จากกรณีนายโอปอล์ หรือ นิพิฐพนธ์ อายุ 26 ปี คนร้ายบุกชิงทองภายในร้านทองแห่งหนึ่ง ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในตัวเมืองเชียงใหม่ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น 

 

ล่าสุดเช้าวันนี้ 10 กรกฎาคม 2567 บรรยากาศที่ สภ.แม่ปิง จ.เชียงใหม่ ยังคงมีนักข่าวปักหลักรออยู่หน้าห้องคุมขังเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายนิพิฐพนธ์ หรือ โอปอล์ ผู้ต้องหาออกมาจากห้องคุมขังเพื่อนำตัวไป ส่งให้ สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนจะนำตัวผู้ต้องหา ส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ และจะนำตัวผู้ต้องหาส่งศาลฝากขังช่วงบ่ายของวันนี้ 

 

ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายโอปอล์ ออกมาจากห้องคุมขัง ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ผู้ต้องหามีสีหน้าเรียบฉย และไม่ตอบคำถามใดๆ กับผู้สื่อข่าว ก่อนเจ้าหน้าที่จะนำตัวขึ้นรถ 

 

จากนั้นนักข่าวได้พยายามสอบถามนายโอปอล์อีกครั้ง ว่ารู้สึกผิดกับสิ่งที่กระทำลงไปหรือไม่ นายนิพิฐพนธ์ ไม่ตอบคำถามใดๆ แต่ได้สอบสนองครั้งแรก โดยเจ้าตัวพยักหน้า ส่งสัญญาณว่า รู้สึกผิด 

 

จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามต่ออีกว่า อยากไปขอขมาผู้ตายหรือไม่ เจ้าตัว "พยักหน้า" รอบ 2 ส่งสัญญาณว่าอยากไปขอขมา ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวออกจาก สภ.แม่ปิงไป

 

ขณะเดียวกันวันนี้ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายมงคล (นามสมมติ) พ่อของนายโอปอล์ผู้ก่อเหตุเพิ่มเติม หลังจากวันนี้ พนักงานสอบสวนได้เชิญตัวพ่อแม่และน้องสาวของโอปอมาสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ใช้เวลาการสอบปากคำกว่า 1 ชั่วโมง หลังจากสอบปากคำเสร็จทีมข่าวได้พยามเข้าไปสอบถามคุณพ่อถึงสภาพจิตใจของลูกชาย โดยพ่อบอกกับ ทีมข่าวว่าตอนนี้สภาพจิตใจของลูกชายดีขึ้นมากแล้ว เนื่องจากมีโอกาสได้คุยกับพ่อแม่และญาติที่เข้าไปเยี่ยมในห้องขัง ซึ่งลูกชายจากการพูดคุย ลูกมีท่าทีเศร้า และสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ลูกร้องไห้ผ่านห้องขัง บอกว่าอยากต้องการไปขอขมาศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งเบื้องต้นครอบครัวได้ติดต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตไปแล้วว่าจะมีการเดินทางเข้าไปขอขมาศพ แต่ยังไม่ได้นัดเวลากันว่าเป็นวันไหนเมื่อไหร่ 

 

ผู้สื่อข่าวได้ถามต่อถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ทางบ้านได้สนับสนุนให้โอปอล์เดินสายประกวดนายแบบในหลายๆเวที เพื่อให้ลูกชายเป็นคนดีของสังคม ยืนยันว่าครอบครัวไม่เคยบังคับให้ลูกไปประกวด แต่ภรรยา ค่อนข้างรู้จักกับคนในวงการประกวดพอสมควร 

 

ซึ่งทุกครั้งพ่อแม่ได้สอบถามลูกชายและสนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้ลูกเจอแต่สิ่งดีๆ สังคมดีๆ ซึ่งตนเองเสียใจมากที่พ่อแม่อุตส่าห์เลือกทางที่ดีให้ลูกแล้ว แต่ลูกกลับเลือกทางที่ผิดไปก่อเหตุฆ่าคนตาย

 

เปิดใจเจ้าของร้านทอง ร้านที่ 1 “ไอ้แว่นฆาตกร” เอาทองมาขาย แฉเห็นพิรุธ หน้าเด็กแต่มีทองเส้นโต - บอกน้ำหนักทองผิด สุดท้ายโทรแจ้งเบาะแสตำรวจ รวบตัวทันควัน 

 

ล่าสุดทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ เจ้าของร้านทองอีก 1 ร้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ที่แจ้งเบาะแสกับตำรวจจนนำไปสู่การจับตัวฆาตกรโหดร้ายนี้ได้ 

 

เราได้พูดคุยกับนายชัชวาล เจ้าของร้านทอง ซึ่งเป็นร้านทองแรกที่นายโอปอฆาตกร ได้นำทองมาขายหลังจากก่อเหตุเสร็จ

 

