จากกรณีที่เด็กหญิง อลิส วัย 3 ขวบ หายไปจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านค้อ ตำบลคอนกาม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ ก่อนพบจมน้ำเสียชีวิตอยู่ในสระน้ำกลางทุ่งนา ระยะห่างจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไปประมาณ 800 เมตร เมื่อเวลา 12.40 น.ของวันที่ 14 มิ.ย. 67 ซึ่งพ่อแม่ยัน ไม่ปักใจเชื่อลูกตนเองเดินไปยังจุดเกิดเหตุ
โดยวันนี้ทีมข่าวได้รับคลิปของน้องแก้ม โดยคลิปที่แม่น้องแก้ม ส่งมาให้กับทีมข่าว เป็นคลิปความยาว 10 วินาที ซึ่งจะเห็นว่าน้องแก้ม มีการนำหัวจุ่มลงไปในถังน้ำแล้วก็แกว่งขาไปมาลักษณะพยายามบอกแม่ว่าเป็นแบบนี้ จากนั้นเมื่อน้องแก้ม นำหัวขึ้นมาจากถังน้ำ น้องแก้ม ยังไอให้แม่ดูและพยายามบอกแม่ว่าตัวเปียกน้ำ
ต่อมาทีมข่าวได้คุยกับนางคำบัว อายุ 66 ปี ซึ่งเป็นย่าของน้องอะเดล ที่ตำรวจเรียกไปสอบปากคำในวันนี้ บอกว่า ที่ตำรวจเรียกไปสอบปากคำ ตำรวจถามเรื่องไทม์ไลน์ว่า ตอนไปรับหลานในวันเกิดเหตุ เห็นอะไรบ้าง ซึ่งย่าก็ให้ข้อมูลตำรวจไปว่า ตอนที่ไปรับหลาน ย่าเห็นหลานเสื้อเปียกน้ำ ส่วนกางเกง เห็นครูนำกางเกงของหลานที่เปียกน้ำไปตากเอาไว้ที่รั้วหลังศูนย์พัฒนา โดยถึงตอนนี้ย่าก็ยังไม่ได้ไปเอากางเกงหลานกลับมา และวันนั้นที่รับหลานกลับมาบ้าน หลานก็เป็นหวัดวันเดียวกันกับน้องโปรด แต่ย่าไม่ได้ถามกับหลานว่าวันนั้นเล่นน้ำกับใครบ้าง เพราะตัวย่า เคยรู้ว่าหลานชอบเล่นน้ำก๊อกกับน้องโปรด และย่าก็เคยเห็นหลานชอบเอาหัวไปรองน้ำตรงก๊อก จึงเชื่อว่าที่ครูน้อย เคยพานักข่าวไปชี้ตรงก๊อกน้ำว่าล้างมือให้เด็ก 4 คน แต่จำชื่อเด็ก 2 คนไม่ได้ ย่าจึงคิดว่าเด็กคนนั้นที่ครูน้อย จำชื่อไม่ได้อาจจะเป็นน้องอะเดล เพราะน้องอะเดล เป็นเด็กที่ชอบเล่นกับน้องโปรด และที่ครูจำชื่อน้องอะเดล ไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่าน้องอะเดล เพิ่งจะเข้าไปเรียนก่อนเกิดเหตุ 3 สัปดาห์ ส่วนการลงบันทึกตอนไปส่งหลาน ช่วงเช้าวันเกิดเหตุลุงของอะเดล เป็นคนไปส่งซึ่งลุงบอกว่าลงบันทึกตอนไปส่ง แต่ตอนไปรับย่าไม่ได้ลงบันทึกเพราะรีบรับหลานกลับบ้าน
ด้านนางก้อย (นามสมมติ) แม่ของน้องแก้ม บอกว่า วันนี้ที่ตำรวจเรียกไปสอบปากคำ ตำรวจถามว่าวันเกิดเหตุเข้าไปรับลูกตอนกี่โมง และตำรวจยังถามอีกว่า ตอนที่ไปถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เห็นป้านิ่ม อยู่ที่ไหน เห็นครูทั้ง 3 คนอยู่ตรงไหน ซึ่งตนเองก็ตอบไปตามที่ความจริงว่า วันเกิดเหตุขี่รถเข้าไปถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตอน 12.50 น.
