จากกรณี น.ส.สาริณี อายุ 53 ปี ชาวบ้าน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ดื่มน้ำอัดลมสีเขียวปริศนาที่มาวางไว้หน้าบ้าน หลังดื่มไปครึ่งแก้วกลับน้ำลายฟูมปากดับสลด ขณะที่ลูกชายดื่มไป 1 อึก กลับอาเจียนออกมาทันรอดหวุดหวิด ส่วนสามีเชื่อถูกวางยาหวังฆ่ายกครัว เนื่องจากตรวจสอบพบว่าในน้ำเขียวมีส่วนผสมของยาฆ่าหญ้า ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ (5 ก.ค. 2567) มีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งตัวนางมลฤดี อดีตลูกสะใภ้ผู้ตาย พร้อมด้วยนายพิษณุ หรือ ตุ่ย อายุ 45 ปี เพื่อนชายคนสนิทของนางมลฤดีไปฝากขังที่ศาลในข้อหาเสพยาเสพติด ขณะที่แนวทางการสอบสวนวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มุ่งไปที่การหาต้นทางจำหน่ายน้ำอัดลม ว่าถูกจำหน่ายมาจากพื้นที่ไหน ส่วนการตรวจลายนิ้วมือแฝงตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งไปตรวจพิสูจน์หารอยนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอของคนร้ายที่อยู่ในขวดน้ำอัดลมทั้ง 2 ขวด โดยจะทราบผลภายในระยะเวลาประมาณ 30 วัน
ส่วนประเด็นการที่คนร้ายจะวางแผนฆ่ายกครัวทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ว่าอาจมีความเป็นไปได้ เนื่องจากพฤติกรรมที่ผ่านมาของครอบครัวผู้ตายเป็นคนเร่ร่อน และมีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยภายในชุมชน เบื้องต้นตำรวจได้ตั้งประเด็นไว้ 2 ประเด็นหลัก คือ ความขัดแย้งในครอบครัว และ และความขัดแย้งภายในชุมชน
ต่อมาทีมข่าวได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดละแวกบ้านของนางมลฤดี ในวันที่ 1 ก.ค. เวลา 17.11น. ในวันเกิดเหตุ พบ นางมลฤดี เดินมาเปิดตู้แช่เพื่อซื้อนมให้ลูกที่ร้านค้าใกล้บ้าน โดยที่ไม่ได้มีการซื้อสินค้าอย่างอื่นเลยนอกจากนมให้ลูกชาย
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางมาที่ร้านค้าในละแวกบ้านนางมลฤดี หลังจากที่ทางทีมข่าวได้รับข้อมูลมาว่าน้ำอัดลม 2 ขวด ถูกนำมาวางจำหน่ายในพื้นที่ ตำบลโนนหวาย อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านของนางมลฤดี โดยทีมข่าวได้เข้าไปสอบถามนางแคท (นามสมมติ) เจ้าของร้านค้าในละแวกบ้านนางมลฤดี เปิดเผยว่า พักหลังตนเห็นนางมลฤดีกลับมาอยู่บ้านนานหลายวันแล้ว และพักหลังตนก็มักจะเห็นนางมลฤดีมาซื้อของที่ร้านค้าตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่นางมลฤดีมักจะซื้อนมกล่อง 1 แพ็ก และขนมชิ้นละ 5 บาท ไม่กี่ชิ้นให้ลูก โดยทุกครั้งนางมลฤดีจะซื้อของไม่เกิน 60 บาทหรือไม่เกิน 100 บาท เนื่องจากมลฤดีไม่มีเงิน แต่ถ้าหากนางมฤดีมาซื้อของแล้วเกินงบหรือเกินเงินนางมลฤดีก็จะหยิบของออก เพื่อให้เท่ากับราคาเงินที่ตนเองมี
