และจุดบันไม้เพื่อขี่รถมอเตอร์ไซต์ ไปยังเส้นทางใหม่ หลังโรงเรียน ไปยังจุดหมายปลายทางคือ ป่าต้นตาลโดยมีระยะทาง ประมาณ 400 เมตร
ซึ่งผู้สื่อข่าวสังเกตได้ว่าขณะที่ขับรถผ่านเส้นทางด้านหลังเพื่อไปป่าต้นตาล จะผ่าน 2 ข้างทางที่มีแต่ นา และป่า ซึ่งห่างจากจุดโรงเรียน 50 เมตรฝั่งขวามือ จะมีต้นไม้สูงขนาด 20 เมตรบดบังสายตา ซึ่งถ้าหากมองมาจากถนนด้านนอกก็จะไม่เห็นนา ด้านซ้ายมือ จากนั้น ขับผ่าน 3 แยก ซึ่งจะเป็นทางโค้งเพื่อเลี้ยวเข้านา โดยจะผ่านโรงเรียนบ้านค้อเมืองแสน ซึ่งจะมีหญ้าบดบังและติดกับสนามบอล จากนั้นขับตรงเข้าไปยังป่าต้นตาล ซึ่ง 2 ข้างทางจะมีแต่นา หากไม่มีชาวบ้านที่ทำนาแถวนั้นก็จะไม่เห็นใคร เพราะเป็นที่นาโล่งกว้าง ไม่มีบ้านเรือน จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงขับรถไปจอดตรงจุดป่าต้นตาล ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์ไม่สามารถขี่เข้าไปได้ ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวลองหันกลับไปมองที่จุดศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ปรากกฏว่ามองไม่ค่อยเห็น เพราะมีต้นไม้บังอยู่จำนวนมาก ซึ่งมองเห็นเพียงทางลงนาเล็กๆ ตรงข้ามกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และนอกจากนี้ มองไม่เห็นทางเข้านา ตรงจุด 3 แยกเมื่อขี่รถผ่านโรงเรียนเนื่องจากจุดอับสายตา
ขณะเดียวกันในส่วนของครอบครัวน้องอลิส วันนี้เมื่อตอนเช้า ทางพ่อแม่น้องอลิส และย่าของน้องอลิส ได้เดินทางไปหาแม่หมอบ้านผือใหญ่ ที่อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ
โดยวันนี้ในขณะที่วิญญาณน้องอลิสเข้าร่างแม่หมอ แม่หมอมีการนั่งร้องไห้ จากนั้นแม่หมอก็พูดเป็นเสียงเด็กว่าหนูอยากกินแตงโม หนูอยากได้กิ๊บสีชมพู กิ๊บสีชมพูอยู่ที่บ้าน จากนั้นแม่หมอ ก็พูดเป็นเสียงเด็กอีกว่า วันเกิดเหตุไปเล่นน้ำก๊อก แล้วแม่หมอก็ไอ โดยพูดออกมาอีกว่า วันนั้นหนูเป็นหวัด เพราะหนูไปเล่นน้ำ จากนั้นแม่หมอ ก็มองหน้าแม่อลิส และถามกัยแม่อลิสว่า เงิน 20 บาทของหนูอยู่ไหน ซึ่งแม่ก็ตอบว่าเงิน 20 บาทอยู่ในกระเป๋านะลูก แม่ไม่ได้เอาออกจากกระเป๋า
จากนั้นทางญาติๆก็บอกกับร่างทรงแม่หมอว่า อยากจะบอกอะไรบอกมาเลยอลิส ซึ่งร่างทรงแม่หมอ ก็บอกว่าเอาตำรวจไปจับพวกมันเลย ยายรู้ไหมมันพาหนูไป
