เมื่อเวลา 19.30 น. ของวันที่ 11 กรกฎาคม 2567 ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันบริเวณหน้าตึก 102 ของอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ตำบลบางเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยเหตุการณ์นี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ นายธวัชชัย (สามี) อายุ 55 ปี มีแผลแตกที่ศีรษะ ดั้งจมูก หางตาซ้าย ต้องเย็บรวมกว่า 4 เข็ม ส่วนอีกรายคือนางสาวสุทิน (ภรรยา) อายุ 59 ปี มีแผลถูกข่วนที่แก้มซ้าย ซึ่งทั้งคู่พักอาศัยอยู่ชั้น 5 ส่วนผู้ก่อเหตุคือ นายธีรภัทร อายุ 49 ปี พักอยู่ชั้น 4 ของตึกดังกล่าว
ล่าสุด (12 ก.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าตึกดังกล่าว สามารถบันทึกภาพขณะเกิดเหตุเอาไว้ได้ วันที่ 11 กรกฎาคม เวลา 19.32 น. จะเห็นว่านายธวัชชัย กับ นางสาวสุทิน (กลุ่มคนเจ็บ) ได้มีการยืนพูดคุยอยู่กับนายธีรภัทร และ นางสาวเมย์ (กลุ่มคนก่อเหตุ) โดยที่ทั้งสองฝ่ายนั้นได้มีปากเสียงกันยกใหญ่ ใจความก็คงเป็นเรื่องของการทำกับข้าวเสียงดังรบกวนเวลาพักผ่อน ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็แข่งกันพูดแบบไม่มีใครยอมใคร
จนบางช่วงบางตอนก็แทบฟังไม่ออกว่าแต่ละละคนพูดอะไรบ้าง ซึ่งเหตุการณ์ก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งการเดินประชันหน้า ยกนิ้วชี้หน้าด่า จนในเวลา 19.34 น. นายธีรภัทรก็ได้ต่อยเข้าหน้าของนายธวัชชัย จากนั้นก็เข้าไปต่อยนางสาวสุทิน ทำเอาสองสามีภรรยาลงไปนอนกองขาชี้ฟ้าอยู่กับพื้นถนน ซึ่งนางสาวเมย์ (แฟนคนก่อเหตุ) ก็ได้เข้ามาเสริมโดยมีการเข้าไปกระชากศีรษะของนางสาวสุทินแล้วใช้เท้ากระทืบซ้ำ จนชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต้องรีบเข้ามาแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แต่ทั้งสองก็ยังไม่จบ ยังคงมีแรงด่ากันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลา 20.27 น. รถของเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ได้เข้ามาในที่เกิดเหตุเพื่อปฐมพยาบาลนายธวัยชัยและนางสาวสุทิน ก่อนจะนำส่งโรงพยาบาลต่อไป
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุและได้เข้าไปพูดคุยกับนายธีรภัทร (ผู้ก่อเหตุ) ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ยอมรับว่าเป็นคนลงมือทำร้ายสองสามีภรรยาผู้บาดเจ็บจริง ส่วนสาเหตุก็เกิดจากความคับแค้นใจที่อดทนมานานกว่า 10 ปีแล้ว เนื่องจากตนนั้นอาศัยอยู่ชั้น 4 ส่วนเพื่อนบ้านคู่กรณีนั้นอาศัยอยู่ชั้น 5 (ห้องตรงกัน) ที่ผ่านมาเพื่อนบ้านนั้นก็ชอบทำเสียงดังรบกวนเวลาหลับนอนของตน ทั้งเสียงทะเลาะกัน ทั้งเสียงทำกับข้าว
อย่างเหตุการณ์ล่าสุดวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ประมาณ 22.00 น. เพื่อนบ้านชั้น 5 ก็ได้ลุกขึ้นมาสับไก่ทำกับข้าว ในตอนนั้นตนจึงตะโกนขึ้นไปบอกว่า “จะทำอะไรก็เกรงใจกันหน่อย” แต่เพื่อนบ้านชั้น 5 ก็สวนกลับลงมาว่า “ไอ้คนไม่มีน้ำใจ” แล้วอีกฝ่ายก็เดินลงมาเคาะประตูหน้าห้องเพื่อขอเคลียร์ แต่ตนได้บอกไปว่าค่อยคุยกันตอนเช้าแทนเพราะตอนนั้นดึกมากแล้ว แต่พอเช้าวันต่อมาตนก็ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า เมื่อกลับถึงบ้านช่วงประมาณทุ่มหนึ่ง ภรรยาของตนก็บอกว่าเพื่อนบ้านมาเคาะประตูขอคุยตั้งแต่เช้า ตนได้ยินดังนั้นจึงเรียกให้เพื่อนบ้านชั้น 5 ลงมาพูดคุยกันที่ลานจอดรถ คุยกันไปคุยกันมาก็มีหนึ่งคำพูดที่ทำให้ตนรู้สึกโกรธมาก โดยอีกฝ่ายมีการพูดว่า “ถ้าอยากอยู่เงียบ ๆ ก็ให้ไปอยู่วัดอยู่ป่าช้า” ตนก็เลยจัดให้อย่างสาสม ตนได้ต่อยอีกฝ่ายไปทันที ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำทีเผลอเพราะอีกฝ่ายก็มีการสวนต่อยกลับมาเหมือนกัน ในตอนนั้นยอมรับว่ารู้สึกโกรธมาก หากวันนั้นมีมีดมีปืนในมือก็คงต้องมีใครตายกันบ้าง
