ศาลอาญานัดไต่สวนคดี "บิ๊กโจ๊ก" ฟ้อง "อัจฉริยะ" หมิ่นประมาท ด้านอัจฉริยะปูด บิ๊กโจ๊กดีลให้ช่วยเคลียร์บิ๊กต่อ พร้อมถามใครเรียก 10 ล้านแลกแฉบิ๊กต่อ ขณะที่บิ๊กโจ๊กโต้ "ไม่มี"

วันที่ 8 ก.ค. 2567 นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม เดินทางมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งวันนี้เป็นการไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องตนและสื่อหนังสือพิมพ์สำนักหนึ่ง ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา



นายอัจฉริยะ บอกว่า วันนี้เป็นคดีที่ 2 ที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องตน ซึ่งตนยืนยันว่าไม่ได้พูดถึงบิ๊กโจ๊กเลย แต่กลับถูกบิ๊กโจ๊กฟ้อง ตนมองว่าเป็นการฟ้องแบบหาเรื่อง ซึ่งถ้าไปดูในคำฟ้องมั่นใจอยู่แล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับบิ๊กโจ๊กเลย พูดถึงแค่ลูกน้องของบิ๊กโจ๊กเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ตนไม่มีปัญหาเพราะสู้ได้อยู่แล้ว

นายอัจฉริยะ ยังฝากถามบิ๊กโจ๊กถึงกรณีที่มีบุคคลหนึ่งไปเรียกเงินจำนวน 10 ล้านบาทจากบิ๊กโจ๊ก เพื่อแลกกับการแฉ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือบิ๊กต่อ ผบ.ตร. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนายอัจฉริยะอ้างว่า บิ๊กโจ๊กเป็นคนไปเล่าให้ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ลูกน้องคนสนิทของบิ๊กโจ๊กฟัง จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ก็มาเล่าให้ตนฟัง บอกว่า บิ๊กโจ๊กไม่ได้ให้เงินจำนวนดังกล่าวกับบุคคลนั้นไป ซึ่งตนอยากถามบิ๊กโจ๊กว่า บุคคลนั้นเป็นใครและเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมบิ๊กโจ๊กถึงไม่ดำเนินการตามกฎหมาย

ส่วนเรื่องดีลที่นายอัจฉริยะอ้างว่า บิ๊กโจ๊กขอให้ตนเป็นตัวกลางประสานกับบิ๊กต่อเพื่อเคลียร์ปัญหาความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งภายหลังบิ๊กโจ๊กบอกว่า ตนไม่เคยคุยเรื่องนี้กับนายอัจฉริยะ นายอัจฉริยะบอกว่า ถ้าไม่มีดีล บิ๊กโจ๊กจะเลื่อนศาลฯ ทำไมตั้งหลายครั้ง และบิ๊กโจ๊กก็เป็นฝ่ายขอเลื่อนเอง

นายอัจฉริยะยังอ้างอีกว่า เมื่อครั้งศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บิ๊กโจ๊กได้บอกต่อหน้าศาลฯ ว่า ตนไม่สามารถทำประโยชน์ให้บิ๊กโจ๊กได้ จึงไม่ถอนฟ้อง

หลังนายอัจฉริยะให้สัมภาษณ์เสร็จได้เดินเข้าไปในศาลฯ เพื่อเตรียมตัวเข้าห้องพิจารณาคดี เป็นจังหวะเดียวกับที่ บิ๊กโจ๊กเดินทางมาถึงศาลอาญาพอดี ซึ่งจังหวะที่บิ๊กโจ๊กเดินมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก็เดินสวนกลับนายอัจฉริยะ ทั้งคู่มีท่าทีเมินเฉยต่อกัน ก่อนจะแยกย้ายกันเดินไปคนละทาง

โดยบิ๊กโจ๊กเดินทางมาเพื่อเข้าไต่สวนมูลฟ้องครั้งแรกใน คดีที่เป็นโจทก์ฟ้องนายอัจฉริยะ แต่ไม่ขอเปิดเผยสำนวนคดีซึ่งเป็นการใช้สิทธิ์ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลอาญาเมื่อตนเองถูกกระทบสิทธิ์

ส่วนกรณีที่วันนี้ คณะพนักงานสอบสวนตำรวจในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์มินนี่ จะนำสำนวนคดีจากพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต มาส่งให้ ป.ป.ช. พิจารณาไต่สวนนั้น ขอชี้แจงว่า เนื่องจากสำนวนดังกล่าวที่พนักงานสอบสวนตำรวจได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวน 8 คนของตนเอง และส่งสำนวนไปยังอัยการฯ แต่ทางอัยการได้พิจารณาแล้วว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นไปตามที่ตนเองเคยได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่า สำนวนคดีนี้เป็นเรื่องความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. ไม่ใช่อำนาจตำรวจที่จะพิจารณาสั่งฟ้อง

