ศาลฎีกานักการเมือง ยกฟ้อง "กิตติรัตน์" อดีตรมว.พาณิชย์ พ้นผิดทุจริตระบายข้าวให้รัฐบาลอินโดฯ เจ้าตัวขอบคุณศาลที่ยกฟ้อง ยันทำงานต่อให้รัฐบาล

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.17/1565 หมายเลขแดงที่ อม.22/2567 ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ฟ้อง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.พาณิชย์ สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 12 มกราคม 2555 จำเลยดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแล โดยทั่วไปซึ่งกิจการขององค์การคลังสินค้า และมีอำนาจเรียกประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ กรรมการ ผู้อำนวยการ ตัวแทนขององค์การคลังสินค้า (อคส.) หรือบุคคลใดในองค์การคลังสินค้ามาชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็น หรือให้ทำรายงานอื่นก็ได้ รวมถึงมีหน้าที่ยับยั้งหรือแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์การคลังสินค้า เมื่อจำเลยทราบ เรื่องที่สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทำหนังสือ 2 ฉบับ ถึงจำเลย รวมทั้งเข้าพบจำเลยเพื่อขอให้ตรวจสอบว่า การประมูลให้เอกชน ดำเนินการปรับปรุงข้าวเพื่อส่งมอบให้แก่องค์การสำรองอาหารแห่งประเทศอินโดนีเซีย (BULOG) โดยบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ได้รับคัดเลือกการเสนอราคาและทำสัญญาซื้อขายข้าวขาวกับองค์การคลังสินค้าเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลย ไม่ตรวจสอบและไม่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล ไม่สั่งการใดๆ หรือเรียกให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง หรือให้ทำรายงานแสดงความคิดเห็น ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าวเป็นผู้ส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่จัดให้ มีการแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น และไม่มีการประกาศหรือมีหนังสือเชิญชวนผู้ที่สนใจเป็นการทั่วไป อันเป็นการ หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ขัดต่อกฎหมายและระเบียบขององค์การคลังสินค้าว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้า ปกติ พ.ศ.2541 แต่จำเลยกลับชี้แจงยืนยันว่า BULOG ส่งรายชื่อผู้ส่งออกที่ประเทศอินโดนีเซียเชื่อถือซึ่งมีบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด มาให้องค์การคลังสินค้าพิจารณา ซึ่งไม่เป็นความจริง ต่อมาบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ไม่ปฏิบัติตามสัญญา เป็นผลให้ประเทศอินโดนีเซียไม่ทำการค้าขายข้าวกับองค์การคลังสินค้าอีกและเสียหายต่อความสัมพันธ์ในการค้าขายข้าวระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซีย

การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การคลังสินค้า ประชาชน ผู้หนึ่งผู้ใด และประเทศชาติอย่างร้ายแรง ขอให้ลงโทษตาม พรป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

จำเลยให้การปฏิเสธ และวันนี้นายกิตติรัตน์ และทีมทนายความเดินทางมาฟังคำพิพากษาตั้งแต่ช่วงเช้า

องค์คณะผู้พิพากษา เห็นว่า จำเลยดำรงตำแหน่งรมว.พาณิชย์จึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเจ้าพนักงานของรัฐตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4 , 198 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ทั้งมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 16 (1)

ส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนได้ความตามข้อมูล ในระบบสารบรรณ สำนักงานรัฐมนตรี ว่ามีการส่งหนังสือของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ที่ 693/2554 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2554 และที่ 700/2554 ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2554 ซึ่งอ้างเกี่ยวกับการประมูลขายข้าวขององค์การ คลังสินค้าเพื่อส่งมอบต่อให้แก่ BULOG โดยไม่ชอบ ไปยัง นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ (ขณะนั้น) เพื่อพิจารณา ทั้งได้ความว่าจำเลยเดินทางไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2554 และตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2554 เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงว่า จำเลยในฐานะ รมว.พาณิชย์ ได้มีคำสั่งมอบหมายอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับองค์การคลังสินค้า ให้ นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ เป็นผู้ปฏิบัติราชการแทน เมื่อสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยมีหนังสือเกี่ยวกับการดำเนินการขององค์การคลังสินค้าดังกล่าว จึงมีการเสนอเรื่องให้นายภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นผู้พิจารณา จึงรับฟังได้ว่า ไม่มีการเสนอหนังสือทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ให้จำเลยพิจารณาแต่อย่างใด

ส่วนการที่ตัวแทนของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเข้าพบจำเลยเพื่อขอความเป็นธรรมและให้ทบทวน เรื่องการส่งออกข้าวนั้น ได้ความจากที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เบิกความยืนยันว่า จำเลยชี้แจงต่อสมาคมว่าได้สอบถามไปยังนายภูมิแล้วได้รับแจ้งจากนายภูมิ ว่าได้สอบถามองค์การคลังสินค้าแล้ว องค์การคลังสินค้าแจ้งว่าได้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายแล้ว ทั้งตามรายงานการประชุมคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ครั้งที่ 14/2554 ลงวันที่ 22 ธันวาคม 2554 วาระที่ 4 เรื่องเพื่อพิจารณา 4.6 ข้อ 2) ระบุว่า...องค์การคลังสินค้าได้เสนอเรื่องการขายข้าวตาม ข้อตกลงระหว่างองค์การคลังสินค้ากับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ต่อนายภูมิในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าว ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบการเจรจาเพื่อขายข้าว พิจารณามอบหมายให้องค์การคลังสินค้าแก้ไขบางประเด็นกับฝ่ายอินโดนีเซียบนพื้นฐานสัญญาเดิม เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติของฝ่ายไทยมากขึ้น ซึ่งนายภูมิ ได้ให้ความเห็นชอบในการดำเนินการดังกล่าว อีกทั้งตามหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 6 ธันวาคม 2554 เสนอข่าวว่า นายภูมิ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่องค์การคลังสินค้าเปิดประมูลจัดหาเอกชนเพื่อปรับปรุงสภาพข้าวและส่งมอบข้าวขาว 15% ให้รัฐบาลอินโดนีเซีย 3 แสนตัน ว่า เป็นการทำตามขั้นตอนปกติ... และตามบันทึกสำนักบริหารกลาง ที่ อคส. 1020/1115 ลงวันที่22 ธันวาคม 2554 เรื่อง การซื้อขายข้าวระหว่างองค์การคลังสินค้า กับ BULOG ของรัฐบาล อินโดนีเซีย... ระบุว่า นายภูมิ รมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบการเจรจาซื้อขายข้าว... กับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้ให้ความเห็นชอบมอบหมายให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้ดำเนินการเจรจาซื้อขายข้าวกับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย... เช่นนี้ จึงฟังได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับซื้อขายข้าว เรื่องการส่งมอบข้าวตามสัญญาซื้อขายระหว่างองค์การคลังสินค้ากับ BULOG ของรัฐบาลอินโดนีเซีย เรื่องการซื้อขายข้าวระหว่างองค์การคลังสินค้ากับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด นายภูมิได้ทราบเรื่องและจำเลยได้ดำเนินการตรวจสอบควบคุมดูแลโดยผ่านนายภูมิ ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลองค์การคลังสินค้าโดยชอบแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายกิติรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ก็ต้องขอบคุณทีมทนาย ความหลังจากนี้ก็จะทำหน้าที่ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่ ซึ่งก่อนมาฟังคำพิพากษาก็มุ่งมั่นทำงานมาตลอด พรุ่งนี้ก็จะไปที่ จ.ระยอง อย่างคดีนี้ก็ไม่ได้ปรากฏเป็นข่าวดังว่าตนมีคดีความ ตนก็ไม่ได้คิดว่าหลังคำพิพากษาในวันนี้จะต้องไปรับตำแหน่งอะไรต่อ หน้าที่ตนคือต้อง ทำงานให้กับรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน

ด้าน นายอเนก คำชุ่ม ทนายความ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเอกสารที่ชัดเจนว่าในการซื้อขายข้าวจาก BULOG มีการผ่านรายงานการประชุมของคณะทำงาน อคส.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กลั่นกรอง มีทั้งผู้แทนจากกระทรวงพานิชย์ กระทรวงเกษตร และมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน ก็ได้มีการพิจารณาสัญญาการซื้อขายข้าวส่งมอบให้กับ BULOG เป็นไปตามขั้นตอนระเบียบของ อคส.ทุกอย่าง และข้อมูลที่นายกิตติรัตน์ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวเป็นข้อมูลที่มีอยู่จริงปรากฏอยู่ในรายงานของคณะกรรมการ อคส.ทุกอย่าง ก็ยืนยันได้ว่านายกิตติรัตน์ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และสร้างความเสียหายเกิดขึ้น ศาลจึงยกฟ้อง