จากกรณีช่วงบ่ายวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืน บุกชิงเงินผู้เสียหายที่เบิกเงินสดจากธนาคาร ภายในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ย่านถนนพัฒนาการ ได้เงินสดไปทั้งสิ้น 3.3 ล้านบาท โดยผู้เสียหายได้มอบหมายให้ลูกจ้าง 3 คน ไปเบิกเงินจากธนาคาร โดยธนาคารแรกเบิกเงินจำนวน 1 แสนบาท โอนให้นายจ้างเรียบร้อย ต่อมาได้ไปเบิกอีก 2 ธนาคาร รวมเงินทั้งสิ้นจำนวน 3.3 ล้านบาท จากนั้นได้ทำการเดินออกจากธนาคารพร้อมถุงเงินสด แต่ปรากฏว่าถูก 2 คนร้าย ผลักเข้าไปในรถพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่ ก่อนนำเงินออกจากรถไป ซึ่งวานนี้ (5 ก.ค.) ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รวบรวมข้อมูลจนทราบตัว 1 ในคนร้ายคือ นายนันทพร อายุ 35 ปี หรือ ฉายา “บอล ปากแหว่ง” ที่เป็นผู้ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย นั้น
ล่าสุด (6 ก.ค. 2567) ทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ในนาทีที่ นายบอล ปากแหว่ง ผู้ต้องหาชิงเงินสด 3.3 ล้านบาท ไปนั่งรอผู้ก่อเหตุที่ห้างย่านสวนหลวง ก่อนลงมือก่อเหตุ โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ในเวลา 14.25 น. จะเห็นว่า นายบอล เดินผ่านหน้าธนาคาร มาทางบริเวณหน้าห้าง เพราะเป็นลักษณะทางเดินเชื่อถึงกันระยะทางประมาณ 10-20 เมตร แต่นายบอลใส่ฮู้ดและใส่แมสก์สีดำ
ต่อมาเวลา 14.27 น. กล้องอีกตัวหนึ่งบริเวณทางเดินหน้าประตูทางเข้า-ออกของห้าง โซนที่จะมีร้านขายของจะเห็นว่า นายบอลใส่ฮู้ดแต่เอาแมสก์ลงเพื่อดูดน้ำที่ซื้อมา 2 แก้วในมือ ทำให้เห็นใบหน้าชัดและมีการใช้โทรศัพท์พูดคุยตลอดและเหมือนมองอะไรบางอย่าง
จนกระทั่ง 15.15 - 15.16 น. นายบอลยังเดินวน ๆ อยู่บริเวณทางเดินและมีการใช้โทรศัพท์ ก่อนมายืนในมุมทางโค้งระหว่างทางเชื่อมของห้างกับทางไปธนาคาร และมีการใช้โทรศัพท์แชตพูดคุยกับใครบางคน ก่อนจะไปนั่งม้านั่งบริเวณหน้าร้านอาหาร ซึ่งอยู่ห่างจากธนาคารไม่ถึง 10 เมตร และยังใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา และในเวลา 15.27 น. ภาพจะสอดคล้องกับสิ่งที่ตำรวจแถลงข่าวในวันนี้ว่า คนร้ายมาดักรอที่ห้าง 1 ชม. ก่อนลงมือก่อเหตุแล้วหลบหนีไป
ด้าน พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมชุดสืบสวนนครบาล ชุดสืบสวนนครบาล 4 และชุดสืบสวน สน.ประเวศ ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าว
โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า นายบอล ปากแหว่ง เคยถูกดำเนินคดีมาแล้วหลายครั้งจากการก่อเหตุร้ายแรง โดยเมื่อปี 2551 ถูกดำเนินคดีข้อหาชิงทรัพย์และกระทำอนาจาร โดยใช้วิธีการดักจี้เหยื่อ ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ขี่รถจักรยานยนต์มากับแฟนหนุ่ม โดยทำการชิงทรัพย์และพาผู้หญิงไปข่มขืน พ้นโทษออกมาเมื่อต้นปี 2566 ต่อมาเดือนธันวาคม 2566 ได้ไปก่อเหตุชิงทรัพย์และข่มขืนกระทำชำเราพื้นที่ สน.