นายชัชวาลเล่าให้ฟังว่า ช่วงเวลา 4 โมงเย็นวันเกิดเหตุตนเองกำลังเฝ้าร้านอยู่นั้น โดยกำลังติดตามข่าว คนร้ายชิงทองภายในห้างดังในเมืองเชียงใหม่ ระหว่างนั้นได้มีเด็กหนุ่มใส่แว่นเดินเข้ามาในร้าน และนำสร้อยทองควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงฝั่งซ้าย ออกมาเพื่อมาขายที่ร้านของตนเอง 

 

ตนเองยอมรับว่า ทันทีที่เห็น รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้แปลก เนื่องจากสร้อยทองที่เด็กหนุ่มเอามาขาย เป็นสร้อยทองเส้นใหญ่ มีมูลค่าสูง แต่เด็กหนุ่มกลับนำสร้อยทองใส่กระเป๋ากางเกง แทนที่จะใส่กล่องให้ดูดี นั่นคือพิรุธที่ 1 

 

ส่วนพิรุธที่ 2 ตนเองได้ถามหนุ่มแว่นว่า “ได้ทองมายังไง น้ำหนักเท่าไหร่? เพราะสังเกตถึงพิรุธ ว่า เด็กหนุ่มแว่นหน้าอ่อนขนาดนี้ ไม่น่าจะมีทองเส้นใหญ่ มีตังขนาดนั้น รวมถึงลักษณะของสร้อยทองดูใหม่มาก ไม่ได้ผ่านการใช้งาน ไม่น่าจะเอามาขาย 

 

เด็กหนุ่มกลับตอบตนเองว่า “ทองมีน้ำหนัก 8 บาทมั้ง” จากนั้นตนเองจึงนำสร้อยทองไปชั่งน้ำหนักดู กลับพบว่าทองมีน้ำหนัก 10 บาท ซึ่งไม่ตรงกับน้ำหนักที่เด็กหนุ่มบอก จึงเป็นพิรุธที่ 2 เพราะปกติควรจะนำทองมาขายจะต้องรู้น้ำหนักของทองเป็นอย่างดี

 

ตอนนั้นเองจึงตอบกลับเด็กหนุ่มไปว่า “นี่ทองไม่ใช่ 8 บาทน้อง ทองน้ำหนัก 10 บาท น้องเอาทองกลับไปถามเขาก่อน มันไม่ใช่น้ำหนักที่บอก” ตามกล้องวงจรปิด 

 

ส่วนพิรุธที่ 3 ระหว่างตนเองตรวจสอบทอง กลับพบว่า สร้อยทองมีตราของร้านออโรร่า จึงเริ่มสงสัยมากขึ้น แต่ตนเองไม่มั่นใจ เนื่องจากตอนนั้น หน้าของผู้ก่อเหตุ ที่เป็นข่าวคือ ว่าที่ร้อยโทสุเทพฯ แต่ก็แปลกๆใจ จึงได้ปฎิเสธการรับซื้อไป

 

โดยเด็กหนุ่มแว่น ก่อนจะออกจากร้านทองตนเอง ได้พูดแก้เกมว่า “แม่ให้มาขายครับ” ก่อนจะเดินออกจากร้าน ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิด ร้านที่ 1 ก็บันทึกเสียงไว้ได้อย่างชัดเจน 

 

ซึ่งหลังจากเด็กหนุ่มได้เดินทางออกจากร้านตนเองไป ตัวเองได้สะกิดบอกภรรยาที่อยู่ด้านหน้าร้าน ช่วยดูให้หน่อยว่า เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้าไปขายทองร้านไหนต่อ ภรรยาเมื่อเห็นว่า เด็กหนุ่มเดินเข้าร้านทองร้านที่ 2 ตนเองจึงรีบโทรศัพท์หานายสุรเดช ซึ่งเป็นเจ้าของร้านทองที่ 2 ทันที เพราะเห็นพิรุธหลายอย่าง 

 

จากนั้นจึงได้ลองโทรศัพท์ติดต่อไปยังเพื่อนที่รู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประสานงาน และเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจรู้ เพื่อแจ้งเบาะแส ไม่นานเกิน 10 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบเดินทางมาที่ร้านทอง และไล่ดูภาพกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม จนนำไปสู่การจับกุมคนร้ายในที่สุด

ล่าสุดทีมข่าวได้ย้อนกลับไปร้านทองในตัวเมืองเชียงใหม่ ตลาดวโรรสที่นายโอปอล์ฆาตกรแว่นได้นำทองรูปพรรณที่ชิงมาไปขาย ซึ่งร้านทองทั้ง 2 ร้านนี้ ถือว่ามีส่วนสำคัญมากในการแจ้งเบาะแสให้ตำรวจตามไปจับกุมตัวฆาตกรได้อย่างรวดเร็ว 

 

ร้านที่ 1 คือ ร้านทอง “ย่งฮั่วล้ง” ร้านนี้เป็นร้านทองที่ตำรวจได้ภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นโฉมหน้านายโอปอล์ฆาตกรเป็นภาพแรก และนำไปสู่การตามจับกุมได้อย่างรวดเร็ว 

