กรณีเมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม เวลา 18.42 น. ร.ต.ท.สาธิต ประทีปจิตร รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองระนอง รับแจ้งเหตุ ทำร้ายร่างกายและมีการใช้อาวุธปืนยิงกัน บริเวณด้านหลังตลาดภูมิชนก มีผู้ได้รับบาดเจ็บนอนหมดสติ บนพื้นลานจอดรถหลังตลาด จึงรีบประสานหน่วยกู้ชีพ อาสาสมัครกู้ภัย ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองระนอง เร่งรุดเข้าที่เกิดเหตุ




เมื่อเจ้าหน้าที่กู้ชีพไปถึงที่เกิดเหตุพบร่าง นายธนวัฒน์ หรือ กร อายุ 27 ปี พนักงานรับสั่งพัสดุของบริษัทแห่งหนึ่ง นอนนิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้นลานจอดรถ มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะจำนวน 2 นัด และรอยถากที่แขนขวา 1 นัด อาสาสมัครกู้ภัย เร่งทำ CPR เนื่องจากหัวใจหยุดเต้นไปร่วม 2-3 นาที แต่ไม่ทันเจ้าตัวเสียชีวิตแล้ว ส่วนคนก่อเหตุเป็นตำรวจ ตชด. ชื่อ ส.ต.ท.จิรายุทธ์ ซึ่งผู้ก่อเหตุติดต่อมอบตัวกับตำรวจเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา แล้วนั้น


ล่าสุด (5 ก.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 การตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า เวลา 18.41.53-18.42 น. จับภาพรถเก๋งของผู้ก่อเหตุขับออกจากที่เกิดเหตุ หลังยิงผู้เสียชีวิตเสร็จซึ่งในรถจะมีผู้ก่อเหตุและนางสาวเกตุ แฟนสาวของผู้ก่อเหตุ นั่งมาด้วยกัน นอกจากนี้กล้องวงจรปิดที่ตลาดจุดเกิดเหตุ เวลา 18.41.51 น. จะได้ยินเสียงปืนจำนวน 3 นัด


ต่อมาทีมข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปหานางสาวเกตุ แฟนสาวของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเจ้าตัวก็มีการรับสายทีมข่าว พอทีมข่าวแสดงตัวว่าเป็นผู้สื่อข่าวช่อง 8 และขอสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่าเจ้าตัวได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ทันใดนั้นนางสาวเกตุ ก็ได้ตัดสายทีมข่าวทันที


และจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของ ส.ต.ท.จิรายุทธ์ ก่อนจะลงมือก่อเหตุได้มีการโพสต์ภาพซ้อมยิงปืน จากนั้นทางนางสาวเกตุ แฟนสาว ก็ได้เข้ามาคอมเมนต์สอบถามว่าจะยิงใคร ซึ่งทาง ส.ต.ท.จิรายุทธ์ ตอบกลับว่า จะยิงไก่ โมโหทำไมแค่ยิงไก่




ต่อมาทีมข่าวเดินทางมายังบ้านของผู้เสียชีวิต ซึ่งครอบครัวมีการจัดเตรียมเต็นท์งานศพ ส่วนศพของผู้เสียชีวิตครอบครัวจะรับศพในช่วงเย็นของวันนี้ ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวนีรนุช อายุ 31 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต ให้สัมภาษณ์ว่าก่อนหน้านี้สามีตัวเองและนางสาวเกตุ แฟนสาว ของผู้ก่อเหตุ ได้ทำงานอยู่ที่บริษัทส่งพัสดุอีกที่หนึ่งแต่คนละสาขา ซึ่งตัวเองและแฟนสาวของผู้ก่อเหตุก็รู้จักกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งตอนนั้นนางสาวเกตุได้คบหากับตำรวจที่ก่อเหตุแล้ว แต่ก็มีการแอบคบกับพนักงานในบริษัทหลายคน แต่ตอนนั้นไม่เกิดเรื่องเนื่องจากผู้ก่อเหตุยังไม่รู้ ซึ่งพฤติกรรมของนางสาวเกตุ ตัวเองก็เคยเห็นมากับตาที่เขาจู๋จี๋กับผู้ชายในบริษัทคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนของเขา


เมื่อเดือนกันยายน 2566 สามีตัวเองย้ายมาทำงานที่บริษัทส่งพัสดุ จุดเกิดเหตุ โดยเป็นพนักงานขนส่งพัสดุ และสามีของตัวเองก็ได้ฝากงานให้กับนางสาวเกตุ ทำงานเป็นผู้จัดการสาขาเมื่อช่วงกลางเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา จนกระทั่งปลายเดือนเมษายน ตัวเองจับได้ว่าสามีและนางสาวเกตุแอบคุยกันทางแชตในลักษณะชักชวนกันไปกินข้าวและกุ๊กกิ๊กกัน ตัวเองจึงได้เรียกสามีและนางสาวเกตุคุยกันสามคน ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งทั้งสองคนเขาก็ได้ยอมรับว่าแอบคุยกันได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่บอกกับตัวเองว่าแค่เริ่มคุยกันยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และทั้งสองก็ยอมที่จะยุติความสัมพันธ์กัน และฝ่ายนางสาวเกตุอ้างว่า แฟนหนุ่มที่เป็น ตชด. ก็ทราบเรื่องแล้ว และเคลียร์กันแล้ว ซึ่งฝ่ายสามีและนางสาวเกตุต่างฝ่ายต่างก็บล็อกช่องทางการติดต่อในโซเชียลซึ่งกัน และเหลือไว้แค่ทางโทรศัพท์ที่ต้องทำงานร่วมกันเท่านั้น ซึ่งตัวเองก็มั่นใจในตัวสามีมาตลอด เพราะเขาไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับนางสาวเกตุอีกแน่นอน


ที่ตัวเองไม่ให้สามีลาออกมาจากที่ทำงานดังกล่าว เนื่องจากว่าตอนนี้งานก็หายากและลูกน้อยวัย 10 เดือน ก็ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจ ต้องใช้เงินในการรักษาตัวจำนวนมาก ตัวเองจึงให้สามีทำงานที่บริษัทส่งพัสดุดังกล่าวต่อ กระทั่งเมื่อวานนี้ตัวเองมาทราบข่าวหลังจากเกิดเหตุก็รีบไปดูศพสามี ซึ่งพบว่าสามีถูกยิงที่ศีรษะจำนวนสองนัดและที่บริเวณแขนด้านขวา 1 นัด การเกิดขึ้นก็มีพยานใกล้ที่เกิดเหตุและมีเพื่อนร่วมงานของสามีมาบอกพิรุธหลายอย่างให้ตัวเองฟัง ทำให้ตัวเองติดใจในตัวของนางสาวเกตุ




สิ่งที่ตัวเองติดใจก็คือ มีพยานเห็นว่านางสาวเกตุ เขาเลิกงานและขับรถเก๋งคันสีขาวออกจาก บริษัทส่งพัสดุตั้งแต่เวลา 17.30 น. แล้ว ส่วนคนตายยังนั่งเช็กพัสดุและนับเหรียญอยู่ในที่ทำงานอยู่ จากนั้นนางสาวเกตุได้ขับรถเก๋งตันดังกล่าว กลับมาที่บริษัทส่งพัสดุอีกครั้ง พร้อมกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของเขาแล้วให้แฟนหนุ่มไปรออยู่รอบนอก ก่อนที่นางสาวเกตุจะเรียกสามีตัวเอง ซึ่งนั่งนับเหรียญอยู่มาเคลียร์แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาเคลียร์เรื่องอะไรกัน ซึ่งสามีตัวเองนั่งยอง ๆ อยู่ข้างประตูรถฝั่งคนขับ ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะวิ่งมาจากทางด้านหลัง และก่อเหตุยิงแฟนตัวเองจนเสียชีวิต จากนั้นเขาก็ขับรถเก๋งออกไปพร้อมกับนางสาวเกตุ