โชคชัย โดยมีการจี้ผู้หญิงที่มาจอดรถอัลพาร์ดนอนหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนขับพาผู้หญิงไปกระทำชำเรา และทิ้งผู้หญิงลงข้างทางก่อนชิงรถอัลพาร์ดไป ซึ่งเจ้าตัวยังหลบหนีหมายจับ จนกระทั่งมาก่อเหตุครั้งนี้ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้นายบอลหลบหนีไปทางภาคตะวันออก ทั้งนี้ไม่ว่าใครให้ที่พักพิง หรือให้การช่วยเหลือจะมีความผิด ส่วนผู้ร่วมก่อเหตุคนที่ขี่รถที่มีพฤติการณ์สลับเป็นคนซ่อนด้วย ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อเหตุอีก 1 คนนั้น อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานขอหมายจับ
ทั้งนี้ ตำรวจจะไล่เส้นทางการเงินทั้ง 3 ธนาคารเพื่อหาที่มาของเงินว่าเอามาจากไหนแล้วเอาไปทำอะไร เพื่อให้สิ้นกระแสความที่มาของเงินจนเกิดการปล้น ซึ่งตำรวจเชื่อว่า จะมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่มีการปล้นเงินเพิ่มเติมอีก โดยจะต้องมีผู้ร่วมในการแจ้งให้ทราบว่ามีการไปเบิกเงิน แต่ยังไม่ขอตอบว่ามีกี่คนที่มีส่วนรู้เห็นเห็นว่ามีการไปเบิกเงินในครั้งนี้ แต่ยืนยันได้ว่า การก่อเหตุในครั้งนี้ คนร้ายมีการมาเฝ้าตั้งแต่บ่าย 2 จนกระทั่งผู้เสียหายมาเบิกเงินตอนบ่าย 3 และก่อนหน้าวันเกิดเหตุก็ไปเช่าโรงแรมก่อนเกิดเหตุ 1 วัน แล้วมาก่อเหตุ ทำให้ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีการสมรู้ร่วมคิด โดยแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน ทั้งนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล
ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดชร์ ระบุเพิ่มเติมถึงประวัติของนายบอล ปากแหว่ง พร้อมบอกอีกว่า การทำงานในครั้งนี้ ขอให้ระมัดระวังในการเข้าจับกุม ผู้ต้องหารายนี้เป็นพิเศษเพราะถือเป็นภัยร้าย และเป็นผู้ต้องหาที่กระทำการต่อสู้ขัดขืนตำรวจมาโดยตลอด แต่หากผู้ต้องหายังคิดจะขัดขืนอีก ก็ต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาดเลยทันที ทั้งนี้จึงฝากประชาชนด้วยว่า หากพบเบาะแส บอล ปากแหว่ง ให้แจ้งมาที่เพจสืบนครบาล
ภายหลังจากที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิด จนสามารถระบุตัวผู้ก่อเหตุชิงทรัพย์เงินจำนวน 3.3 ล้านบาท และ ได้ออกหมายจับและระบุว่า บอล ปากแหว่ง ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่าเคยก่อเหตุชิงทรัพย์ อัลพาร์ด และได้ฉุดทำร้ายร่างกายข่มขืนผู้หญิงที่อยู่ในรถคันดังกล่าว ที่หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าววังหิน ก่อนจะไปจอดรถ และทิ้งหญิงสาวผู้เสียหายไว้ ซอยบริเวณริมทางด่วนรามอินทรา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 ก่อนหลบหนีไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 6 เดือนกลับมาย้อนก่อคดีชิงทรัพย์อีก
วันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับ นางสาวแอน (นามสมมติ) อายุ 44 ปี ผู้เสียหายที่เคยถูกนายบอล ปากแหว่ง ผู้ต้องหารายสำคัญก่อเหตุทำร้ายร่างกายข่มขืนและพยายามชิงทรัพย์รถหรู เปิดเผยว่า ยอมรับเมื่อเห็นว่านายบอลกลับมาก่อเหตุอีกรู้สึกหวาดกลัวเพราะสิ่งที่ตนเองเคยถูกนานบอลก่อเหตุ เป็นการกระทำที่รุนแรงและไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ถึงแม้วันนั้นตนเองจะพยายามร้องขอชีวิตทั้งยกมือไหว้นายบอลก็ยังไม่ฟัง ยังพยายามใช้อาวุธข่มขู่พร้อมกับทำร้ายร่างกายและบังคับข่มขืนตนเอง และชิงทรัพย์ไปจำนวนเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งการกระทำของนายบอลอุกอาจเพราะยังทำพฤติกรรมเดิม ๆ ไม่ได้เกรงกลัวต่อกฎหมาย และท้าทายอำนาจตำรวจถึงขนาดนี้
โดยเฉพาะเพิ่งก่อเหตุกับตนเองผ่านไปเพียงแค่ 6-7 เดือน นายบอลก็กลับมาก่อเหตุซ้ำอีกไม่มีความสำนึกรู้สึกผิดในการกระทำแต่อย่างใด และเหตุการณ์ที่ตนเองถูกกระทำ นายบอลไม่ได้คิดเลยว่าตนเองเป็นผู้หญิง ทั้งต่อยเตะถีบและบังคับ ข่มขู่หากตนเองไม่ยอมจะฆ่าทิ้ง ซึ่งตนเองก็รู้สึกว่าบุคคลคนนี้เป็นภัยกับสังคมและเลวทรามเป็นอย่างมาก
โดยตนเองอยากฝากให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวนายบอลมาดำเนินคดีให้ได้เร็วที่สุด เพราะเป็นบุคคลอันตรายที่ยังลอยนวลกลับมาก่อเหตุชิงทรัพย์ ทำตัวเลวทรามได้อีก หากปล่อยไว้จะเป็นภัยกับบุคคลอื่น เพราะทุกวันนี้ตนเองที่เคยถูกนายบอลกระทำมายังรู้สึกไม่กล้าใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเช่นเดิมได้ ต้องไปหาหมอจิตเวชเพื่อรักษาจิตใจเมื่อนึกถึงภาพที่ถูกนายบอลก่อเหตุ จนไม่กล้าที่จะใช้ชีวิตตอนกลางคืนได้อีก
ตนเองยอมรับรู้สึกแปลกใจว่าทำไมนายบอลเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ แต่ยังเดินเข้าออกประเทศได้อย่างปกติ จึงอยากฝากบอกกับผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและประชาชนที่พบเห็นหากพบให้แจ้งเบาะแสเพื่อดำเนินการไม่ปล่อยให้บุคคลอันตรายไปก่อเหตุได้อีก
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายฉวี ซึ่งเป็นพ่อของ บอล ปากแหว่ง พร้อมกับบอกว่าตนเองนั้นมีลูกชื่อนันทพร จริง แต่ไม่ทราบว่าลูกนั้นอยู่ที่ไหน ซึ่งไม่ได้พบและเห็นหน้ากันมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากตนเองนั้นเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่กับน้องสาวที่ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ มาเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งก่อนหน้านั้นลูกชายของตนเองก็ถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ และเพิ่งทราบข่าวว่าออกจากคุกมาได้ไม่กี่เดือน ซึ่งตอนนี้ไม่ทราบว่าลูกไปก่อเหตุอะไรอีก แต่อย่างไรก็อยากให้ลูกชายมอบตัวสู้คดี เนื่องจากติดคุกยังมีโอกาสออกดีกว่าหลบหนีคดีไปตลอดชีวิต