 

เราได้พูดคุยกับนางสาวนภาพรรณ หลานสาวของเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นผู้หญิงในภาพกล้องวงจรปิดที่เป็นคนที่ฆาตกรได้ยื่นสร้อยทองมาให้เธอชั่งน้ำหนักเพื่อนำมาขาย ส่วนอีกคน คือ นายสุรเดช เจ้าของร้านทอง ทั้งสองเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นวันที่ 8 กรกฎาคม 

 

ระหว่างที่พวกตนเองกำลังเฝ้าร้านทองอยู่นั้น ได้มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าตาดี ใส่แว่น แต่งตัวเรียบร้อย เดินทางมาเพื่อนำสร้อยทองมาขายให้กับทางร้าน ตอนแรกตนเองก็ไม่ได้เห็นความผิดปกติอะไร จึงได้นำสร้อยทองไปชั่งน้ำหนัก โดยคนร้ายได้บอกกับตนเองว่า “สร้อยทองน้ำหนัก 10 บาทครับ” 

 

จากนั้นตนเองจึงได้ชั่งน้ำหนักทอง พบว่า น้ำหนักถูกต้อง และอยู่ระหว่างการเจรจากับคนร้ายเพื่อทำการซื้อขาย 

 

แต่ในระหว่างที่ทำการซื้อขายอยู่นั้น นายสุรเดช เจ้าของร้าน ได้เข้ามาช่วยดูสร้อยทองด้วย โดยขณะนั้นในกล้องวงจรปิด จะมีเสียงที่นายสุรเดช ได้คำนวนราคาทองรวม 388,800 บาท เกือบจะมีการปิดการขายแล้วด้วยซ้ำ 

 

แต่ทันใดนั้นได้มีโทรศัพท์สายหนึ่งดังแทรกเข้ามา โดยเป็นสายของเจ้าของร้านที่อยู่ในกลุ่มสมาคมค้าทองคำจังหวัดเชียงใหม่ ร้านอยู่ห่างกันประมาณ 5 ช่วงตึก ในสายโทรมาบอกว่า “เฮียๆ มีเด็กหนุ่มใส่แว่น เอาทอง 10 บาท มาขายไหม เดินเข้าร้านเฮียไปใช่หรือเปล่า” ตนเองจึงบอกว่า “ใช่ๆ มีอะไร“ เจ้าของร้านทองอีกร้าน จึงบอกว่า ”เมื่อกี้ มันเอาทองมาขายกับผม มันบอกว่า ทองน้ำหนัก 8 บาท ดูมีพิรุธ เพราะทองผมชั่งแล้วคือ 10 บาท ให้ระวังด้วยนะ มันดูแปลกๆ” 

 

ตนเองเมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว จึงได้คุยปรึกษากัน ก่อนจะปฎิเสธคนร้ายอ้อมๆไปว่า “ผมไม่รับนะ เอาไปขายคืนร้านเดิมดีกว่าครับ” จากนั้น คนร้ายก็ได้เดินออกจากร้านไป 

 

จากนั้นไม่นาน เจ้าของร้านทองร้านแรกที่โทรศัพท์มาบอกตนเอง ก็ได้ประสานกับคนในกลุ่มสมาคมค้าทองคำ และจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ตำรวจได้เดินทางมาถึงที่ร้าน และขอดูภาพกล้องวงจรปิดเด็กหนุ่มแว่นคนนั้น จึงเป็นที่มาว่า ตำรวจได้รู้โฉมหน้าคนร้ายตัวจริงในคดีนี้ และรีบตามจับตัวได้ในที่สุด

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้เดินทางไปพูดคุยกับ พลทหารกฤษฎา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม เวลาประมาณ 4 โมงเย็นวันก่อนที่จะเกิดเหตุ 1 วัน ตนเองระหว่างยืนปฎิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่ป้อมนั้น ได้เห็นนายโอปอล์ฆาตกรเดินถือถุงผ้า 1 ใบสะพายไหล่ มาหาตนเองที่ป้อม พร้อมกับบอกว่า “จะขอวางฝากถุงผ้าไว้ไม่นาน” ตอนแรกตนเองคิดว่า นายโอปอล์ตั้งใจมาออกกำลังกาย เนื่องจากการแต่งตัว ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าผ้าใบ 

 

จากนั้น นายโอปอได้เดินเข้าไปด้านหน้าทางขึ้นเส้นทางสำรวจธรรมชาติ ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมยามของตนเองประมาณ 300 เมตร 

 

เวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที นายโอปอได้เดินกลับมา เนื่องจากประตูทางขึ้นสำรวจเส้นทางธรรมชาติปิดในวันเสาร์-อาทิตย์ และจะเปิดให้บริการ 6 โมงเช้า - 6 โมงเย็นในวันจันทร์ - ศุกร์เท่านั้น 

 

ระหว่างนั้นตนเองยังได้พยายามมองเข้าไปในถุงผ้าว่าใส่อะไรไว้ ปรากฏว่า ในถุงผ้า มีขวดน้ำ 1 ขวด และสเปรย์น้ำหอม 

 

และเมื่อนายโอปอลกลับมาแล้ว เจ้าตัวได้ฉีดสเปรย์น้ำหอมตามตัวด้านหน้าป้อมของตนเองจนหอมฟุ้ง ตอนนั้นที่ตนเองเห็นก็ยอมรับว่าค่อนข้างงงว่า ไปออกกำลังกายมา จะฉีดน้ำหอมทำไม 

 

จากนั้นเมื่อนายโอปอล์ฉีดสเปรย์น้ำหอมเสร็จ ก็ได้เดินเข้าไปเส้นทางสำรวจธรรมชาติอีกรอบที่ 2 แต่รอบที่ 2 ได้เข้าไปอีกประมาณ 30 นาที ก่อนที่เจ้าตัวจะได้กลับมา นำกระเป๋าผ้าที่ฝากไว้เดินออกไป โดยไม่ได้พูดอะไรกับตนเอง

 

เมื่อวานนี้ตนเองพอทราบว่าบุคคลที่ตนเองเห็นคือฆาตกรที่ก่อเหตุฆ่าชิงทองชิงรถ ก็ตกใจมากซึ่งตนเองจำหน้าของนายโอปอได้ เนื่องจากกลิ่นน้ำหอมที่เจ้าตัวฉีดเป็นจุดสังเกตหลัก และตนเองเชื่อว่า ตัวไหนโอปอล์น่าจะมีการซักซ้อมแผน จึงเดินทางมาดูต้นทางก่อนจะก่อเหตุ 1 วัน 

 

ส่วนที่เจ้าตัวมีการฉีดสเปย์น้ำหอมด้วยในวันซ้อมแผนตนเองก็เชื่อว่าอาจจะต้องการทดสอบสเปรย์น้ำหอมหรือไม่ว่าสามารถดับกลิ่นคาวเลือด ดับกลิ่นต่างๆ หลังเสร็จภารกิจหรือไม่ เพราะ ช่วงก่อเหตุ เจ้าตัวต้องนั่งอยู่ในรถที่เต็มไปด้วยกองเลือด

 

เปิดภาพหลักฐานจากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา พบ โน้ตวางแผนและกำหนดเวลาการก่อเหตุมาเป็นอย่างดี อีกทั้งพบประวัติการค้นหาใน Google เกี่ยวกับเรื่องทองทั้งหมด มีการค้นหาเจาะจงร้านทองออโรร่าไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว และเปิดภาพหลักฐานตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพ - โอซากะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหนีไปกบดาน 

 

ล่าสุดวันนี้ทางทีมข่าวได้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติมมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยได้ภาพบันทึกหลักฐานจากโทรศัพท์ของ นายนิพิฐพนธ์ ผู้ต้องหา พบภาพหลักฐาน มัดตัวจากโน้ตในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาเอง มีการวางแผนผ่านโน้ตโทรศัพท์ไว้ล่วงหน้า ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

 

ในโน้ตหน้าหนึ่งระบุว่า “ เดินทาง จากประตูถึงร้านทอง 2 นาที ทำเวลา 1 นาที ออก 2 นาที ขับรถ 10 นาที และขึ้นดอย 20 นาที “ เป็นการกำหนดระยะเวลาที่ใช้ในการก่อเหตุ 

 

และโน้ตอีกหน้านึง ระบุ Plan B ที่ใช้วางแผนในการลงมือ ระบุว่า “

Plan B

4:00 อยู่ที่จุดเซฟ

5:00 ลงมือ

จุดเซฟ > จุดรับ : 25 min

จุดรับ > Target : 20 min (Target เปิด 9.00)

Target 1 min

Target > จุดรับ : 25 min

จุดรับ 1 min

จุดรับ > จุดเซฟ : 18 min

Item 5 - 20 pcs = 100

Item 3 - 20 pcs = 60

Item bar 2 - 10 pcs = 40

Gold 200 B = 8,000,000 ฿

โตเกียว

เครื่องบิน 20,000

ที่พัก 15 วัน 30,000

ค่ากิน 30,000

รวม 15 วัน / เดือน = 80,000

 

จอร์เจีย

เครื่องบิน 20,000

ที่พัก 30 วัน 30,000

ค่ากิน 30,000

รวม 1 ครั้ง = 80,000

ถ้า 1 เดือน ไม่รวมเครื่องบิน = 60,000

ถ้า 1 ปี = 720,000

 

โดยผู้ต้องหาได้กำหนดเส้นทางในการหลบหนี จะเดินทางไปญี่ปุ่น -จอร์เจีย มีการระบุค่าเครื่องบิน ที่พัก ค่ากิน และกำหนดค่าใช้จ่าย ทั้งรายเดือนและรายปี ยิ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาเตรียมการการหลบหนีมาเป็นอย่างดี 