และสิ่งที่ตัวเองคาใจอีกประเด็นก็คือ มีพยานมาบอกตัวเองว่า ก่อนหน้าจะเกิดเหตุ นางสาวเกตุ ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาบริษัทส่งพัสดุดังกล่าว ได้เป็นคนถอดเซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดออกในบริษัทพัสดุซึ่งจะอยู่ใกล้กว่าตัวที่ออกข่าวไปนั้น ไม่สามารถดูภาพได้ ถ้าเขาทำแบบนั้นจริง ๆ เขารู้เห็นเป็นใจกับการตายของสามีหรือไม่ และก่อนหน้านี้ประมาณสามวันก่อนเกิดเหตุ ก็มีพยานเห็นว่าคนก่อเหตุ มาดูลาดเลาแถว ๆ ที่เกิดเหตุไว้แล้ว ซึ่งตัวเองยังได้ข้อมูลมาอีกว่าตอนอยู่ที่ทำงานเก่านางสาวเกตุเคยคบหากับผู้ชายหลายคน ทั้งที่เขายังคบกับตำรวจนายนี้อยู่ จนทำให้ผู้ชายที่นางสาวเกตุคบหานั้นไล่ฟันกัน จนเป็นคดีความกันมาแล้ว


อีกทั้งก่อนจะเกิดเหตุประมาณ 5 วัน ผู้ก่อเหตุได้โพสต์ข้อความว่า “ซักซ้อมให้เคยชิน สภานการณ์จริงจะได้ไม่พลาด” พร้อมกับภาพเขาถืออาวุธปืน จากนั้นนางสาวเกตุ ก็ได้ไปคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าวว่า “จะยิงใคร” ผู้ก่อเหตุก็มาตอบกลับว่า “ยิงไก่” ซึ่งไก่ที่เขาหมายถึงก็น่าจะเป็น “กร” สามีของตัวเอง ตัวเองก็อยากฝากหรือเจ้าตำรวจให้เชิญตัวนางสาวเกตุมาสอบปากคำอย่างละเอียดว่าเขามีส่วนเกี่ยวบ้องกับการตายสามีหรือไม่ ซึ่งการสูญเสียสามีครั้งนี้กระทบต่อครอบครัวตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะสามีเป็นเสาหลักของครอบครัว




ทั้งนี้ทีมข่าวได้รับภาพวงจรปิดก่อนเกิดเหตุเวลา 12.56 น. นายธนวัฒน์ ผู้ตาย ขี่รถซาเล้งคันสีน้ำเงินมาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน เพื่อมาทานข้าวกับลูกน้อยวัย 10 เดือน ก่อนที่จะเดินกลับขึ้นรถ และเวลา 12.57 น. นายธนวัฒน์ขี่รถซาเล้งแล้วไปจอดยืนพูดกูอยู่กับเพื่อนบ้านสักพักก่อนจะขี่รถกลับไปที่ทำงาน


ขณะที่บรรยากาศวันนี้เวลา 1700 น. ที่ผ่านมา ภรรยาและครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้เชิญพระสงฆ์จำนวนหนึ่งรูปมาทำพิธีเชิญวิญญาณที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งภรรยาของผู้เสียชีวิตก็นั่งมาในรถกู้ภัยพร้อมกับศพของสามี ทันทีที่ภรรยาของผู้เสียชีวิตเดินลงจากรถขนส่งเพื่อมาชนวิญญาณสามี เจ้าตัวก็มีอาการร้องไก้เสียใจ ร่างแทบทรุด จนญาติ 2 คน ต้องมาช่วยประครองตัวภรรยาผู้เสียชีวิต