ล่าสุดเมื่อ 2-3 วันก่อนเกิดเหตุตนก็เห็นนางมลฤดีมาซื้อนมให้ลูก แต่ก็ไม่ได้ซื้อน้ำอัดลม เพราะนางมลฤดีถือเงินมาแค่ไม่กี่บาท ส่วนตนเคยเห็นนางมลฤดีซื้อน้ำอัดลมหรือไม่ ตนเคยเห็นอยู่ครั้งนึงนางมลฤดีซื้อน้ำอัดลมแต่เป็นขวดเล็กแค่ 10 บาท ส่วนน้ำอัดลมขวดใหญ่ตนไม่เคยเห็นเพราะน้ำอัดลมขวดใหญ่สองขวดราคาก็ 60 กว่าบาท ซึ่งนางมลฤดีซื้อนมให้ลูกหนึ่งแพคราคาประมาณ 30 กว่าบาทแล้ว จึงไม่เหลือเงินที่จะซื้อน้ำอัดลม 2 ขวดใหญ่
ส่วนนางมลฤดีจะมาเซ็นของที่ร้านค้าภายในหมู่บ้านหรือไม่ตนยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนเนื่องจากเจ้าของร้านแต่ละร้านรู้ดีว่านางมลฤดีไม่มีปัญญามาจ่ายค่าของที่เซ็นไว้แน่นอน ในเรื่องนี้ตนจึงยังไม่ปักใจเชื่อว่านางมลฤดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนางสาริณีแม่สามี
ต่อมาทีมข่าวได้มาพูดคุยกับนายศุภชัย หรือ ลี่ อายุ 37 ปี ลูกชายผู้ตาย เล่าว่า วันเกิดเหตุช่วงก่อน 4 ทุ่ม ตนอยู่บ้านไม่เห็นอะไรผิดสังเกต จึงเชื่อว่าคนร้ายน่าจะนำขวดน้ำอัดลมมาวางไว้หลัง 4 ทุ่ม และแม่ก็ไม่ดื่มตอนประมาณ 5 ทุ่ม หลังจากแม่ดื่ม ยังไม่มีอาการผิดปกติแม่ก็ยังคงลุกมากวาดใบไม้หน้าบ้าน
ส่วนตนเองที่กินไป 1 อึก รู้สึกว่าน้ำอัดลมมีรสชาติเฝื่อน แต่ไม่มีกลิ่นอะไรเลย จึงไม่กินต่อ หลังจากนั้นก็เข้าไปนอนอยู่ในบ้าน สักพักจนรู้สึกว่าเหงื่อเริ่มออกตามร่างกายจนเปียกที่นอน โดยอาการดังกล่าวตนเองรู้ได้ทันทีว่าในร่างกายมีสารพิษเนื่องจากตนเคยมีประสบการณ์ตอนเด็กที่กินเห็ดพิษแล้วเกิดอาการลักษณะคล้ายกัน
จากนั้นทีมข่าวจึงได้สอบถามนายศุภชัย ถึงประเด็นที่มีการไปลักเล็กขโมยน้อยของชาวบ้านในชุมชน ซึ่งนายศุภชัยลูกชายผู้ตายก็ยอมรับว่าครอบครัวของตนเองมักไปรักเล็กขโมยน้อยจริง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหารไม่ใช่ทรัพย์สินมีค่าแต่อย่างใด โดยก่อนหน้านี้นางมลฤดีภรรยาตนเองก็ไปขโมยมันสัปปะหลังประมาณ 2-3 หัว ของนายศักดิ์สิน อายุ 55 ปี ที่มีที่นาติดกับบ้านของตนเองมาต้มกิน ส่วนแม่ของตนเองก็เคยไปขโมยปลาของนายศักดิ์สิน มากินเช่นกัน แต่ในช่วงนั้นนายศักดิ์สิทธิ์ไม่ทราบ