และเป็นไปตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ที่ได้ระบุว่า หากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในเบื้องต้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถออกหมายเรียกหรือหมายจับได้ กฎหมายมีหลักเดียว สุดท้ายอัยการจึงพิจารณาว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช. จึงได้พิจารณาส่งคืนสำนวนไปยังพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนจึงต้องนำสำนวนส่งไปคืน ป.ป.ช. ไปใน 30 วัน ซึ่งตนเองได้กล่าวหาคณะพนักงานสอบสวนไว้ทั้งหมดแล้วว่า เป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

“จะเห็นได้ว่าการสอบสวนที่ผมบอกว่าเป็นการสอบสวนโดยชอบหรือไม่ชอบอย่างไร ท่านก็จะเห็นว่าตำรวจสอบสวนได้เฉพาะคดีความผิดอาญา แต่เป็นความผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ อย่างไรก็ต้องส่ง ป.ป.ช. ไม่ใช่ดึงไปสอบเอง”

อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นการส่งสำนวนกลับให้ ป.ป.ช. ดังนั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้ง 8 คนจึงไม่ได้เดินทางมาด้วย หากเป็นการสั่งฟ้องจึงจะเรียกลูกน้องของตนเองไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้เปรียบเทียบกรณีดังกล่าวกับกรณีที่คณะพนักงานสอบสวนและอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้องข้าราชการตำรวจตั้งแต่ระดับผู้การลงไปจนถึงรองสารวัตรกว่า 20 ราย ในคดีที่อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีกับพวกเรียกรับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ 140 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการสั่งฟ้องในคดีอาญา มีผู้เสียหายชัดเจน และเป็นคดีสำคัญร้ายแรง แต่กลับไม่มีคำสั่งให้ออกจากราชการทั้งหมดเหมือนกับกรณีของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองต่อสู้มาตลอด แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสองมาตรฐาน

“ดังนั้นที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าจะให้ความเป็นธรรมกับตนเองนั้น ก็เป็นเพียงวาทกรรมที่พูดไป เหตุใดนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาของตำรวจ หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงไม่ดำเนินการ”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากสำนวนคดีเข้าสู่การพิจารณาของ ป.ป.ช. จะถือเป็นการเข้าทางให้ฟ้องกลับหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ไม่มีเข้าทางใครทั้งสิ้น เพียงแต่หลักกฎหมายก็คือหลักกฎหมาย เพราะคดีนี้บิดเบี้ยวตั้งแต่กระบวนการสอบสวนแล้ว เพราะคดีที่เส้นเงินเกินกว่า 300 ล้านจะต้องส่งสำนวนให้ดีเอสไอ และคดีที่เป็นความผิดเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐก็ต้องส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. ทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีการส่งสำนวนคดี และพยายามดึงสำนวนไว้ทำเอง เพื่อนำไปสู่การออกหมายจับ

“จะผิดจะถูกไม่เป็นไร แต่จะต้องสอบสวนอย่างถูกต้องเป็นธรรม ไม่งั้นบ้านเมือง องค์กร ประชาชนจะอยู่อย่างไร ในเมื่อความเป็นธรรมไม่มี” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุถึงสาเหตุการถอนฟ้องนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร. ในชั้น ป.ป.ช. จะกระทบความเป็นธรรมในคดีหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้เกี่ยว เป็นเรื่องที่ท่านพูดของท่านเอง ส่วนที่อ้างว่าสามารถวิ่งเต้นทางเคลียร์คดีกับ ป.ป.ช. ได้นั้น ตนเองไม่ทราบเหมือนกัน เป็นเรื่องที่รับฟังมา แต่ตนก็มั่นใจในทุกกระบวนการยุติธรรมจะต้องถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายอัจฉริยะ อ้างว่า มีบุคคลเรียกรับเงิน 10 ล้านบาทกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อแฉข้อมูลของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบเพียงแค่ว่า ไม่มี

ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ อ้างที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ว่า มีการดีลกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้เป็นตัวกลางคุยกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เกี่ยวกับปัญหาในองค์กรตำรวจแลกกับถอนฟ้องคดีหมิ่นประมาทนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ตนเองยังไม่ได้คุยอะไรทั้งสิ้น และว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม

"บิ๊กโจ๊ก" ตอบสั้นๆ "อัจฉริยะ" ถามใครเรียก 10 ล้านแฉ "บิ๊กต่อ"