 

ต่อมาทางทีมข่าวช่องแปดยังได้ภาพบันทึกหลักฐาน จากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา ในการค้นหาผ่านบัญชี Google พบว่าคำค้นหาของผู้ต้องหาทั้งหมด เกี่ยวข้องกับร้านทอง เช่น ร้านทองใกล้ฉัน ขายทองที่พม่า ออโรร่าลำพูน น้ำหนักทอง ร้านทองปิดกี่โมง ทองโดนน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ทองโดนฝน ร้านไหนรับซื้อทอง ทอง 5 บาทมีกี่กรัม 


จะเห็นได้ว่านายนิพิฐพนธ์ผู้ต้องหา มีการค้นคว้าหาข้อมูล เกี่ยวกับทองมาก่อนล่วงหน้า รวมทั้งมีการหาข้อมูลเจาะจงร้านทอง ออโรร่า ที่ผู้ต้องหาใช้ในการก่อเหตุ เจาะจงมาแล้วว่าต้องเป็นร้านนี้ จึงเชื่อได้ว่าทุกอย่างผ่าน กระบวนการคิดวิเคราะห์วางแผนและไตร่ตรองมาก่อนล่วงหน้า 

 

นอกจากนี้ทีมข่าวช่องแปดยังได้ภาพบันทึกหลักฐาน จากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา เกี่ยวกับเส้นทางการหลบหนี โดยทีมข่าวได้ภาพตั๋วเครื่องบิน ที่ผู้ต้องหาจะเดินทางไป กำหนดการบินวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 โดยมีการซื้อตั๋ว เชียงใหม่- กรุงเทพ เพื่อไปลงสนามบินสุวรรณภูมิ เที่ยวบิน 21:10 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 22:30 น. 

 

จากนั้นมีการจองเที่ยวบินต่อ พบตั๋วเครื่องบินกรุงเทพ - โอซากะ เวลา 01.15 น. ถึงโอซาก้าประเทศ ญี่ปุ่น เวลา 09.20 น. โดยใช้ระยะเวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง

 

 

ทีมข่าวเรายังได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ญาณพล พัฒนชัย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่ปิง เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีวันนี้ว่า วันนี้ตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งคดีนี้ สภ.แม่ปิง และ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ รับผิดชอบร่วมกัน โดย สภ.แม่ปิงเป็นสถานีหลักในการสรุปข้อกล่าวหาและฝากขัง

 

ซึ่งเช้าวันนี้ก่อนที่จะเจ้าหน้าที่จะนำตัวไปฝากขัง ได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจร่างกายก่อน เพื่อหา DNA ของผู้ตายในตัวผู้ก่อเหตุ ว่าระหว่างที่ก่อเหตุมี DNA ของผู้ตายปะปนในตัวผู้ก่อเหตุหรือไม่ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี

 

และเมื่อฝากขังไปแล้ว จะประสานทางเรือนจำให้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจสุขภาพจิตต่อไปด้วย โดยตลอด 2 วันที่ผู้ต้องหาอยู่ในห้องขัง ผู้ต้องหามีอาการอ่อนเพลีย เพราะถูกสอบปากคำและพาไปทำแผนฯ โดยใช้เวลาพอสมควร และทางโรงพักได้ออกคำสั่งเพิ่มเติมให้มีสายตรวจมาตรวจสอบห้องควบคุมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองของผู้ต้องหา

 

ส่วนเรื่องอาวุธปืน พ่อและแม่ของผู้ต้องหาได้นำสำเนาใบ ป.3 มายื่นให้กับเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นการขอซื้อ แต่จากการตรวจเช็กยังไม่ได้อนุญาตขึ้นทะเบียนกับใคร ซึ่งเป็นการซื้อที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังไม่มีการโอนเป็นชื่อใคร 

 

ส่วนเรื่องทองคำตอนนี้ยังหาเจอไม่ครบ ตอนนี้ยังขาดอีก 6-7 เส้น ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการค้นหา โดยได้ทำการรื้อค้นจุดต่างๆ ของบ้าน ที่คิดว่าจะสามารถนำไปหลบซ่อนได้ทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่พบ

 

นอกจากกนี้ จากการตรวจสอบ พบว่าเงินสดที่ผู้ต้องหาได้นำทองไปขายรวมเงินกว่า 3 แสนบาท และได้แบ่งเงินส่วนหนึ่งจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อหลบหนีไปต่างประเทศ และอีกส่วนนึงโอนเงินให้กับพ่อแม่ คนละ 50,000 บาท แต่จากการสอบถามพ่อแม่บอกไม่ทราบว่า เงินที่ผู้ต้องหาโอนมาให้เป็นเงินที่ได้มาด้วยวิธีใด เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดเงินไว้ก่อนแล้ว

 

