ปิดคดี! สั่งฟ้อง 8 ตำรวจอรัญฯ ม.157-พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เซ่นคดี "ลุงเปี๊ยก"

นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ และนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันประชุมพิจารณาสรุปความเห็นทางคดี คดีลุงเปี๊ยก ที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ บังคับทรมานให้ นายปัญญา คงแสนคำ หรือ "ลุงเปี๊ยก" รับสารภาพในคดีที่ "ป้าบัวผัน" ถูกกลุ่มเยาวชารุมทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งเป็นการถูกตำรวจดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบตามกฏหมาย

นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า ครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะส่งสำนวนคดีให้องค์คณะอัยการ ที่อัยการสูงสุด แต่งตั้งมาแต่แรก พิจารณากลั่นกรอง เพื่อจะส่งสำนวนให้อธิบดึอัยการ สำนักงานปราบปรามการทุจริตภาค 2 พิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยมีความเห็นว่าตำรวจทั้ง 8 นาย ที่เป็นผู้ต้องหาในคดีนี้มีมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และผิด พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย พ.ศ.2565

โดย พฤติการณ์ที่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น เนื่องจากชุดจับกลุ่มได้มีการนำตัวลุงเปี๊ยกมาโดยไม่ได้แจ้งการจับกุมให้กับพนักงานอัยการจังหวัดสระแก้ว และฝ่ายปกครองในพื้นที่ตั้งแต่แรก โดยอ้างว่าเป็นการเชิญตัวมาให้ข้อมูล แต่หลักฐานจากภาพวงจรปิดและการนำเสนอข่าวของสื่อนั้นขัดแย้งกับคำให้การของผู้ต้องหา เนื่องจากมีการใส่กุญแจมือลุงเปี๊ยก

ส่วนพฤติการณ์ที่เข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 6 คือมีการใช้ถุงดำคลุมหัว และเปิดแอร์ให้หนางว เพื่อให้ได้มาซึ่งคำรับสารภาพของลุงเปี๊ยก และมาตรา 7 การจับกุมจะต้องส่งให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน แต่กรณีนี้ไม่ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยส่งให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้สอบสวน แต่กลับนำตัวไปที่ห้องสืบสวน ซึ่งผิดหลักขั้นตอน

สำหรับในคดี พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดนั้น พนักงานสอบสวนไม่ต้องส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลความผิดแต่อย่างใด เพียงแค่แจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบเท่านั้น ตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 31

โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 คน ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยมีข้อกล่าวอ้างแตกต่างกันไปแต่ไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียดเพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของผู้ต้องหา โดยยืนยันว่าการสอบสวนเป็นไปด้วยความเป็นกลาง และเป็นธรรม เพราะว่าเปิดโอกาส ให้ฝ่ายผู้ต้องหายื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อชี้แจง ซึ่งทางคณะได้มีการรวบรวมและตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมด ซึ่งมีพยานบุคคลกว่า 40 ปาก และพยานวัตถุอีกหลายอย่าง อีกทั้งจากการสอบปากคำลุงเปี๊ยกซึ่งล่าสุดพบว่าลุงเปี๊ยก มีสติสัมปชัญญะปกติ สามารถให้การได้ จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ มีสภาพร่างกายที่ดี มีสภาพจิตใจที่ดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้น ซึ่งแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่ได้มีอาการแอลกอฮอล์ลิซึ่มหรือติดสุราแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากที่องค์คณะเห็นชอบกับสำนวนการสอบสวนดังกล่าวแล้วก็จะส่งสำนวนให้กับสำนักงานอัยการปราบปรา การทุจริตภาค 2 ในปลายเดือนกรกฎาคมนี้

แรกเริ่มเดิมทีกรณีดังกล่าว เกิดจากตำรวจ สภ.อรัญประเทศ บังคับทรมานให้นายปัญญา หรือ "ลุงเปี๊ยก" รับสารภาพในคดีที่ "ป้าบัวผัน" ถูกกลุ่มเยาวชารุมทำร้ายจนเสียชีวิต และต่อมาผลการตรวจสอบพบว่ามีตำรวจ 8 นาย สภ.อรัญประเทศ

เข้าข่ายกระทำความผิดวินัยตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และ 1 ใน 2 นายนี้น่าเชื่อว่าเข้าข่ายกระทำผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งตำรวจภูธรภาค 2 จะส่งสำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้พนักงานสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนสอบสวนและรวบรวบพยานหลักฐานเพิ่มเติม

ซึ่งต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับคดีลุงเปี๊ยกเป็นคดีพิเศษที่ 9/2567 เนื่องจากเข้าข่าย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ในมาตรา 31 และได้ร่วมทำการสอบสวนกับอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการปกครอง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส