จากกรณีคนร้ายบุกชิงทองภายในร้านทองแห่งหนึ่ง ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวเมืองเชียงใหม่ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ต่อมาเมื่อเวลา 22.00 น. คืนเมื่อวานนี้ (8 ก.ค.) พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ คุมตัวนาย นายนิพิฐพนธ์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหา ไปชี้จุดที่ก่อเหตุยิงและทิ้งศพผู้เสียชีวิต อายุ 48 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถรับส่งผ่านแอปฯ บริเวณใกล้กับน้ำตกวังบัวบาน
ต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืนวานนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาตัวผู้ก่อเหตุไปชี้จุดที่นำศพไปโยนทิ้งบริเวณเหวบนดอยสุเทพแล้ว ตำรวจชุดสืบสวนได้ควบคุมตัวนายนิพิฐพนธ์ผู้ก่อเหตุกลับไปยัง สภ.แม่ปิง เพื่อเค้นสอบปากคำอีกครั้ง เนื่องจากทองรูปพรรณที่เจ้าตัวมีการชิงไปจากร้านทองยังได้มาไม่ครบ ซึ่งนายนิพิฐพนธ์ยังบอกไม่หมดว่า ทองที่เหลือเกือบ 10 บาท เจ้าตัวนำไปซุกซ่อนที่ไหนอีก
ตำรวจมีการเค้นสอบปากคำ ตั้งแต่เวลา 22.30 น. หลังจากนำตัวไปชี้จุดทิ้งศพ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
จนกระทั่งเวลาประมาณ 00.05 น. พบว่า ตำรวจชุดสืบสวนหลังจากเค้นสอบนายพินิฐพนธ์อย่างหนัก ตำรวจได้ควบคุมตัวนายพินิฐพนธ์ออกจากห้องสืบสวนของโรงพักแม่ปิงพาขึ้นรถตู้ของเจ้าหน้าที่เดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ถึงเวลาประมาณ 00.35 น.
ซึ่งต่อมาทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านของผู้ก่อเหตุที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้องสาว ลักษณะบ้านเป็นบ้านชั้นเดียว ดูค่อนข้างเป็นคนมีฐานะ ไม่ใช่เป็นคนยากจนแต่อย่างใด
โดยทีมข่าวช่อง 8 เป็นทีมข่าวช่องเดียวที่เดินทางร่วมติดตามไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน เพื่อไขคำตอบว่า นายนิพิฐพนธ์นำทองที่เหลือไปซุกซ่อนไว้ที่ไหน
จนสุดท้ายเวลาผ่านไปจนถึงเวลาประมาณ 01.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอให้พ่อกับแม่นายพินิฐพนธ์ช่วยพูดคุยกับลูกชายอีกครั้งเพื่อให้บอกที่ซ่อนทองให้เรื่องจบ ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร จนเจ้าตัวยอมเปิดปากบอกที่ซ่อนทองจริงๆว่า ที่ซ่อนทองแท้จริงแล้วอยู่บริเวณซอกใต้หลังคาของบ้าน ซึ่งเจ้าตัวเป็นคนปีนนำไปซุกซ่อนทองไว้เอง โดยที่คนในบ้านไม่รู้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ปีนกำแพงและขึ้นไปบนหลังคาบ้าน และช่วยกันเอามือควานหาท้องบริเวณซอกใต้หลังคา ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจนพบสร้อยทองจำนวน 5 เส้น (ยังไม่ทราบน้ำหนักกี่บาท) ถูกซุกซ่อนอยู่จริงๆ
ล่าสุดเช้าวันนี้ (9 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวเดินทางมาที่ สภ.แม่ปิง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมตัว พื้นที่ที่ก่อเหตุชิงทอง (ส่วนจุดฆ่า อยู่พื้นที่ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์) โดยบรรยากาศวันนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงควบคุมตัวนายนิพิฐพนธ์ หรือ โอปอล์ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาอยู่ในห้องคุมขังและอยู่ระหว่างการนำตัวออกมาเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนของ สภ.แม่ปิง (เหตุชิงทอง) ก่อนจะส่งตัวผู้ต้องหาต่อ ไปยัง สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมในกรณีฆ่าคนตาย