จากนั้นเมื่อแม่หมอเริ่มคอแห้ง แม่หมอก็บอกว่าอลิส อยากกินน้ำโออิชิขวดสีเหลือง อยากกินขนม พอญาติเอาไปให้แม่หมอก็ยกขวดน้ำดื่มทันที และก็แกะขนมกิน
จากนั้นท้ายคลิปที่ 2 จู่ๆ แม่หมอก็ร้องไห้ขึ้นมา โดยบอกว่าวันนั้นหนูไม่อยากไปโรงเรียน แต่ตาบังคับให้หนูไป ถ้ายายไม่ให้หนูไป หนูก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
จากนั้นเมื่อญาติๆไปคุยกับแม่หมอเสร็จ แม่หมอยังบอกให้ทางพ่อและแม่ แวะวัดอาบน้ำมนต์ ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน
โดยเช้าวันนี้ขณะที่ทีมข่าวกำลังเดินทางเข้าพื้นที่ จู่ๆก็เห็นป้านิ่ม ขี่รถคู่ใจอยู่บนถนนใหญ่ ทีมข่าวก็เลยขับรถตามเนื่องจากคิดว่าป้านิ่ม กำลังขี่รถไปสอบปากคำที่ สภ.ยางชุมน้อย แต่ปรากฎว่าพอป้านิ่ม ขี่รถไปถึงแยกไปแดงในตัวอำเภอยางชุมน้อย ป้านิ่มไม่ได้เลี้ยวไปทางโรงพัก แต่ป้านิ่ม เลี้ยวเข้าไปในโรงพยาบาลยางชุมน้อย และพอเลี้ยวเข้าไปก็มีท่าทางมองหาใครสักคน
ขณะเดียวกันเมื่อป้านิ่ม จอดรถ ทีมข่าวก็เดินลงไปถามว่าป้านิ่ม มาทำอะไรที่โรงพยาบาล โดยป้านิ่ม เปิดใจกับทีมข่าวว่า ป้ามาตามหาครูหนุ่ย เนื่องจากครูหนุ่ยมานอนเฝ้าสามีของเขาตั้งแต่เมื่อวานนี้ และก่อนที่ป้านิ่ม จะมาโรงพยาบาล ป้าไปขึ้นทะเบียนการเกษตรมาก่อน
จากนั้นทีมข่าวก็ถามป้านิ่ม ต่อว่า กล้องวงจรปิดที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมีเสียงป้านนิ่ม พูดว่าครูพาเด็กไปเล่นน้ำใต้คลองหรือใกล้คลอง ยืนยันป้านิ่ม ไม่ได้หมายความว่าครูพาไปเล่นน้ำใกล้คลอง แต่จะพูดสื่อความหมายว่าครูออกเห็นเด็กไปเล่นอยู่ตรงบันได ครูไปตามเด็กเข้ามาแล้วแต่ไม่เห็นน้องอลิส และตอนที่ไปหาผู้ใหญ่บ้าน ยืนยันป้านิ่ม ก็ยังไม่ได้ตกใจอะไร เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าน้องอลิสจะไปจมน้ำ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังถามกับป้านิ่มอีกว่า แล้วศูนย์พัฒนากับบ้านผู้ใหญ่ใกล้กันขนาดนั้น ทำไมป้านิ่ม ต้องขี่รถออกมาแจ้งผู้ใหญ่ และก่อนที่ป้านิ่ม จะขี่รถมา ป้านิ่ม ขี่รถไปที่ไหนมาบ้าง โดยป้านิ่ม ตอบคำถามประเด็นดังกล่าวว่า ก่อนที่ป้าจะขี่รถออกมา ป้านิ่ม วิ่งออกตามหาเด็กกับครู อยู่รอบๆ ศูนย์ จากนั้นพอไม่เจอก็เลยขี่รถออกไปบอกผู้ใหญ่บ้านว่าออกตามหาเด็กแล้วแต่ไม่เจอ ซึ่งคำพูดที่ป้านิ่ม ไปบอกผู้ใหญ่ ยืนยันป้านิ่ม ตั้งใจไปบอกให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยตามหา ไม่เข้าใจทำไมชาวบ้านถึงพูดลือกันไปมั่ว ซึ่งประเด็นดังกล่าว เมื่อตำรวจรู้เรื่องตำรวจก็เข้ามาสอบปากคำป้านิ่ม ที่บ้านทุกวัน วันนี้ก็มาสอบปากคำป้านิ่ม ที่บ้านครูหนุ่ย ตั้งแต่เช้า
