"ทนายเดชา" มั่นใจทำคดี "แอม ไซยาไนด์" ด้าน "แม่ของก้อย" ซัดเคยเจอหน้า แต่ไม่มีท่าทีสำนึก
ทนายเดชา มั่นใจสำนวนคดี "แอม ไซยาไนด์" หลักฐานมัดผิดแน่นรอดยาก
วันนี้ 4 กรกฎาคม เวลาประมาณ 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้นัดพิจารณาสืบพยานฝ่ายโจทก์ในคดีการเสียชีวิตของก้อยหรือ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ ซึ่งมีนางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ หรือแอม ไซยาไนด์ เป็นจำเลยที่ 1 พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ เป็นจำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัตร์ หรือทนายพัช เป็นจำเลยที่ 3 โดยในวันนี้ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความฝ่ายโจทก์ ได้เดินทางมาที่ศาลพร้อมกับแม่ของก้อย และนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอม ไซยาไนด์
โดยทนายเดชา เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการสืบพยานโจทก์นัดแรก ซึ่งมีแม่ของคุณก้อยเป็นพยานปากแรกของฝั่งตน โดยรวมฝั่งโจทก์เบิกพยานบุคคลจำนวน 89 ปาก มีทั้งนักวิชาการ ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน รวมทั้งวัตถุ พยานต่าง ๆ ซึ่งศาลนัดสืบพยานฝั่งโจทก์จำนวน 20 นัด
ส่วนตัวมั่นใจการทำงานของตำรวจที่นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ดูแลคดีในขณะนั้น และพนักงานอัยการ รวมถึงพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนที่มีจำนวนหลายแฟ้ม ก็เชื่อมั่นว่า จำเลยไม่น่ารอด เพราะว่าพยานหลักฐานค่อนข้างมัดแน่น เริ่มตั้งแต่ประเด็นการสั่งซื้อสารไซยาไนด์และนำสารไซยาไนด์ไปใช้ รวมทั้งพบสารไซยาไนด์ในรถของแอมและศพก้อย รวมถึงขวดสารไซยาไนด์ พยานแวดล้อมต่าง ๆ ที่ยืนยันสอดคล้องตรงกันและคลิปวงจรปิดที่แน่นหนาพอสมควรในการเอาผิดจำเลย
ส่วนที่ทนายพัช ได้ยื่นเรื่องตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ต่อพนักงานอัยการ จะมีผลต่อคดีหรือไม่ ทนายเดชา ระบุว่า พ.ร.บ.อุ้มหาย กับคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เท่าที่ตนจำได้ตอนที่ยังไม่ส่งฟ้อง ทนายพัชเคยยื่นคำร้องดังกล่าวแก่ศาลแล้ว แต่ศาลยกคำร้องและให้ไปว่ากล่าวกันต่างหาก ดังนั้น ประเด็นตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้
ซึ่งคดีนี้มีประเด็นเดียวคือ แอมวางยาพิษก้อยและชิงทรัพย์หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่เป็นตำรวจและสามีของแอมนั้น จะมีส่วนในการทำลายพยานหลักฐานเพื่อช่วยแอมป์หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 3 ก็คือทนายพัช มีประเด็นว่า ได้เป็นคนใช้ให้จำเลยที่ 2 หรือสามีของแอมทำลายหลักฐานหรือไม่ เนื่องจากมีแชทการสนทนาที่ระบุว่า ถ้าไม่มีพยานหลักฐาน คดีหลุด ศาลยกฟ้องได้
ส่วนตัวมองว่าคดีนี้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากแอมไม่เคยให้การใดๆ และปฏิเสธอย่างเดียว ส่วนที่ทนายพัช มักจะชอบพูดว่ายังไงคดีนี้ก็หลุดนั้น ตนมองว่าเป็นการให้กำลังใจลูกความ เหมือนอย่างคดีของเจ๊มดเมียเสี่ยต้น ที่ทนายพัช ออกมาอ้างว่า เจ๊มดจะสามารถออกจากเรือนจำได้เร็วๆนี้ แต่ตนได้ยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวเอาไว้หมดแล้ว
สำหรับประเด็นที่ทนายพัชต่อสู้ว่า ตำรวจจับกุมแอมโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่น่าจะมีผลต่อรูปคดี เนื่องจากในนัดตรวจพยานก่อนหน้านี้ แอมยอมรับสารภาพว่า ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมโดยชอบและมีหนึ่งในจำนวนพยานบุคคลที่ยอมรับในประเด็นนี้
ทั้งนี้ ทีมทนายความฝั่งแอม ไซยาไนด์ ให้สัมภาษณ์กับข่าวช่อง 8 ระบุว่า อย่าลืมคำพูดของตนเอง ให้เบิกความอยู่กับร่องอยู่กับรอยนั้น ทนายเดชาระบุว่า ต่อให้ตนพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย ก็ไม่ทำให้คดีแพ้ เพราะตนเป็นทนายความ ซึ่งตนไม่ถือสาและไม่ติดใจในคำพูดนี้แต่อย่างใด
แม่เหยื่อเชื่อลูกยังรอความยุติธรรม ซัด "แอม ไซยาไนด์" ไม่มีท่าทีสำนึก
ด้านนางทองพิน เกียรติชนะสิริ แม่ น.ส.ก้อย ระบุว่า ตนรู้สึกอุ่นใจที่มีทีมทนายความ เข้ามาให้การช่วยเหลือทางคดี ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในความยุติธรรม เพราะมีทั้งทีมทนายความและคุณรพีมาให้การช่วยเหลือ รวมทั้งมีคนให้กำลังใจจำนวนมาก ตนจึงมั่นใจว่าจะได้รับความยุติธรรม ส่วนที่ทนายพัชเคยพูดไว้ว่ามั่นใจว่าแอมจะหลุดจากคดีนี้ คุณแม่บอกว่า ตนเองไม่กังวล ยังมีความมั่นใจในเรื่องทางคดี
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามคุณแม่ว่า อยากจะพูดอะไรถึงก้อยไหม คุณแม่เปิดเผยว่า ตนมาถึงศาลตั้งแต่เช้าก็ได้ขอให้ก้อยดลบันดาลช่วยให้คดีนี้สำเร็จและตนก็เชื่อว่า ก้อยยังไม่ไปไหน ยังอยู่เคียงข้างตนเสมอ ส่วนได้มีการพูดคุยอะไรกับแอมไหมก่อนหน้านี้ แม่บอกว่า เคยคุยกับแอมตั้งแต่แรกว่าให้รับสารภาพ แต่แอมก็ไม่รับสารภาพและไม่คุยอะไรกับตนเลย อีกทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉยใส่ตน มองว่าตัวแอมเองยังไม่มีท่าทีที่จะสำนึกและยังคงพูดชมตัวแอมเองว่าอ้วนขึ้น
รพี เผยคดี "แอม ไซยาไนด์" ใครพายเรือให้โจรนั่ง ก็ได้รับกรรมเช่นเดียวกัน
ด้านนายรพี เปิดเผยว่า ตนขอขอบคุณสื่อมวลชนที่ยังไม่ลืมคดีนี้ ซึ่งตนตั้งข้อสังเกตเป็นการทั่วไปว่า (ไม่ได้เอ่ยชื่อหรือระบุถึงทนายคนใด) การที่ทนายความบอกให้ลูกความทำลายพยานหลักฐาน โดยอ้างว่า หากไม่มีของกลาง แล้วศาลจะยกฟ้องนั้น ถือเป็นการกระทำที่ผิดมรรยาททนายความและจริยธรรมของทนายความหรือไม่ ทั้งที่โดยหน้าที่ของทนายความทั่วไป ควรจะต้องช่วยกันสืบหาความจริงและช่วยต่อสู้ให้เขาได้รับโทษตามความสมควร
รวมทั้งอยากฝากถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องว่า "พายเรือให้โจรนั่ง ก็ได้รับกรรมเช่นเดียวกัน" โดยตนมั่นใจว่าในสิ่งที่เขาทำนั้น เวรกรรมต้องถึงแน่ กฎหมายจะเอื้อมไปอย่างไร ตนไม่อาจทราบได้ ตนขอไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล ซึ่งศาลจะพิจารณาอย่างไร พวกเราก็น้อมรับ