ซึ่งตอนที่มีการเชิญวิญญาณภรรยาของผู้เสียชีวิตก็ได้ พูดว่า “พี่ทิ้งหนูกับลูกไปทำไม กลับบ้านเรานะพี่ หนูมารับพี่แล้ว” หลังจากเชิญวิญญาณผู้เสียชีวิตเสร็จ ภรรยาผู้เสียชีวิต ได้เดินขึ้นรถขนศพ ไปจับร่างสามี ก่อนพูดว่า “กลับบ้านเรานะพี่ ไปเลี้ยงลูกด้วยกันนะพี่” ซึ่งพอร่างของผู้เสียชีวิตไปถึงบ้าน ทุกคนก็ต่างพากันร้องไห้บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า


ด้านนายบุญคลอ อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นพ่อของผู้เสียชีวิต บอกว่า ลูกชายของตนทำงานอยู่ที่บริษัทขนส่งเอกชนดังกล่าว ก่อนหน้านี้มีปัญหาชู้สาวกับนางสาวเกตุซึ่งเป็นผู้จัดการ แต่ทราบมาว่าเมื่อประมาณหนึ่งถึง 2 เดือนก่อน ลูกสะใภ้ได้นัดทั้งคู่มาพูดคุยเคลียร์กันจบไปแล้ว ขณะเดียวกันจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยังติดใจสงสัยพฤติกรรมของนางสาวเกตุว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในการเสียชีวิตของลูกชาย เพราะทราบมาว่าก่อนเกิดเหตุช่วงประมาณ 17.30 น. นางสาวเกตุได้เลิกงานและขับรถเก๋งออกไปแล้ว ก่อนที่จะขับรถเก๋งย้อนกลับมาจอดตรงบริเวณลานจอดรถใกล้ที่ทำงาน ซึ่งได้พา ส.ต.ท.จิรายุทธ์ นั่งในรถมาด้วย




จากนั้น ส.ต.ท.จิรายุทธ์ ได้ไปนั่งดักรออยู่ที่บริเวณใต้ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามซึ่งอยู่ห่างออกไป ก่อนที่นางสาวเกตุจะเรียกลูกชายให้มาพูดคุย โดยที่ตัวนางสาวเกตุนั่งอยู่ในรถ ส่วนลูกชายนั่งอยู่ที่บริเวณพื้นข้างประตูฝั่งคนขับ ก่อนที่ ส.ต.ท.จิรายุทธ์ จะชักปืนยิงลูกชายจากด้านหลัง แล้วกลับไปขึ้นรถเก๋งแล้วพาภรรยาหลบหนีไปหลังก่อเหตุ


ตนได้ยินมาอีกว่าก่อนหน้านี้ มีคนเห็นคนแปลกหน้าซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้ก่อเหตุได้มาวนเวียนดูลาดเลาอยู่นาน 2-3 วันแล้วแต่ยังไม่สบโอกาสลงมือ ส่วนกล้องวงจรปิดที่บริษัทขนส่งเอกชนดังกล่าว ได้ยินมาว่านางสาวเกตุได้เป็นคนถอดออกไปเมื่อไม่กี่วันก่อนจะเกิดเหตุ ทำให้ตนอดสงสัยไม่ได้ว่านางสาวเกตุอาจจะมีส่วนรู้เห็น และอยากจะให้ตำรวจตรวจสอบให้ชัดเจน หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็ขอให้ตำรวจจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย ส่วนเรื่องประเด็นที่มีกระแสข่าวระบุว่าผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าก่อเหตุลงมือเพราะเห็นลูกชายไปลวนลามนางสาวเกตุนั้น ตนมั่นใจว่าไม่เป็นความจริง

 

ส.ต.ท. หึงโหด ยิงมารหัวใจดับ คาดเมีย ตร. เป็นนกต่อ ลวงหนุ่มส่งพัสดุไปฆ่า