โดยระหว่างที่ทีมข่าวกำลังติดตามทำข่าวอยู่นั้น เวลา 09.30 น. พ่อและแม่ของผู้ก่อเหตุได้เดินทางมาที่สภ.แม่ปิง เพื่อมาเยี่ยมลูกชายโดยถือถุงข้าวเหนียหมูปิ้งมาเยี่ยมลูกชายที่ถูกคุมตัวอยู่ในห้องคุมขัง
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนางวิไล (นามสมมติ) แม่ผู้ก่อเหตุ ให้ผู้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองรู้สึกเสียใจมากกับการกระทำของลูกชาย เพราะลูกเป็นคนที่ดีสำหรับตนเอง ไม่เคยกินเหล้า หรือสูบบุหรี่ หรือ ออกไปเที่ยวกลางคืนให้พ่อแม่ต้องเหนื่อยใจ และในสายตาของตนเองลูกนั้นยังเด็กและลูกนั้นไม่เคยดื้อเลย
ยอมรับว่า ตนเองเลี้ยงลูกผิด ตรงที่ลูกเล่นเกมตั้งแต่เด็กและลูกติดเกมมาก ชอบเล่นเกมแนวยิง และต่อสู้ทั้งวัน รวมถึงลูกชอบดูหนังที่เป็นลักษณะของการวางแผน และมีเนื้อหาที่รุนแรง ซึ่งเรื่องนี้ตนเองก็เคยคุยกับลูกแล้ว ว่าให้ลดพฤติกรรมแบบนี้ เพราะ ในใจลึกๆตนเองเริ่มคิดแล้วว่า ลูกชายเริ่มเหมือนคนบ้า แต่ลูกก็ไม่เชื่อ ส่วนการวางแผนในการก่อเหตุของลูกนั้น คาดว่าลูกของตนเองน่าจะเห็นในเกม และวางแผนการก่อเหตุตามรูปแบบของเกม แต่ยืนยัน ลูกไม่เคยมีพฤติกรรมลักษณะรุนแรงหรือก้าวร้าว แต่จะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ
หลังก่อเหตุเสร็จ ลูกชายได้กลับไปที่บ้าน ซึ่งตนไม่ทราบเรื่องมาก่อนเลยว่าลูกไปก่อเหตุ จนกระทั่งตำรวจโทรมาหา ยอมรับขณะกลับบ้านไปก็เจอตัวลูก เพราะลูกอยู่ที่บ้าน ซึ่งก็มีท่าทีปกติ ไม่เหมือนคนร้ายที่ไปปล้นทองมา
ส่วนกรณี ที่มีกระแสข่าวมาว่า ลูกชายทำไปเพราะต้องการหาเงินใช้หนี้กับครอบครัว ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อ 4 ปี ที่แล้ว ตนเองเคยนำเงินไปลงทุนเทรดทองและโดนโกง กว่า 10 ล้านบาท และลูกก็รับรู้มาโดยตลอด แต่ไม่คิดว่าลูกชายจะมาก่อเหตุแบบนี้
ส่วนลูกปืนของลูกชาย ตนเองไม่ทราบมาก่อนเลยว่าลูกชายนั้นมีปืนหรือซื้อปืนมา เมื่อคืนนี้ตำรวจพาลูกไปค้นที่บ้าน ตนเองก็ได้คุยกับลูก และบอกลูกว่า “หากทำอะไรไปให้รับสารภาพทั้งหมด ห้ามโกหก“ ลูกชายจึงยอมบอกที่ซ่อนทองในที่สุด
ส่วนทองเมื่อคืนที่ได้ตนเองเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ลูกยอมบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเอง ซึ่งเขาพบทั้งภายในห้องนอนของลูกชายบนฝ้าเพดาน รวมถึงซอกใต้หลังคาที่เจ้าหน้าที่มีการปีนขึ้นไปค้น
ในฐานะที่ตนเองเป็นแม่ อยากขอโทษทางฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยใจจริง และตนเองจะประสานเพื่อเข้าไปขอขมาผู้ตายและญาติที่งานศพได้ด้วย ส่วนจะไปเมื่อไหร่ยังไงนั้น ต้องทาง จนท.ตำรวจประสานให้อีกครั้ง
ยืนยันลูกไม่มีพฤติกรรมเสพยาเสพติด ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่อย่างแน่นอน ส่วนอาการป่วยทางจิต ตนเองไม่ค่อยแน่ใจ เพราะตนเองสังเกตุ ช่วงหลังมานี้ลูกเริ่มมีอาการที่เปลี่ยนไป ไม่ค่อยพูด ชอบดูหนังที่มีเนื้อหารุนแรง รวมถึงเล่นเกมลักษณะการวางแผนและยิงปืน อยู่ตลอด บางครั้งแกล้งน้องก็จะแกล้งแรง ซึ่งก็เคยเตือนลูกบ้างแต่ก็ไม่อยากพูดมากเกินไปเพราะกลัวลูกจะเตลิด
ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาตำรวจชุดสืบสวน สภ.
ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้ควบคุมตัวนายโอปอล์ผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยทำแผนทั้งหมดมีด้วยกันสามจุดด้วยกันคือ
จุดที่ 1 บริเวณจุดที่นายโอปอล์ขับรถมาจอด ซึ่งอยู่บริเวณกาแล ด้านทางขึ้นเขาเส้นทางสำรวจธรรมชาติ โดยจุดนี้เป็นจุดที่นายโอปอล์ได้เดินขึ้นไปยังบนดอยสุเทพ ซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่สองประมาณ 2 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินขึ้นไปถึงจุดโบกรถประมาณ 1.30 - 2 ชม. ซึ่งเส้นทางจะเป็นเส้นทางเดินเท้าขึ้นเขาตลอดทาง ซึ่งจุดที่ 1 เป็นจุดที่นายโอปอล์จอดรถทิ้งไว้เมื่อก่อเหตุปล้นทองเสร็จได้เอารถผู้ก่อตายไปทิ้งบนดอยสุเทพ ใกล้จุดทิ้งศพ และเดินกลับลงมาเอารถของตัวเองและขับกลับบ้านก่อนจะเอาทองไปขาย
ส่วนจุดที่ 2 จะอยู่บริเวณทางขึ้นใกล้วัดผาลาด ด้านบนดอยสุเทพ เมื่อนายโอปอล์เดินเท้าขึ้นมาถึงแล้วระยะทาง 2 กม. ได้เดินไปโผล่บนถนนทางลาดยางทางขึ้นดอยสุเทพ ซึ่งเจ้าตัวต้องเดินเท้าอีกประมาณ 100 เมตรไปยังจุดที่เจ้าตัวได้มีการโบกรถเรียกรถของผู้ตาย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่นายโอปอล์ลหลังจากโบกรถ ชิงรถ และไปปล้นทองเสร็จแล้ว และได้นำรถของผู้ตายกลับมาจอดทิ้งไว้ที่จุดเดียวกันอีกครั้งด้วย
และสุดท้ายจุดที่ 3 ตำรวจได้พาชี้จุดที่เจ้าตัวผู้ตายไปฆ่าและโยนร่างทิ้งเหว โดยพบว่าอยู่ห่างจากจุดที่ 2 ที่มีการโบกรถประมาณ 500 เมตร โดยจุดนี้เจ้าตัวได้บอกให้ผู้ตายขับรถไปจอดบริเวณจุดชมวิวอ้างว่าต้องการถ่ายรูปดูวิวก่อน เมื่อจอดรถจึงได้ใช้ปืนยิงจากด้านหลัง และลากศพโยนทิ้งเหว
โดยหลังจากทำแผนแล้วเสร็จทีมข่าวพยายามสอบถามนายโอปอล์เป็นครั้งสุดท้ายว่ามีอะไรอยากจะขอโทษผู้เสียชีวิตหรือไม่ และสาเหตุที่ทำไปเพราะอะไร โดยเจ้าตัวยังคงปิดปากเงียบเช่นเดิมและไม่ตอบคำถามใดใดกับนักข่าว ทีมข่าวถามว่าอยากขอโทษผู้ตายหรือไม่เจ้าตัวไม่มีแม้แต่พยักหน้า
เปิดแพลน “นิพิฐพนธ์” วางแผนล่วงหน้าก่อนลงมือ
จากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของนายนิพิฐพนธ์ หรือโอปอล์ พบว่าในโน้ตมีการเขียนข้อความเกี่ยวกับแผนการในการลงมือปล้นรถเพื่อชิงทองโดยรายละเอียดโน้ตที่ 1 เขียนข้อความระบุว่า
“จากประตูถึงร้าน 2 นาที
ทำเวลา 1 นาที
ออก 2 นาที
ขับรถ 10 นาที
เดินขึ้นดอย 30 นาที”
โน้ตที่ 2 มีข้อความระบุว่า
“กรกฎาคม 2567 เวลา 11:66
Plan B
4.00 อยู่ที่จุดเซฟ
5:00 ลงมือ
จุดเซฟ > จุดรับ : 25 min
จุดรับ > Target : 20 min (Target เปิด 9.00)
Target 1 min
Target > จุดรับ : 25 min
จุดรับ 1min
จุดรับ > จุดเซฟ : 18 min
Item 5 - 20 pcs = 100
Item 3-20 pcs = 60
Item bar 2 - 10 pcs = 40
Gold 200B-8,000,000”
โน้ตที่ 3 ระบุว่า
“โตเกียว
เครื่องบิน 20,000
ที่พัก 15 วัน 30,000
ค่ากิน 30,000
รวม 15 วัน / เดือน = 80,000
จอร์เจีย
เครื่องบิน 20,000
ที่พัก 30 วัน 30,000
ค่ากิน 30,000
รวม 1 ครั้ง = 80,000
ถ้า 1 เดือน ไม่รวมเครื่องบิน = 60,000
ถ้า 1 ปี =720,000”
พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ใช้เวลาการสอบถามตัวนายนิพิฐพงษ์ระยะเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นได้ออกมาให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า จากการพูดคุยกับผู้ก่อเหตุถึงขณะนี้ผู้ก่อเหตุยอมรับสารภาพทั้งหมดแล้ว พร้อมกับบอกที่ซ่อนทองและหลักฐานของกลางในคดีทั้งหมด จากการพูดคุยตัวผู้ก่อเหตุรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