และประเด็นเรื่องแพลนที่ผู้ต้องหามีการบันทึกไว้ในมือถือ มีแพลนการก่อเหตุแค่แพลนเดียว ไม่ได้มีแพลน 2 เป็นการระบุขั้นตามแผน 1,2,3,4 เท่านั้น

ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้ตรวจสอบรถเก๋งยี่ห้อ โตโยต้า Yaris สีเทา ซึ่งเป็นของผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นรถที่นายโอปอใช้ขับไปก่อเหตุชิงรถของผู้ตาย และขับกลับหลังจากก่อเหตุเสร็จแล้วเพื่อตระเวนนำทองไปขาย โดยพบว่ารถคันดังกล่าวตำรวจได้ตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานในคดี จอดทิ้งไว้ที่ด้านหน้า สภ. แม่ปิง จากการตรวจสอบ ป้าย พรบ.รถยนต์ รถคันดังกล่าวเป็นรถที่เป็นชื่อของ นายโอปอล์เอง ไม่ได้ไปรถเช่าหรือเปลี่ยนป้ายทะเบียนมา 

 

ส่วนภายในตัวรถ จากการสังเกตของทีมข่าวพบว่า บริเวณที่รองพื้นฝั่งคนขับ พบร่องรอยโคลนจำนวนหนึ่งเลอะอยู่ ซึ่งสีโคลนที่พบ เป็นสีเดียวกับดินบริเวณเส้นทางสำรวจธรรมชาติที่เจ้าตัวใช้หลบหนีและก่อเหตุ 

 

นอกจากนี้ทีมข่าวยังพบขวดน้ำ กระดาษทิชชู หมอนแมว อยู่ภายในรถ ส่วนด้านหลังของรถมีการติดป้าย ว่า มือใหม่หัดขับ 

 

เปิดคลิปเสียงสุดท้ายร้อยโทสุเทพ เพื่อนร่วมอาชีพช็อกถูกฆ่าชิงรถ 

ล่าสุดทีมข่าวได้ตามไปพบกับคุณประวิทย์ เพื่อนสนิทของว่าที่ร้อยโทสุเทพผู้ตาย โดยคุณวิทย์เป็นเพื่อนสนิทที่วิ่งบริการรถรับ-ส่งกลุ่มเดียวกับว่าที่ร้อยโทสุเทพ โดยคุณประวิทย์ ได้บอกกับทีมข่าวว่า ตนเองรู้สึกตกใจและเสียใจมากที่เพื่อนของตนเองถูกคนร้ายลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยมและนำศพทิ้งเหวแบบนั้น ซึ่งที่ผ่านมาตัวว่าที่ร้อยโทสุเทพถือว่าเป็นลูกที่ขยันทำงาน หาเงินเพื่อดูแลแม่วัย 80 ที่ป่วย ทุกวันเพื่อนจะตื่นตั้งแต่ ตี 5 มาวิ่งรถรับส่ง 

 

นอกจากนี้เจ้าตัวยังได้ส่งคลิปเสียงตัวที่ 1 เป็นคลิปเสียงก่อนที่ว่าที่ร้อยโทจะถูกฆ่าเสียชีวิต โดยในวันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 16.24 น. ก่อนวันถูกฆ่า 1 วัน เป็นคลิปเสียงที่กลุ่มเพื่อนที่วิ่งรถด้วยกันกับว่าที่ร้อยโทสุเทพได้สอบถามกันเรื่องงานของแต่ละคน ว่า ใครได้รับลูกค้าแล้วบ้าง โดยจะได้ยินเสียงว่าที่ร้อยโทสุเทพ บอกว่า “ตัวเองได้รับลูกค้าแล้ว ตื่นตี 5 ก็มีลูกค้าเรียกเลย ไปส่งสนามบิน ได้เงิน 300 บาท” 

 

จากนั้นได้มีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มได้ พูดหยอกล้อกับว่าที่ร้อยโทสุเทพว่า “ทำงานขนาดนี้หนังสือยังหาจะเรียนทันไหม” ซึ่งเจ้าตัวได้ตอบไปว่า “จะขึ้นปี 5 แล้วพี่ ทันอยู่ สบายๆ ถ้าได้งานก็ลาก่อนดิ เรียนเมื่อไหร่ก็เรียนได้ โดดก็ได้ ไม่สำคัญเท่าไหร่ เงินสำคัญกว่า” ซึ่งคำพูดนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวมีความตั้งใจขยันทำงานเพื่อหาเงินไปเลี้ยงดูแม่ที่ป่วยเป็นอย่างมาก

 