จนล่าสุดตนเองก็ได้ไปขโมยมันสัปปะหลังของนายศักดิ์สิทธิ์อีกอีกครั้ง เพื่อมาทำของหวานกินโดยขโมยเพียงแค่สามสี่หัวเท่านั้น แต่ในครั้งนี้นายศักดิ์สิทธิ์จับได้และได้มาต่อว่าตนเอง ซึ่งตนเองก็ยอมรับผิดกับนายทรัพย์สินโดยตรงว่าตนเองไปขโมยมันมากิน แต่ตอนนั้นนายศิลป์ก็ไม่ได้มีอาการโมโหฉุนเฉียวหรือไม่พอใจ แต่ก็บอกกับตนเองเพียงเท่านั้นว่าห้ามไปขโมยอีกซึ่งตนก็รับปากหลังจากนั้นตนก็ไม่เคยไปขโมยของของนายศักดิ์สินอีกเลย
ส่วนข้อสันนิษฐานว่าแม่ของตนเองจะเข้าไปขโมยขวดน้ำดื่มสองขวดมาจากบ้านของชาวบ้าน และนำมาดื่มที่บ้านตนเองมองว่าไม่มีความเป็นไปได้เพราะถึงแม้ว่าแม่จะมีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย แต่ถ้าหากถือน้ำอัดลมสองขวดออกมาจากบ้านคน เจ้าของก็ต้องจับได้ ส่วนพ่อของตนเองก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะไปขโมยของ เนื่องจากนิสัยส่วนตัวพ่อก็ไม่ใช่คนขี้ขโมยและตัวพ่อเองก็มักจะออกไปหาปลามาทำกิน ขณะที่ตนเองยอมรับว่าไม่ค่อยออกจากบ้านเพราะขี้เกียจ ส่วนเจตนาของคนร้ายตนก็ยังยืนยันว่าคนร้ายหมายจะเอาชีวิตยกครัว
จากนั้นทีมข่าวจึงได้ไปสอบถามนายศักดิ์สิน อายุ 55 ปี ผู้เสียหายที่เคยถูกครอบครัวผู้ตายไปขโมยหัวมันสำปะหลังและปลาในสระ บอกกับทีมข่าวว่า ปกติปลาที่อยู่ในสระก็มักจะมีคนมาขโมยจับปาไปกินอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนก็ไม่เคยจับได้จนตนต้องมีการติดกล้องวงจรปิดไว้ที่สระน้ำ เพื่อหลอกคนร้ายไม่ให้มาขโมยปลาของตนเองอีก
ส่วนเรื่องที่นายศุภชัย ลูกชายผู้ตาย ไปขโมยหัวมันสำปะหลังยอมรับว่า ตนเองจับได้เพราะเห็นกับตา ว่านายศุภชัยกำลังต้มหัวมันสำปะหลังกิน ตนจึงได้เข้าไปตักเตือน หลังจากนั้นตนก็มาแจ้งผู้ใหญ่บ้านไว้ แต่ไม่ได้มีการไปแจ้งความกับตำรวจ เนื่องจากตนมองว่าเป็นของแค่ของกิน โดยตนยืนยันว่าตนไม่ได้ติดใจเอาความนายศุภชัยแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องแค่นี้ตนถึงขั้นบาดหมางที่จะหมายเอาชีวิตใครแน่นอน
ต่อมาทีมข่าวได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในหมู่บ้าน พบว่า ในช่วงเวลา 20.56.56 น. มีรถจักรยานยนต์ขี่ออกมาจากหมู่บ้าน เข้าไปทางบ้านผู้ตาย ซึ่งทิศทางที่รถจักรยานยนต์ขี่ออกมา มาจากบ้านของเพื่อนบ้านที่มีปัญหากัน ที่ครอบครัวผู้ตายมักจะเข้าไปขโมยมันสำปะหลังและปลาไปกิน ในห้วงเวลาที่ตำรวจคาดการณ์ว่าคนร้ายจะนำน้ำเขียวไปวางไว้ที่หน้าบ้านผู้ตาย