ส่วนปมเหตุที่ลงมือก่อเหตุ ผู้ก่อเหตุอ้างว่า เหตุผลที่ตนเอง ต้องชิงรถของผู้ตายและจำเป็นต้องฆ่าทิ้งเนื่องจากกลัวว่าหากไปเช่ารถตนเองจะต้องใช้หลักฐานยืนยันตัวตนในการเช่า ซึ่งอาจจะทำให้ตำรวจตามจับได้ง่าย เนื่องจากทิ้งหลักฐานที่ระบุตัวตน
แต่การลงมือฆ่าเจ้าของรถและชิงรถไปก่อเหตุ วิธีนี้จะทำให้ตนเองหลบหนีตำรวจได้ง่ายกว่า เนื่องจากไม่มีหลักฐานมัดตัว จึงเลือกลงมือฆ่าผู้ตายและนำศพโยนทิ้งเหว เพื่อให้ยากในการติดตามตัว
ส่วนพฤติการณ์นั้น เจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้เรียกว่าใช้แอปฯเรียกรถ โดยไม่ได้ระบุเป้าหมายว่า เป็นใคร เป็นการสุ่มเรียก แต่บังเอิญไปเจอกับว่าที่ร้อยโทสุเทพ ที่ขับรถรับบริการพอดี
ซึ่งนายพินิฐพนธ์ทำทีว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว วิ่งเทรล (วิ่งสำรวจเส้นทางธรรมชาติแบบผจญภัย) ซึ่งอยู่บนดอยสุเทพต้องการจะเรียกรถเพื่อรับลงไปในตัวเมืองเชียงใหม่
แต่เมื่อว่าที่ร้อยโทสุเทพ ขับรถมารับ ผู้ก่อเหตุได้ทันทีชวนพูดคุยระหว่างนั่งรถลงจากดอยสุเทพระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งผู้ก่อเหตุไม่ได้ยิงทันทีขณะขึ้นรถ ซึ่งระหว่างที่รถกำลังลงจากดอยสุเทพผู้ก่อเหตุได้ขอให้ผู้ตายแวะจอดบริเวณจุดชมวิวดอยสุเทพ โดยใช้อุบายว่าต้องการอยากจะถ่ายรูปวิวบนเขาก่อนจะลงไป
เมื่อผู้ตายหลงเชื่อขับไปจอดรถยังจุดชมวิว ระหว่างที่รถกำลังจอดนิ่งอยู่นั้น ผู้ก่อเหตุจึงได้ใช้อาวุธปืนที่พกมายิง จากบริเวณเบาะหลัง และลากผู้ตายจากฝั่งคนขับไปยังฝั่งคนนั่ง และลากศพจากคนนั่งลากลงเหว
โดยหลังจากก่อเหตุเสร็จ ตัวผู้ก่อเหตุได้เสื้อผ้าของผู้ตายมาเปลี่ยนเป็นเสื้อของตัวเองและนำไปก่อเหตุชิงทองภายในห้างสรรพสินค้า และนำทองไปตระเวนขาย โดยทองทั้งหมดที่ชิงไปรวม 80 บาท มีทั้งหมด 32 เส้น ได้คืนมา 25 เส้น เหลือ 7 เส้น คาดว่าเป็นสร้อยที่ผู้ตายนำไปขายกับร้านทองอีก 2 ร้านได้เงินสดมาประมาณ 300,000 บาท
จากนั้นตัวผู้ก่อเหตุได้มีการจองตั๋วเครื่องบินทันทีในวันเดียวกันโดยจะมีไฟลท์บินออกในช่วงค่ำของวันนี้ แต่ถูกตำรวจจับกุมได้ก่อน ซึ่งแผนการหลบหนีทั้งหมด มีการระบุในโทรศัพท์มือถือไว้ชัดเจน ว่า จะบินจากเชียงใหม่ ไปกรุงเทพ สุวรรณภูมิ บินต่อ ไปประเทศญี่ปุ่น และ หนีไปยังประเทศที่ 3 คือประเทศจอร์เจีย ซึ่งตัวผู้ก่อเหตุมีการคำนวณค่าใช้จ่ายไว้ทั้งหมดแล้ว เจ้าตัวบอกว่าหากทำสำเร็จจะพาครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศด้วย
ขณะเดียวกัน นายมงคล (นามสมมติ) ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตา ว่า ทางครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงินจากการลงทุนเทรดทอง ซึ่งพ่อกับแม่ดื้อเอง ไม่ยอมฟังคำเตือนของลูกชายในเวลานั้น โดยลูกชายทราบมาตลอดการขาดทุน และถูกโกงของพ่อแม่มาตลอด แต่ไม่คิดว่าลูกชายจะทำแบบนี้ ซึ่งยอดที่ตนเองและภรรยาโดนโกงคือ ประมาณ 300,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 10 ล้านบาท
หลังจากเกิดเหตุชิงทองในเมือง ตนเองก็ทราบข่าวและดูข่าวมาโดยตลอด และเห็นว่าผู้ตาย อายุ 48 ปี ตอนนั้นตนเองยังรู้สึกหดหู่ใจกับข่าวอยู่เลย และไม่ทราบ ว่าลูกชายของตนจะเป็นคนก่อเหตุ เพราะลูกชายไม่มีลักษณะอาการที่จะส่อไปทางนี้เลย แต่ลูกชายชอบแกล้งน้อง อาจจะแกล้งรุนแรงหน่อย แต่เขาก็รักน้อง
ซึ่งลูกชาย ก็มีเพื่อนอยู่บ้างประมาณ 3-4 คน มีทั้งเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน และเพื่อนที่เป็น กลุ่มเล่นเกมด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ ลูกชายจะใช้เวลาอยู่คนเดียวมากกว่า
ตนเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกชายจะทำร้ายคนแบบนี้ เมื่อคืนนี้หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวลูกชายไปค้นที่บ้านตนเองได้พูดคุยกับลูกชาย ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ทำอะไรถึงไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่ลูกชายก็ไม่ได้ตอบอะไร
ตนเองอยากขอโทษ ทางฝั่งครอบครัวผู้ตายมาก เพราะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะตนก็ไม่อยากให้เกิดอาการแบบนี้ และไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นด้วย
กล้องวงจรปิดจับภาพ หลังจากนาย นิพิฐพนธ์ ไม่สามารถขายสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 10 บาท ที่ร้านทองในตลาดแห่งหนึ่งกลางเมืองเชียงใหม่ได้
(1) เขาก็ได้เดินลัดเลาะผ่านเข้าตลาด ไปอย่างเร่งรีบ ช่วงเวลา 13.41.59 จะเห็นว่าเขามีท่าทางรีบเดินผ่านตลาดไป
(2) จากนั้น เมื่อผ่านจากร้านแรกไป กล้องอีกตัว จับภาพเห็นตอนที่เขารีบเดิน ผ่านกล้องตัวที่ 2 ไป โดยพยายามก้มดูโทรศัพท์ เป็นบางช่วง
(3) ถัดมากล้องตัวที่ 3 ต่อเนื่องกัน ตัว นาย นิพิฐพนธ์ เดินก้มหน้าดูโทรศัพท์ แล้วเดินเร่งฝีเท้า ผ่านกล้องตัวที่ 3 ไป
(4) ต่อมา เวลา 13.42 นาที เขาเดินผ่านกล้อง ทั้ง 3 ตัวมา
ต่อมา ตัวที่ 4 จับภาพช่วงทางแยก หนึ่ง ในตลาด ที่สามารถลัดเลาะมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถได้ ทั้ง หมด 3 จุดด้วยกัน
นี่เป็นจุดสุดท้ายที่เขาวนหาร้านขายทองอยู่ที่นี่ ก่อนจะขับรถตัวเองมุ่งหน้าไปขายทองที่ร้านทองย่าน อ.ดอยสะเก็ด และอ.สันกำแพง
ทางทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดเพิ่มเติม ขณะที่ผู้ก่อเหตุ เดินทางไปขายทองที่กาดหลวง แต่มีร้านทองรับซื้อ จึงเดินทางไปขายที่ดอยสะเก็ดแทน
กล้องวงจรปิดตัวที่ 1+2+3 บันทึกภาพหลักฐานขณะที่นายนิพิฐพนธ์ ผู้ก่อเหตุเดินเข้ามาขายทองในร้านทองตลาดกาดหลวงถึง 3 ร้าน เพื่อนำทองมาขาย แต่เจ้าของร้านทองไม่รับซื้อ จึงเดินออกไป
ต่อมาเดินทางมาร้านทองที่ดอยสะเก็ด
วงจรปิด 4 กล้องขาเข้าร้านทองอีกร้าน มี 2มุม หลังจากนั้นเวลา 14:50 น. กล้องวงจรปิดบริเวณตลาดแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ จะสามารถจับภาพ นายนิวพิฐพนธ์ ผู้ก่อเหตุขับรถ toyota yaris ativ สีบรอนเงิน มุ่งหน้าเข้ามาจอดรถที่หน้าร้านทองก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านทองเพื่อขายฝากทองรูปพรรณจำนวน 3 บาทและได้เงินไปเป็นจำนวน 120,000 บาท
กล้อง 5 จากนั้นเวลา 14:58 น. กล้องวงจรปิดจะสามารถจับภาพ นายนิพิฐพนธ์ ผู้ก่อเหตุ เดินออกมาจากร้านทอง แล้วขึ้นรถหลังจากนั้นได้ขับรถมุ่งหน้าไปทางดอยสะเก็ดเพื่อกลับบ้านเอาทองที่เหลือไปซ่อน
กล้อง 6 ผู้ก่อเหตุขับรถกลับบ้านที่ดอยสะเก็ด
หลังจากนั้นเวลา 14:59 น. กล้องวงจรปิดจะสามารถจับภาพผู้ก่อเหตุขับรถยนต์มุ่งหน้ากลับบ้านที่ดอยสะเก็ดเพื่อนำทองคำที่เหลือไปซ่อนไว้บ้านพัก
เปิดวงจรปิดตอนสุเทพขับไปรับโอปอล์
ทีมข่าวได้กล้องวงจรปิดช่วง 05.57 น. วันที่ 8 มิ.ย. จะเห็นนายสุเทพ (คนตาย) ขับรถเก๋งสีขาวไปรับนายนิพิฐพนธ์ หรือ โอปอล์ ผู้ก่อเหตุ
ต่อมาเวลา 06.45 น. วงจรปิดจับภาพรถเก๋งสีขาวขับกลับมา โดยมีนายนิพิฐพนธ์ เป็นคนขับ หลังก่อเหตุฆ่านายสุเทพ เจ้าของรถแล้ว
จนช่วง 11.41 น. วงจรปิดจับภาพตอนนายนิพิฐพนธ์ ขับรถเก๋งกลับหลังก่อเหตุชิงทองแล้วเอารถไปจอด
รับศพนายสุเทพ