ต่อมาคลิปเสียงที่ 2 เป็นคลิปเสียงของช่วงตี 5 ของวันที่ 8 กรกฎาคมวันเกิดเหตุ ในคลิปเสียงจะยังคงได้ยินเสียงของว่าร้อยโทสุเทพ พูดคุยกับเพื่อนในกลุ่มอยู่ ระยะเวลาประมาณ 5 วินาที แต่เสียงขาดๆหายๆ ไม่ค่อยชัดเจน ซึ่งเพื่อนในกลุ่มจะรู้กันดีว่า ว่าที่ร้อยโทสุเทพจะเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุด ตี 5 และส่งคลิปเสียงมาเพื่อปลุกเพื่อนๆ ให้เริ่มทำงานคนแรกๆ นั่นแสดงว่าในขณะนั้นเจ้าตัวยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นคลิปเสียงสุดท้ายก่อนจะถูกผู้ก่อเหตุเรียกรถและไปฆ่าทิ้งในเวลา 6 โมงเช้า 

 

ส่วนคลิปที่ 3 , 4 และคลิป 5 เป็นคลิป เป็นคลิปเสียงในวันเกิดเหตุซึ่งช่วงแรกทุกคนกำลังตกใจว่ารถของว่าที่ร้อยโทตกเป็นผู้ต้องสงสัยโจรชิงทอง ซึ่งทุกคนในกลุ่มพยายามถามถึงเลขทะเบียนรถของว่าที่ร้อยโท บ่เป็นรถคันเดียวกับที่เป็นข่าวหรือไม่ และกำลังสับสนว่าทำไมว่าที่ร้อยโทสุเทพ ถึงตัดสินตัดสินใจก่อเหตุชิงทองแบบนั้น ซึ่งตอนนั้นทุกคนยังไม่รู้ว่าว่าที่ร้อยโทรสุเทพถูกชิงรถและฆ่าตายไปแล้ว คลิปนี้มีการพูดคุยกันเวลา 15.35 น. 

 

จนกระทั่งเวลา 18.00 น. ตำรวจได้ตามไปเจอรถของว่าที่ร้อยโทสุเทพ จนทิ้งบนดอยแต่ไม่พบตัวใคร แต่พบคราบเลือดภายในรถซึ่งทุกคน กำลังเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัว และมีการถามไถ่กันต่อ ว่า เจ้าตัวจะเป็นคนร้ายในคดี หรือ ถูกคนร้ายชิงรถและฆ่าทิ้ง 

 

และสุดท้ายคลิป 5 + 6 เวลา 20.33 น. หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับตัวคนร้ายตัวจริงได้และรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้ว ว่าที่ร้อยโทรสุเทพ ถูกฆ่าชิงรถไปก่อเหตุปล้นทอง ทุกคนในกลุ่มเพิ่งรู้และต่างร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทุกคนกันว่าว่าที่ร้อยโทสุเทพเป็นคนดีมาก 

 

และคลิป 6 + 7ทุกคนต่างร้องไห้ และพูดไว้อาลัยกันในกลุ่ม พร้อมสาปแช่งคนก่อเหตุ “ไอ้คนก่อเหตุ มันชั่วจริงๆ ถ้าจำได้ มันสมควรตาย” 

 

ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ตนเองเสียใจมากที่เกิดเกิดขึ้นกับเพื่อนของตนเอง และตนเองอยากให้ผู้ก่อเหตุได้รับโทษให้ถึงที่สุด

 

ด้านนางแก้วรุ้ง (นามสมมติ) อดีตภรรยาผู้เสียชีวิต เปิดเผยกับทางทีมข่าวว่า ตนอยู่กินกับนายสุเทพมาประมาณ เกือบ 10 ปีแล้ว มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน อายุ 15 ปีย่างเข้า 16 เจอกันที่ทำงานโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง โดยนายสุเทพนั้นเป็นคนดีมาก รักครอบครัว ร่าเริงสนุกสนาน ตลอดระยะเวลาที่อยู่กินกันมา ดูแลตนและลูกเป็นอย่างดี ทำงานหาเงินมาได้ก็จะซัพพอร์ตครอบครัวตลอด 

 

นายสุเทพเป็นคนขยันมาก พัฒนาตัวเองและหาอาชีพเสริมทำเพื่อหารายได้ ทั้งรับซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือขายอาหารเสริม หรือแม้แต่ใครใช้ให้ไปทำอะไร ก็จะทำตลอด จนกระทั่งช่วงประมาณเกือบห้าปีมานี้ ป้าของนายสุเทพป่วยติดเตียงหนัก รวมทั้งแม่แท้ๆ ก็อายุมากแล้ว ไม่มีใครดูแล นายสุเทพจึงต้องกลับมาอยู่เชียงใหม่เพื่อดูแลครอบครัว หลังจากนั้นตนกับนายสุเทพจึงแยกกันอยู่ ค่อยๆ ห่างกัน จนเลิกรากันไป 

 