ต่อมายป้านิ่ม เล่าไทม์ไลน์ในวันเกิดเหตุให้ทีมข่าวฟังว่า วันเกิดเหตุก่อนที่ป้านิ่ม จะขี่รถจักรยานยนต์ไปที่ศูนย์พัฒนา ช่วงเช้า ป้านิ่ม ทำกับข้าวให้เด็กอยู่ที่บ้าน จากนั้นเมื่อทำกับข้าวเสร็จ ป้านิ่ม ก็นำหม้อใส่แกง วางที่หน้ารถ 1 หม้อ และนำหม้อใส่แกงอีกหม้อไปวางตรงตะกร้าท้ายรถอีก 1 หม้อ เมื่อวางหม้อใส่แกงเสร็จแล้ว ป้านิ่ม ก็ขี่รถนำกับข้าวไปให้เด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยที่จำได้ ป้านิ่มขี่รถไปถึงที่ศูนย์พัฒนา ประมาณ 11.07 น. หรือ 11.08 น. ซึ่งพอไปถึงป้านิ่ม ก็ยกหม้อใส่แกงลงมาจากรถ จากนั้นครูทั้ง 3 คนก็มาช่วยจัดกับข้าวใส่ถาดให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งเท่าที่จำได้ เด็กมาเรียนในวันนั้นทั้งหมด 22 คน
จากนั้นทีมข่าวก็ถามป้านิ่มว่า ก่อนเกิดเหตุเด็กกินข้าวกันทุกคนหรือยัง แล้วป้านิ่ม เห็นน้องอลิส มากินข้าวด้วยหรือไม่ โดยป้านิ่ม ตอบว่า ป้าจำไม่ได้ว่าเด็กคนไหนมานั่งกินข้าวบ้าง เพราะตอนที่เด็กนั่งกินข้าวกัน ป้าเห็นเด็กบางส่วนไปยืนกันอยู่ตรงบันได จากนั้นในขณะที่ป้านิ่ม ยืนล้างถาดอยู่ ป้าก็เห็นครูหนุ่ย เดินไปเรียกเด็กที่ยืนอยู่ตรงบันไดให้กลับเข้ามาในศูนย์ ซึ่งตอนที่ป้าล้างถาดเสร็จแล้ว ตัวป้าเองยังเดินข้ามตาข่ายไปดูตรงบันไดเพื่อความแน่ใจว่าเด็กเข้ามาหมดหรือยัง ซึ่งตอนที่ป้าเดินไปส่องดูตามหลุมที่มันมีน้ำขัง ยืนยันไม่มีเด็กอยู่ตรงบันไดหรืออยู่ตรงหลุมน้ำแล้ว
ส่วนประเด็นที่ทำไมป้านิ่ม ถึงรีบขี่รถไปบอกกับผู้ใหญ่บ้าน จริงๆแล้ว ครูไม่ได้เดินออกมาสั่งให้ป้านิ่ม ไปบอกผู้ใหญ่ แต่ก่อนที่จะรู้ว่าน้องอลิส หายไป ตอนที่ครูเช็กชื่อเด็กเข้านอน ตัวป้าเอง ได้ยินครูพูดกันว่าทำไมน้องอลิส ถึงไม่มาเอาขวดนมกับที่นอน จากนั้นป้าก็ได้ยินครูโวยวายกันว่าไม่เห็นน้องอลิส ไม่เห็นน้องอลิส และครูก็วิ่งออกไปตามหากัน ด้วยความตกใจป้าก็เลยวิ่งไปช่วยครูตามหา ซึ่งตอนที่ออกตามหากัน ครูและป้านิ่มวิ่งออกตามหากันบริเวณในวัด จากนั้นก็ไปยืนส่องดูตามแหล่งน้ำใกล้ๆกับศูนย์ แต่ก็ไม่เห็นใคร และเมื่อป้าคิดได้ว่าจะต้องไปบอกให้ผู้นำหมู่บ้านให้เกณฑ์คนไปช่วยตามหา ป้าก็เลยขี่รถไปบอกกับผู้ใหญ่บ้านตามภาพในวงจรปิด ยืนยันตอนที่ขี่รถออกไป ป้านิ่มขี่รถออกไปคนเดียว ส่วนครูน้อย ไม่ได้ขี่รถออกไปจากศูนย์ และคำพูดที่บอกว่าครูพาเด็กไปเล่นใกล้คลอง ยืนยันเหมือนตอนเช้าป้าตั้งใจจะไปสื่อกับผู้ใหญ่ว่าครูออกตามหาเด็กใกล้คลองแล้วแต่ไม่เห็น
ส่วนประเด็นที่ย่าของน้องอลิส ข้องใจป้าเรื่องที่ทำไมบ้านอยู่ใกล้ และป้าถึงไม่ขี่รถไปบอกที่บ้าน ยืนยันว่าตอนที่รู้ว่าเด็กหาย ป้าตั้งใจไปบอกผู้ใหญ่บ้านก่อน เพราะป้าต้องการให้ผู้ใหญ่บ้านพาคนกลุ่มใหญ่ไปช่วยตามหาเด็ก อย่ามาคิดว่าป้ามีเงื่อนงำอะไร รับประกันป้าพูดความจริง ตอนนี้ป้าสงสารครูทุกคน ซึ่งป้ายืนยันว่าครูทุกคน เป็นคนดี ไม่เคยดุด่าว่าเด็ก และที่ผ่านมาที่ป้าไม่อยู่บ้าน ป้ายืนยันว่าป้าไม่ได้หนีสื่อ ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง ป้าตกงาน ป้าจึงมีความจำเป็นที่ต้องออกจากบ้านแต่เช้าไปรับจ้างตัดไม้ เลี้ยงวัวกลับดึกทุกวัน
ส่วนความคืบหน้าทางคดี วันนี้ทางพ่อและแม่ของน้องอลิส ได้ขอให้ทีมข่าวโทรวิดีโอคอล ไปหานายเตชธรรม โลหิตดี หรือทนายโนบิตะ ซึ่งเป็นทนายที่กันจอมพลังแต่งตั้งให้มาทำคดีน้องอลิส
โดยบรรยากาศครั้งแรกที่ พ่อและแม่ของน้องอลิส ได้เจอหน้ากับทนายโนบิตะ พ่อและแม่น้องอลิส ค่อนข้างจะตื่นเต้น ซึ่งทนายโนบิตะ ก็สื่อสารกับพ่อแม่เป็นภาษาอีสาน จากนั้นทนายโนบิตะ ก็ได้ทำความเข้าใจกับพ่อแม่ของน้องอลิส ว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องคดีเพราะตัวทนายโนบิตะ จะเดินทางไปทำคดีด้วยตัวเอง ซึ่งวันที่ 5 กรกฎาคม ที่เป็นวันนัดเจรจากันเป็นรอบที่ 2 ตัวทนายเองจะไปพูดคุยกับครูทั้ง 3 คนว่าจะหาทางออกกันยังไงกับยอดเงิน 15 ล้าน แต่ถ้าไม่สามารถตกลงด้วยยอดเงินดังกล่าวได้ ทางทนาย ก็ต้องคำนวณว่า ถ้าน้องอลิส โตขึ้นมา หากน้องมีงานทำและมีชีวิตที่ดี น้องอลิส จะสามารถหาเงินได้เดือนละเท่าไหร่ ซึ่งยอดเงินที่ทนายไปดำการ อาจจะมากกว่ายอดเงินที่ตำรวจร่างเอกสารไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนเรื่องคดี ทนายก็จะดำเนินคดีการไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องคดี ไม่ต้องกังวลเพราะทนายจะเป็นคนไปสืบหาข้อเท็จจริงทั้งหมดร่วมกับตำรวจ