ต่อมาช่วงเวลา 15:00 น. ทางญาติของผู้เสียชีวิต เดินทางมารับศพ บริเวณจุดรับจุดรักษาศพ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดยผลชันสูตรศพเบื้องต้น พบว่าบริเวณตาช้ำเกิดจากเลือดข้างจากการโดนกระสุนยิงจ่อที่บริเวณท้ายทอย โดยทางด้านญาติ ช่วยกันเคลื่อนย้ายศพ เพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลศพยังวัดช่อแลพระงาม ในพื้นที่หมู่บ้านช่อแล ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
ทางทีมข่าวช่องแปดจึงเดินทางมายังวัดช่อแลพระงาม พบว่าขณะนี้ทางญาติกำลังช่วยกันจัดเตรียมงานพิธีบำเพ็ญกุศลศพ โดยจะจัดตามประเพณีนี้ทางภาคเหนือ คือจะรดน้ำศพก่อนเวลาเผา เวลาประมาณ 17:00 น. รถเคลื่อนย้ายศพเดินทางมาถึงวัด ญาติญาติต่างช่วยกันยกศพของนายสุเทพ เข้าไปไว้ในศาลา ก่อนจะเปิดหน้าโลง เพื่อให้ญาติดูต่างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ช่วยกันยกศพเข้าโลงแอร์ พร้อมจัดเตรียมดอกไม้ประดับ
ส่วนทางด้านพี่สาวของผู้เสียชีวิตนั้น ขณะนี้กำลังประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และอยู่ระหว่างการเดินทางมาจัดเตรียมพิธีที่วัดช่อแล บรรยากาศงานศพเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติต่างพากันร้องไห้เสียใจ บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ โผกอดกันร้องไห้ โดยทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าผู้เสียชีวิตนั้นเป็นคนดีมาก ไม่ควรต้องมาจบชีวิตแบบนี้ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนของนายสุเทพ จากชมรมปั่นจักรยานเสือแม่แตง ปั่นจักรยาน และใส่ชุดครบเซตมาร่วมจัดเตรียมงาน และแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกด้วย
ล่าสุดวันนี้ทางทีมข่าวช่องแปดลงพื้นที่ มายังหมู่บ้านช่อแล ม.1 ต.ช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านของนายสุเทพผู้เสียชีวิต เป็นบ้านไม้ยกสูง ตั้งอยู่ในสวนลำไย โดยวันนี้ขณะที่ทีมข่าวไปถึงพบว่าบรรดาญาติพี่น้องเดินทางมาให้กำลังใจแม่ของผู้เสียชีวิตกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ญาติหลายคนยังคงทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น อีกทั้งล่าสุดขณะนี้ ป้าวัย 80 ปี ของนายสุเทพผู้เสียชีวิต ซึ่งนอนป่วยติดเตียงอยู่ ยังไม่ทราบเรื่อง ว่าหลานชายสุดที่รักนั้นเสียชีวิตไปแล้ว โดยทางญาติตกลงกัน ว่าจะไม่แจ้งเรื่องนี้แก่คุณป้า เพราะกลัวว่าอาการจะทรุดหนักกว่าเดิม โดยทางด้านนายสุเทพนั้นอาศัยหลับนอนอยู่บริเวณใต้ถุนบ้าน ปูเป็นฟูก และกางมุ้ง นอนหลับบริเวณนี้เป็นประจำ แต่บางครั้งก็จะเข้าไปนอนที่บ้านป้าบ้าง บริเวณใกล้ที่นอน มีทั้งเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว อีกทั้งอุปกรณ์ในการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นความชื่นชอบส่วนตัวของนายสุเทพ ที่ชอบดูแลตัวเองและออกกำลังกาย จนยึดอาชีพเทรนเนอร์ประกอบหารายได้ อีกทั้งบริเวณถัดไปจากใต้ถุนบ้าน พบเรือนไม้เล็กๆ ซึ่งเป็นที่ประจำในการรับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า มีทั้งวัสดุอุปกรณ์ ในการซ่อมบำรุง และพบเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลาย ที่ชาวบ้านต่างมาจ้างและไหว้วาน ให้นายสุเทพช่วยซ่อมให้