ส่วนประเด็นที่ตำรวจถามว่าใครอยู่ตรงไหน วันเกิดเหตุตนเองเห็นป้านิ่ม ยืนอยู่ตรงทางข้ามคลองส่งน้ำหลังศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยป้านิ่ม ยืนอยู่ข้างรถจักรยานยนต์ และหันไปมองที่ต้นตาล จากนั้นก็เห็นครูปูเป้ วิ่งขึ้นมาจากทุ่งนา และก็เห็นครูน้อยวิ่งตามมา ส่วนครูหนุ่ย ตนเองเห็นยืนอยู่ภายในรั้วศูนย์พัฒนา
ส่วนประเด็นของน้องแก้ม ที่ตำรวจเรียกไปสอบเพิ่มเติม วันนี้จริงๆตนเองเตรียมคลิปที่น้องแก้ม ทำท่าทางให้ดูว่าเห็นอะไรบ้างในวันเกิดเหตุ แต่ตำรวจไม่ได้ขอคลิป และถามเหมือนที่สอบปากคำครั้งแรกว่าน้องแก้ม ทำท่าทางให้ดูยังไงบ้าง จากนั้นตำรวจก็ถามอีกว่า วันเกิดเหตุตอนไปส่งน้องแก้ม ตอนเช้า ได้ลงรายชื่อน้องแก้ม กับครูตอนไปส่งหรือไม่ ซึ่งตนเองตอบว่าไม่ได้ลงเพราะลืม ส่วนประเด็นเด็กในศูนย์วันนั้นว่าไปเรียนกันกี่คน ตนเองก็จำไม่ได้ แต่รู้ว่าวันเกิดเหตุเด็กขาดเรียนหลายคน
ขณะเดียวกันวันนี้ หลังตำรวจเรียกผู้ปกครองไปสอบปากคำ ทีมข่าวจึงได้ย้อนกลับไปถามป้านิ่ม อีกครั้งว่าวันเกิดเหตุ ครูได้แจ้งกับป้านิ่ม หรือไม่ว่าเด็กไปเรียนในวันเกิดเหตุทั้งหมดกี่คน โดยป้านิ่ม เปิดใจกับทีมข่าวว่า ป้านิ่ม เป็นแม่ครัวที่ศูนย์พัฒนาก็จริง แต่ป้านิ่ม ไม่ได้เข้าไปอยู่กับเด็กตลอดเวลา ซึ่งตัวป้าเอง มีหน้าที่ทำกับข้าวไปส่งให้เด็ก โดยทุกวันที่ทางศุนย์เปิดสอนเด็ก ป้าจะไปถึงที่ศูนย์เด็กช่วงเวลาประมาณ 11.00 น.
ส่วนประเด็นเรื่องยอดเด็กที่ป้าต้องทำกับข้าวไปส่ง ยอดเต็มที่ครูแจ้งกับป้านิ่มมา มีเด็กนักเรียนทั้งหมด 40 คน ส่วนวันเกิดเหตุที่ป้า ทำกับข้าวไปส่งให้เด็ก ป้าจำได้ว่าครู บอกป้าว่าเด็กมาทั้งหมด 22 คน ซึ่งวันนั้นตอนที่ป้านำกับข้าวไปถึงที่ศูนย์ ครูเป็นคนช่วยจัดอาหารใส่ถาดให้เด็ก แต่ตอนล้างถาดป้าล้างคนเดียว จำไม่ได้ว่าล้างถาดไปทั้งหมดกี่ถาด
ส่วนประเด็นตอนที่เด็กมานั่งกินข้าวในวันเกิดเหตุแล้วป้าเห็นน้องอลิส บ้างหรือไม่ ตอบตรงๆว่าป้าไม่ได้สังเกตว่าน้องอลิส อยู่ตรงไหน เพราะเด็กกระจายตัวกันอยู่ภายในศูนย์ ซึ่งจะมีทั้งเด็กที่นั่งกินข้าวและเด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่ภายในศูนย์ ส่วนตอนที่เด็กกินข้าวเสร็จ ถามว่าครูพาเด็กไปอยู่ที่ไหน เท่าที่ป้าเห็น ครูปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกันหลังกินข้าวประมาณ 20 - 30 นาที
จากนั้นเมื่อครูปล่อยให้เด็กวิ่งเล่นกันเสร็จแล้ว ครูก็จะพาเด็กเข้านอน ซึ่งก่อนเกิดเหตุทุกๆวันครูจะพาเด็กเข้านอนประมาณเที่ยงๆ และปล่อยให้เด็กนอนไปจนถึงช่วงเวลาประมาณ 14.30 น. ซึ่งเด็กบางคนนอนจนถึง 15.00 น. ก็ยังไม่ตื่น ส่วนเด็กที่ตื่นแล้ว ผู้ปกครองก็จะทยอยเข้ามารับกลับบ้าน ส่วนตัวป้าเอง ถามว่าทุกๆวันป้าจะกลับบ้านตอนกี่โมง ป้าระบุไม่ได้ เพราะป้ากลับบ้านไม่เป็นเวลา โดยบางวันก็ออกจากศูนย์บ่ายโมง บางวันก็อยู่ถึง 14.00 น. ซึ่งบางวันอยู่จนถึง 15.00 น. ก็เคยอยู่
ส่วนเรื่องคดี ตำรวจไม่ได้เรียกป้าไปสอบปากคำ 2 วันแล้ว และตั้งแต่เมื่อวานป้าเองก็ยังไม่ได้คุยกับครูหนุ่ย เนื่องจากครูหนุ่ย ไปนอนเฝ้าสามีของเขาที่โรงพยาบาล ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านไปลือกันว่าป้า เป็นแบบนั้นแบบนี้ และสงสัยว่าป้าทำอะไรในวันเกิดเหตุ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจเหมือนเดิมว่าป้า เหตุการณ์ที่ศูนย์ในวันเกิดเหตุ ไม่มีใครเจ็บ ป่วยหรือตายในศูนย์
ต่อมา ทีมข่าวได้ไปหาป้านิ่มที่ทุ่งนา เพื่อสอบถามประเด็น ผลการจำลองเส้นทางวานนี้ ตรงกับช่วงเวลาป้านิ่มมาบ้าน ผู้ใหญ่ โดยใช้เวลา 16 นาที โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถาม ป้านิ่ม เผยว่า ตนยืนยันไม่รู้ไทม์ไลน์ ตนเองบริสุทธิ์ใจ เพราะ ตนเองเมื่อรู้ว่าเด็กหายในช่วงเที่ยงก็ออกตามหา ในโบสถ์และบริเวณวัด จากนั้น ก็นึกได้ว่าต้องไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน จึงขับรถ ไปทางเลาะริมรั้ววัดไปบ้านผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ได้ไปเส้นทางหลังวัด ตอนแรกไม่รู้บ้านผู้ใหญ่อยู่ไหน เลยขับเลยไป แล้วขับรถวนกลับมาที่บ้านตามในกล้อง เพื่อมาหาผู้ใหญ่ ซึ่งตนยืนยันไม่รู้จริงๆ เวลาเท่าไหร่ และบริสุทธิ์ใจ
ส่วนประเด็นที่เห็นตนขับมา มีผ้าอยู่ในตะกร้าตามกล้องวงจรปิด ยืนยันไม่มีอะไรมีเพียงผ้าขาวม้าที่ใช้คลุมหัวเพื่อเตรียมไปนา เท่านั้น ส่วนประเด็นที่ใครคิดว่าป้าเอาเด็กใส่ตะกร้า “คือคนโง่” เพราะไม่เป็นความจริงและเป็นไปไม่ได้
ส่วนตอนนี้ค่อนข้างเครียด เรื่องเงินก็กังวลว่าตนเองกับน้องสาวจะหาเงินมาจากไหน เพราะตนก็ต้องช่วยครูหนุ่ยรับผิดชอบด้วย
จากนั้น ทีมข่าวได้พูดคุย กับ นางนาตยา อายุ 37 ปี (หรือ แม่น้องทับทิม) เผยว่า เมื่อวานนี้ ช่วงเวลา 11.00 น. ครูน้อยได้ไลน์ประสานไปยังกลุ่มผู้ปกครอง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือนัดหมาย ให้ผู้ปกครองที่นำบุตรหลานมาเรียน เมื่อวันที่ (14 มิ.ย. 67) มาสอบปากคำทุกคน ส่วนประเด็นตนก็ยังไม่ทราบว่าเรื่องอะไร โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่เดินทางมาสอบปากคำ
จากนั้นทีมข่าวได้สอบถามประเด็นการเตรียมความพร้อมของบุตรหลานที่จะมาเรียนวันจันทร์ วันที่ 8 ก.ค. นี้ โดยนางนาตยาก็ยืนยันว่า จริงๆแล้ว ไม่พร้อม ไม่อยากให้เปิดเรียน เนื่องจากคดียังไม่มีความคลี่คลาย และยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของเด็ก
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ทีมข่าวลงพื้นที่ มีผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่ง ที่เคยส่งหลานไปเรียนอยู่ที่ศูนย์พัฒนา ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ครูที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เคยปล่อยให้หลานกระดูกแตกในศูนย์โดยไม่รับผิดชอบ
โดยนายเพชรศิริ อายุ 59 ปี เป็นตาของน้องอลิสใหญ่ บอกว่า เรื่องที่หลานเคยบาดเจ็บที่ศูนย์พัฒนา เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น ตนเองเข้าไปรับหลาน แล้วหลานวิ่งมาบอกว่าเจ็บที่ไหปลาร้าข้างซ้าย พอถามครู ครูก็บอกว่า ไม่เป็นไรมากหรอก เด็กมันวิ่งชนกันล้ม ซึ่งด้วยความตกใจ ตนเองจึงพาหลานไปโรงพยาบาลเอง ปรากฎว่าหมอบอกว่าหลานกระดูกร้าว ซึ่งตนเองก็ข้องใจว่าหลานเจ็บขนาดนี้ทำไมครูถึงไม่พาไปรักษา ยิ่งไปกว่านั้นหลังเกิดเหตุ ครูจ่ายเงินมาให้แค่ 500 บาท ไม่ได้รับผิดชอบค่ารักษา โดยอ้างว่าหลานไม่ได้ทำประกันไว้กับทางศูนย์พัฒนา ซึ่งครูน้อย ครูหนุ่ย อยู่ในเหตุการณ์ แต่ครูปูเป้ ยังไม่ได้เข้ามาสอนเพราะตอนนั้นครูติ๋ม ยังไม่เกษียณราชการ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวที่ต้องมาให้ข้อมูลกับช่อง 8 เป็นเพราะว่าถึงตอนนี้ครูก็ยังไม่แสดงความรับผิดชอบอะไร ยืนยันถึงศูนย์เด็กจะปรับปรุงสถานที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่เปลี่ยนครูชุดใหม่ ยังไงก็ไม่มีทางส่งหลานไปเรียนที่นี่อีก