โดยเมื่อวานนี้ทั้งตนและคู่กรณีก็มีการไปเจรจาตกลงกันที่โรงพักแล้ว ยอมรับว่าตอนที่ตนต่อยอีกฝ่ายตนได้ถือกุญแจรถไว้ในมือ แต่ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้อาวุธเพียงแค่กุญแจมันติดมือมาก็เท่านั้น ซึ่งตอนแรกเพื่อนบ้านได้เรียกค่าเสียหาย 20,000 บาท แต่ตนนั้นไม่มีจึงได้เจรจาลดเหลือ 4,000 บาท แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
นักข่าวก็ถามต่อว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร จะพูดคุยเคลียร์ใจกันไหม หรือต้องมีใครเป็นฝ่ายย้ายออกจากห้องพัก ด้านนายธีรภัทรก็ขอยืนยันว่า ตนจะไม่เป็นฝ่ายย้ายออกและตนก็ไม่คิดว่าจะเคลียร์กันได้ เชื่อว่าหลังจากนี้ปัญหาเดิม ๆ ก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม ส่วนตัวตนนั้นไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย แต่อีกฝ่ายนั้นเป็นคนติดสุรา พอเมาก็เป็นเหมือนเดิม มองว่าเป็นสันดานไปแล้วคงปรับเปลี่ยนไม่ได้หรอก
หลังจากที่ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายธีรภัทร (ผู้ก่อเหตุ) ปรากฏว่า สองสามีภรรยาผู้บาดเจ็บก็ได้เดินออกมานอกระเบียงห้องพักชั้น 5 แล้วมีการโบกมีทักทายทีมข่าวช่องแปดคล้ายกับว่าเรียกให้เข้าไปคุยด้วย ทีมข่าวจึงได้เดินขึ้นไปพูดคุยกับนายธวัชชัย และ นางสาวสุทิน (ผู้บาดเจ็บ) โดยพบว่าใบหน้าของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล จากการทะเลาะวิวาทเมื่อวานนี้ ซึ่งสองสามีภรรยาก็ได้เล่าให้ฟังว่า พวกตนนั้นอาศัยอยู่ที่ห้องพักแห่งนี้นานถึง 16 ปีแล้ว ที่ผ่านมาตนยอมรับว่าอาจจะมีเสียงดังไปบ้าง แต่ก็ยืนยันว่ามันไม่ได้ดังจนถึงขั้นรบกวนเวลาหลับเวลานอนของเพื่อนบ้าน แต่จะมีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่งที่มักจะมีปัญหากับตนก็คือ นายธีรภัทร (ผู้ก่อเหตุ) เพราะไม่ว่าตนจะทำอะไรนายธีรภัทรก็มักจะตะโกนขึ้นมาต่อว่าตนอยู่เสมอ
จนกระทั่งเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 ก.ค. ตนนึกอยากกินจับฉ่ายเลยมีการสับไก่ 1 น่อง ทันใดนั้นนายธีรภัทรก็ได้ตะโกนขึ้นมาด่า ตนจึงตั้งใจจะลงไปขอโทษที่ทำเสียงดังรบกวน แต่อีกฝ่ายนั้นไม่ยอมเปิดประตูมาคุย พอช่วงค่ำวันต่อมานายธีรภัทรก็ได้ตะโกนเรียกให้ตนลงไปคุยกันข้างล่างพร้อมบอกว่า “ถ้ามึงไม่ลง มึงหน้าตัวเมีย” ตนจึงตั้งใจจะลงไปคุยกันดี ๆ แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะหาเรื่อง ซ้ำนายธีรภัทรยังมีการพูดว่า “กูไม่ได้เอาเลือดมาล้างตีนหลายปีแล้ว” แล้วนายธีรภัทรก็พุ่งเข้ามาทำร้ายพวกตนทันที ตนจึงมองว่านายธีรภัทรนั้นตั้งใจที่จะทำร้ายพวกตนตั้งแต่แรกแล้ว นักข่าวก็ได้ถามว่าทั้งสองมีการพูดไล่ให้นายธีรภัทรไปนอนที่ป่าช้าจริงหรือเปล่า โดยสองสามีภรรยาก็ยอมรับว่าเป็นคนพูดจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะแช่งให้ใครตาย เพียงแค่อุปมาอุปไมยเท่านั้น ตนเพียงแค่จะสื่อว่าการอยู่ร่วมกันนั้นมันก็ต้องมีเสียงดังบ้าง หากจะให้เงียบสนิทก็คงต้องไปนอนป่าช้าโน่น แต่จากเหตุการณ์นี้ตนก็อยากให้จบกันด้วยดี เพราะตนก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับใคร และตนก็คงจะไม่ย้ายออกจากที่พักเนื่องจากค่าที่พักแห่งนี้ราคาถูก ตนจึงยืนยันว่าจะไม่ย้ายออก แต่พวกตนก็จะระมัดระวังเรื่องเสียงให้มากขึ้น
นอกจากนี้ นางสาวสุทินก็ได้ทดลองสับน่องไก่ให้นักข่าวดู โดยมีการวางไก่บนเขียงไม้และใช้มีดอีโต้ในการสับ ซึ่งน่องไก่ที่ใช้นั้นเป็นน่องไก่ที่ผ่านการแช่แข็ง จึงทำให้ต้องออกแรงในการสับ ซึ่งเสียงการสับไก่ก็ถือว่ามีความดังในระดับทั่วไป มองว่าหากสับในตอนกลางวันก็คงจะไม่เป็นปัญหาอะไร
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทั้งสองฝ่ายได้จับมือไกล่เกลี่ยกันแล้ว ว่าต่างคนต่างอยู่ เรื่องที่เสียงดังรบกวนอีกห้องจะพยายามเบาเสียงลง และทั้งสองก็ต่างขอโทษกันและกันเรียบร้อย