นอกจากนี้ทางทีมข่าวนายสุเทพผู้เสียชีวิตนั้น มีความสามารถหลายด้าน เรียนจบชั้นปวส. จากวิทยาลัยเทคนิคเชียงใหม่ สาขาการไฟฟ้า และยังได้รับเกียรติติบัตรจำนวนมาก อีกทั้งพบว่านายสุเทพผู้เสียชีวิต ชื่นชอบการขับรถแข่ง ประเภทรถยนต์ ได้รับประกาศนียบัตร รางวัลคะแนนเก็บสะสมอันดับหนึ่ง แชมป์รุ่นสระบุรี และ เข้าร่วมโครงการปั่นจักรยานเสือภูเขา จนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการชมรม อีกทั้งนายสุเทพ ได้รับ ประกาศนียบัตรผ่านการอบรมวิชาชีพ โรงเรียนเอเชียอินเตอร์การบริบาล และการอาชีพหนองบัวลำภู หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 70 ชั่วโมง และที่ผ่านมานายสุเทพตั้งใจเรียน เป็นคนขยันขนขวาย และเรียนเก่งเป็นอย่างมาก จนเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของครอบครัวอย่างยิ่ง
ทางทีมข่าวช่องแปดจึงสอบถามไปยังนางจันทร์แสง อายุ 79 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต เปิดเผยกับทางทีมข่าวว่า นายตุ๋มหรือนายสุเทพ ลูกชายนั้น อาศัยอยู่กับตนที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งย้ายไปทำงานช่างไฟฟ้าและมีครอบครัวที่จังหวัดระยอง กว่า 10 ปีแล้ว มีลูกชาย 1 คน อายุ 16 ปี จนกระทั่งช่วง 3-4 ปี ให้หลังมานี้ป้าของนายสุเทพล้มป่วยหนักนอนป่วยติดเตียง ตนเองก็อายุมากขึ้นแล้ว และนายสุเทพเองก็เลิกกันกับภรรยา จึงลาออกจากงานที่จังหวัดระยอง และย้ายกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ที่ผ่านมานายสุเทพก็ไปเยี่ยมลูกอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากกลับมาอยู่บ้านนั้น นายสุเทพทำงานหลายอย่าง ทั้งรับซ่อมไฟฟ้าทั่วไป รวมทั้งขับรถเป็นรายได้เสริม ส่วนว่าที่ร้อยโทนั้น นายสุเทพเรียนต่อจากการฝึก รด. ด้วยเป็นคนขยันและขนขวายหาความรู้ใหม่ใหม่เสมอ ที่ผ่านมานายสุเทพเป็นที่รักของทุกคน มีอาสาสมัครที่ไหนก็จะไปช่วยเหลือสังคม ทั้งเป็น อสม. ของหมู่บ้าน หรือใครมีเรื่องให้ช่วยเหลือ ก็จะช่วยมาเสมอ
นายสุเทพนั้นเป็นคนดีอย่างมาก ช่วยเหลือครอบครัวในทุกๆด้านมาตลอด ก่อนไปทำงานทุกวันจะต้องกอดและหอมแม่ก่อน ให้กำลังใจกันและกันมาเสมอ ดูแลแม่อย่างดี โดยตัวแม่เองนั้นมีลูกเพียงสองคน คนโตเป็นพี่สาว ส่วนนายสุเทพเป็นลูกชายคนเล็ก
ตนมาทราบข่าวว่านายสุเทพเสียชีวิตเมื่อวาน ดูจากข่าวตอนแรก ข่าวออกมาว่าลูกชายคือโจรที่ไปชิงทรัพย์ร้านทอง ขณะนั้นตนไม่เชื่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะลูกชายไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน เมื่อสามารถหาข้อสรุปได้ ว่าลูกชายไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ ตนก็รู้สึกโล่ง และภูมิใจในตัวลูกชายเป็นอย่างยิ่ง
แต่สุดท้ายกลับมาทราบภายหลีงหลังมีคนโทรมาแจ้ง ว่านายสุเทพลูกชายเสียชีวิตแล้ว ตอนนั้นแทบช็อก แต่ก็เชื่อว่าเป็นศพของลูกชาย เพราะผลการตรวจดีเอ็นเอจากกระพุ้งแก้ม ก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นลูกชายของตัวเองจริงๆ แต่ตนเองก็พยายามทำใจให้ได้ คิดซะว่าทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้ ด้วยตนเคยได้บทเรียนจากพี่สาวที่เคยสูญเสียลูกไปเหมือนกัน ตอนนั้นพี่สาวตนตรอมใจหลายเดือน ตนเห็นสภาพจึงคิดว่า คนจะไม่เป็นเหมือนพี่สาวเด็ดขาด จะต้องเข้มแข็ง และใช้ชีวิตต่อให้ได้
ลูกชายคงมีบุญมาอยู่กับตนได้เพียงเท่านี้ แค่ที่ผ่านมาในชีวิตก็คุ้มค่าแล้ว เพราะที่ผ่านมากว่า 48 ปี ตลอดชีวิตของลูกชาย ทำแต่ความดีให้ตนมาโดยตลอด ตนภูมิใจในตัวลูกชายมาตลอดทั้งชีวิต แม้ขณะนี้จะจากไปแล้วก็ยังคงภูมิใจอยู่
