ญาติโต้กลับ "สุนีย์" ไม่ได้ฮุบมรดก 100 ล้าน เผยทนเห็นสภาพน้องชายอยู่กับอีกฝ่ายไม่ได้ ด้าน "เฮียวิศิษฐ์" เปิดใจ อยู่กับพี่สาวสบายใจกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นางสุนีย์ พร้อมลูกชาย เดินทางมาที่สายไหมต้องรอด เพื่อให้ช่วย โดยอ้างว่าถูกพี่สาวของสามี มาลักพาตัวสามีไปจากบ้านและกีดกันไม่ให้เจอครอบครัว

ล่าสุดนางสาวิตรี อายุ 65 ปี พี่สาวของนายวิศิษฏ์ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม ตนเดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้าน แต่พบว่าน้องชายมีอาการป่วย และสภาพการเป็นอยู่ไม่ดี ส่วนตัวยอมรับไม่ได้รู้สึกสงสารน้องชาย ซึ่งในวันนั้นยังเห็นอาหารที่น้องชายกิน สังเกตว่าเป็นโจ๊กที่เททิ้งไว้นานแล้ว ส่วนตัวจึงเชื่อว่าน้องชายได้รับสารอาหารไม่ครบ แต่ตัวเองก็เห็นว่าน้องชายบ่นอยากกินอาหารหลายอย่างแต่ก็ไม่ได้กิน

ส่วนเรื่องที่นายวิศิษฏ์ ถูกภรรยาและลูกทำร้ายร่างกายนั้น นางสาวิตรี ยืนยันว่า ฝ่ายภรรยาและลูกมีการทำร้ายร่างกายน้องชายจริง เพราะตัวเองเห็นบาดแผล และทราบมาว่าน้องชายถูกนางสุนีย์ภรรยา นายแบงค์ลูกชาย และน.ส.อั้ม ลูกสาว รุมทำร้ายร่างกายจนเกิดแผลคล้ายรอยเล็บบริเวณหลังของน้องชายด้วย

สำหรับปัญหาเรื่องการชิงมรดก 100 ล้าน ยืนยันว่า เกิดจากนางสุนีย์ เพียงคนเดียว ตัวเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม แต่เป็นความคิดของน้องสะใภ้ที่หวังฮุบสมบัติ อีกทั้งฝั่งญาติพี่น้องของตัวเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องสมบัติเลย ที่ตัวเองทำไปเพราะเป็นห่วงสุขภาพของน้องชาย ซึ่งตั้งแต่พาน้องชายไปอยู่ด้วยไม่ได้มีการบังคับให้เซ็นเอกสารแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นความคิดของน้องสะใภ้

ทั้งนี้นางสาวิตรี ยังย้ำว่าสำหรับมรดกทั้งหมดนั้น ยังไม่ได้มีการจัดการหรือแบ่งให้ใคร เพราะล่าสุดก็เพิ่งได้หนังสือรับรองแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยทายาททั้งหมดรวมถึงน้องชาย ได้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน

ส่วนประเด็นที่น้องสะใภ้ไปแจ้งความว่าตัวเองพาน้องชายไปกักขังไว้ที่บ้านนั้น นางสาวิตรี ได้ชี้ไปที่น้องชายพร้อมถามกลับว่าแบบนี้คือการกักขังหรือไม่ เพราะอยู่กับตัวเองได้กินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนแม้จะไม่ได้กินยารักษาโรคประจำตัวก็ตาม เพราะตัวเองได้พาน้องชายไปกายภาพบำบัดและออกกำลังกายด้วย

เมื่อถามว่าน้องชายได้เจอกับภรรยากับลูกหรือไม่ นางสาวิตรี บอกว่าเพิ่งเอามาได้ 10 วัน ส่วนวันที่น้องสะใภ้เดินทางไปหาที่หน้าบ้านยืนยันว่าไม่ได้ปิดประตูใส่ ส่วนที่น้องสะใภ้อ้างว่าตัวเองผลักหัวน้องชายตอนที่ตำรวจไปตามที่บ้านนั้น นางสาวิตรี บอกว่าไม่ได้ผลัก สามารถไปสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจได้

นอกจากนี้นางสาวิตรียังบอกอีกว่า ตัวเองเคยถูกน้องสะใภ้และหลานทำร้ายร่างกาย โดยเน้นไปบริเวณต้นคอเพื่อหวังให้ตัวเองเป็นอัมพาตด้วย

ขณะที่ นายวิศิษฐ์ ซึ่งเป็นสามีของนางสุนีย์ กล่าวว่า นางสาวิตรี ที่เป็นพี่สาว บอกกับตนว่าจะพาอยู่ด้วยและจะดูแลดีกว่าครอบครัว ตนเชื่อและยอมไปกับพี่สาวเมื่อ ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่ามีการทำร้ายร่างกายกันหรือไม่ นายวิศิษฐ์ ตอบเพียงว่ากึ่งๆ คล้ายว่าจะถูกกระชากแขน

ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนที่นายวิศิษฐ์อยู่กับบ้านของภรรยา ด้านภรรยาและลูกดูแลอย่างไร นายวิศิษฐ์ ตอบว่าครอบครัวดูแลดีแต่ทางด้านพี่สาวดูแลดีกว่า ยืนยันทั้งสองฝ่ายไม่มีฝั่งไหนทำร้ายร่างกายตน แต่ตอนนี้ขออยู่กับพี่สาวไปก่อนยังไม่พร้อมที่จะกลับไป

เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าให้ติดต่อกับทางภรรยาให้ไหม นายวิศิษฐ์ ปฏิเสธพร้อมบอกว่า ยังไม่พร้อมคุย แม้จะไม่ได้ทานยารักษาโรคประจำตัว แต่ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงดีเมื่อก่อนเพราะพี่สาวพาไปกายภาพบำบัดและเล่นโยคะ

สำหรับประเด็นเรื่องมรดกทีมข่าว ได้พยายามสอบถามว่าเป็นปมสาเหตุที่ทำให้เกิดการทะเลาะกันในครั้งนี้หรือไม่ นายวิศิษฐ์ ยอมรับว่าปัญหาเกิดจากมรดกของพี่สาวคนโตจริง โดยทั้งตนและพี่น้องอีก 4 คน มีมรดกคนละส่วน ซึ่งตั้งแต่ตนไปอยู่บ้านพี่สาว พี่สาวก็มีการนำเอกสารบางอย่างมาให้ตนเซ็นซึ่งตนมาทราบภายหลังว่าเป็นเอกสารเกี่ยวข้องกับมรดก และตนได้เซ็นไปแล้ว เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่านายวิศิษฐ์อยากได้มรดกหรือไม่ นายวิศิษฐ์ นิ่งเงียบและไม่ตอบคำถาม