โดยขณะที่นายสุเทพกลับมาอยู่บ้านที่เชียงใหม่ ก็ไปมาหาสู่ลูกชายมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ขับรถไปทำงานแถวละแวกใกล้เคียง จ.ระยอง ก็จะนัดเจอกับลูกชายเกือบทุกครั้ง อีกทั้งยังคอยส่งเงินมาให้ support ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าอยู่ค่ากิน ค่าเทอมค่าหนังสือเรียนและเสื้อผ้า นายสุเทพก็ไม่เคยเกี่ยงเลย ตั้งแต่เลิกกันมา ตนเคยตกลงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกกับนายสุเทพ ว่าขอเดือนละ 2000 บาท แม้จะมีบางครั้งที่นายสุเทพค่าใช้จ่ายไม่เพียงพอ แต่ก็พยายามหาเงินมาซัพพอร์ตส่งเสียเลี้ยงลูกจนได้ 

 

จนกระทั่งตนมาทราบเรื่องการเสียชีวิตของอดีตสามี จึงรีบพาลูกเดินทางมาเคารพศพพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ตอนแรกที่มีข่าวออกไป ว่านายสุเทพคือโจรที่เข้าไปชิงทรัพย์ร้านทอง ตอนนั้นตนไม่เชื่อเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอดระยะเวลาที่อยู่กินกับนายสุเทพมาเกือบ 10 ปี นายสุเทพไม่เคยมีนิสัยใจคอแบบนั้น แม้จะยากเข็ญเพียงใด แต่นายสุเทพก็ไม่เคยทำ ถ้าจะทำแบบนี้ ก็คงทำไปตั้งนานแล้ว แต่สุดท้ายกลับมาทราบว่า นายสุเทพไม่ใช่โจรที่ไปชิงทรัพย์ร้านทอง แต่กลับโดนฆาตกรรม ก็รู้สึกช็อคและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนดีๆ ไม่ควรมาเจอเรื่องแบบนี้ วันนี้จึงพาทางด้านลูกชายมาเคารพศพพ่อเป็นครั้งสุดท้าย 

 

โดยขณะนี้ลูกชายยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพ่อ เพราะตนไม่ได้บอก บอกแค่ว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ตนไม่อยากให้ลูกชายรู้ว่าพ่อโดนฆาตกรรม เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่โหดร้าย อีกทั้งลูกชายไม่ได้ถาม เพราะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ก็คงต้องปล่อยไป ตามความเข้าใจของลูก 

 

วันนี้อยากจะฝากบอกนายสุเทพว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว ตนจะดูแลลูกชายให้ดีที่สุด และผลของการกระทำของนายสุเทพ ตลอดระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ สร้างแต่คุณงามความดี ตกทอดมาถึงลูกชายอย่างแน่นอน ลูกชายคงได้รับโอกาสที่ดี และเป็นที่รักของทุกคนรอบข้างเหมือนนายสุเทพอย่างแน่นอน

 

ล่าสุดวันนี้ทางทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังวัดช่อแลพระงาม ในพื้นที่หมู่บ้านช่อแล ตำบลช่อแล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของนายสุเทพผู้เสียชีวิต บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ทั้งญาติและเพื่อนพ้องต่างช่วยกันจัดเตรียมงาน อย่างดีที่สุด อีกทั้งช่วยกันจัดป้ายไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิต รวมภาพถ่ายขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กิจกรรม และอาสาสมัครต่างๆที่ผู้เสียชีวิตได้บำเพ็ญไว้ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยวันนี้มีเพื่อนฝูง และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆมากมาย เดินทางเข้ามาร่วมไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต พร้อมพวงหรีดไว้อาลัย อีกทั้งวันนี้ทางด้านอดีตภรรยา และลูกชายวัย 16 ปี ที่เดินทางมาจากจังหวัดระยอง ก็มาถึงวัดช่อแลเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของลูกชายและ อดีตภรรยาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ยังคงทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น 

 

โดยวันนี้ช่วงเวลา 11:00 น. เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร สาธารณสุข หรือ อสม. อำเภอแม่แตง และกรมสนับสนุนการบริการสุขภาพ อำเภอแม่แตงจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่นายสุเทพ เข้าร่วมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ อสม.ด้วย ตลอดระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ ทำงานอาสาช่วยเหลือคนในหมู่บ้านอย่างเต็มที่มาโดยตลอด เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร สาธารณสุข หรือ อสม. จึงเดินทางนำพวงหรีดมาร่วมไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต อีกทั้งมีการพูดคุย กับครอบครัวของผู้เสียชีวิตอีกด้วย

 

หลังจากนั้นช่วงเวลาประมาณ 13:00 น. ทางด้าน นายชัยณรงค์ นายอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เดินทางมามอบพวงหรีด และพูดคุยแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต 

 

โดยบรรยากาศในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเจ้าหน้าที่อาสา รวมทั้งบรรดาญาติ และเพื่อนพ้องของผู้เสียชีวิต ต่างเดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจ เป็นจำนวนมาก ยิ่งแสดงให้เห็นว่านายสุเทพเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคน ทุกคนจึงเดินทางมาแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

แกะรอย "โอปอล์" ฆาตกรชิงทอง เปิดจุดลับ! คาดใช้ซุกทองรอพ้นคุก