ก่อนที่นายสุเทพจะเสียชีวิต ประมาณสี่วันก่อนหายตัวไปออกจากบ้าน นายสุเทพยังมาพูดคุยกับตนอยู่เลย โดยที่ผ่านมาตนพยายามห้ามปรามตลอด เรื่องการออกไปขับรถ เพราะตนเป็นห่วงอันตราย ขับรถดึกดึก ทั้งใกล้ไกล เคยเห็นข่าวมา เรื่องคนปล้นจี้แท็กซี่ จึงเป็นห่วงลูกชายเป็นอย่างมาก แต่ด้วยลูกชายเป็นคนขยันขัน ทำงานหารายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว อยากให้แม่และป้าสบายมาโดยตลอด จึงดื้อรั้นที่จะยังคงไปทำงานอยู่ รถที่ใช้ในการขับแท็กซี่ ก็เป็นรถที่ลูกชายหาเงินเงินผ่อนด้วยน้ำพักน้ำแรง ซึ่งปัจจุบันยังผ่อนไม่หมดเลย
ครั้งล่าสุดก่อนที่ลูกชายจะออกจากบ้านไป ตนเจอลูกตอนเช้า แจ้งกับตนว่าจะไปรับผู้โดยสารที่แม่โจ้ และไปต่อที่เชียงราย โดยปกติแล้วนายสุเทพจะรับลูกค้าหมดไม่ว่าใกล้ไกลแค่ไหนก็ไป ซึ่งในเย็นวันนั้น เมื่อลูกชายเดินทางไปถึงเชียงราย ยังโทรมาแจ้งกับตนอยู่เลย ว่ามาถึงแล้ว ขณะนั้นก็ได้พูดคุยกันตามปกติ จนกระทั่งหลังจากนั้นลูกชายก็ไม่โทรมาอีกเลย ซึ่งขณะนั้นตนไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด เพราะโดยปกติแล้ว ทุกครั้งที่นายสุเทพออกไปขับรถ จะกลับมานอนบ้าน สองถึงสามวันต่อครั้ง เพราะ หลายครั้งที่ขับไปส่งลูกค้าต่างจังหวัด ก็ใช้ชีวิตกินนอนอยู่บนรถ ตนจึงไม่ได้เอะใจในส่วนนี้ หลังจากนั้นนายสุเทพก็หายตัวไปกว่า 4 วัน ยังไม่ติดต่อ หรือกลับมาที่บ้านเลย จนกระทั่งตนมาทราบข่าวอีกที คือลูกชายเสียชีวิตแล้ว
ตอนแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งกับตนนั้น วารลูกชายเสียชีวิตแล้ว ขณะนั้นตนยังไม่เชื่อ นึกว่าตำรวจหยอกเล่น จึงบอกไปว่าอย่ามาเล่นแบบนี้ แม่ใจไม่ดี
ตนคิดว่าการกระทำครั้งนี้ของฆาตกร ใจโหดเหี้ยมเกินไป กระทำกับผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคนดีมากๆ เป็นที่รักของครอบครัวและทุกคน ไม่มีคำพูดอะไรจะบรรยายความรู้สึกได้ และขอไม่พูดถึงฆาตกรที่ทำกับลูกแบบนี้ ขอให้รับกรรมและรับผลการกระทำนั้นไป ในส่วนประเด็นถ้าหากผู้ต้องหาหรือครอบครัวของผู้ต้องหาต้องการจะมาขอขมานั้น ตนยังคงให้คำตอบไม่ได้ ว่าจะอโหสิกรรมให้หรือไม่ คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามเวรกรรม ใครทำอะไรก็คงได้รับผลแบบนั้น หลังจากนี้ขอเอาเรื่องและดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด และให้ลูกชายได้รับความยุติธรรมมากที่สุด
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าพูดคุยกับนายฉัตร์ณพัฒน์ หรือคุณแนน เจ้าของเวทีประกวด mister universe Thailand เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตอนที่น้องปอเข้ามาประกวดที่เวทีตนนั้น มากับโมเดลลิ่งหนึ่ง ซึ่งทางโมเดลลิ่งสมัครเข้ามาส่งประกวดกับทางกอง โดยเป็นตัวแทนจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ตอนนั้นลักษณะเขาก็ดูเป็นเด็กธรรมดา ที่ทำกิจกรรมต่างๆ ของทางกองประกวดได้ตามปกติ ไม่ได้ดูผิดสังเกต หรือแตกต่างจากใครคนอื่นเลย ร่าเริงสดใสดี ส่วนเรื่องที่มีกระแสข่าวออกมาว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า หรืออารมณ์รุนแรง ติดเกม อันนี้ตนไม่ทราบจริงๆ แต่ถ้าถามตน ตนคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นซึมเศร้าหรืออารมณ์รุนแรงได้ เพราะเวทีนี้เป็นเวทีประกวดชายล้วน แล้วเขามาประกวด 2 ปีติดเลย และมีกิจกรรมเยอะมากในกองประกวด และเขาก็ทำได้ดีตลอด แต่ตนก็ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ เพราะหลังจากจบการประกวดกับเวทีตนไป ตนก็ไม่เจอเขาอีกเลย และก็ไม่เคยเห็นเขาในเวทีอื่นต่ออีกด้วย
เบื้องต้นก่อนการประกวดทั้ง 77 จังหวัดก็จะมีการเช็คประวัติผู้ประกวดอยู่แล้ว แต่ไปถึงขั้นภูมิหลังพื้นเพทางบ้านเขาต่างๆ ทางกองก็ไม่ได้เช็คขนาดนั้น ซึ่งเขาก็ดูปกติทั่วไปคนหนึ่งเลย