กรณี น.ส.แตงโม วัย 20 ปี ชาวม.6 ต.ตะกุกเหนือ อ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี ได้ร้องเรียนว่าถูกพ่อแม่บังคับให้ไปนวดรักษาโรคมะเร็งกับสำนักฤาษีสำนักหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านของตน ซึ่งสำนักดังกล่าวมีชายอายุประมาณ50 ปี อ้างว่าชื่อหมอเขียว (ผู้ชาย) และหมอพุธ (ผู้หญิง) เป็นร่างทรงพ่อปู่ฤาษี เปิดสำนักดูดวง แก้ของทางไสยเวช ภายในสำนักมีการติดป้ายประกาศอัตราค่าธรรมเนียมชัด เริ่มต้นตั้งแต่ 300-3000 บาท เป็นชาวบ้านในพื้นที่ต่างหลงเชื่อและเข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมากนั้น
ล่าสุดช่วงเช้าวันนี้เจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. วิภาวดีจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงพื้นที่มาเชิญตัวอาจารย์คนดังกล่าวไปสอบปากคำที่โรงพัก
และเวลา 09.30 น. ตำรวจชุดสืบสวนประมาณ 10 นาย รวมทั้งฝ่ายปกครองของหมู่บ้านได้ ตรึงกำลัง อยู่บริเวณหน้าสำนัก ของอาจารย์คนดังกล่าว ซึ่งหากหลังจากนี้ ศาลอนุมัติหมายจับอาจารย์คนดังกล่าวแล้ว ตำรวจก็เข้าไปค้นบ้าน และสำนักดังกล่าว เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ได้พูดคุยกับนางพัชราอายุ 48 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ให้สัมภาษณ์ว่าสำหรับอาจารย์คนดังกล่าวนั้นเป็นคนนอกพื้นที่แล้วเขามา ซื้อบ้านหลังดังกล่าวเพื่อเปิดสำนัก ช่วงปีแรกแรกเค้าจะดูดวงอย่างเดียว แต่หลังมาเค้าจะมีการรักษาผู้ป่วยที่เจ็บป่วยโรคภัยต่างๆร่วมด้วย
แต่ตัวเองก็ไม่เคยมารักษาอาการกับอาจารย์รายนี้ และส่วนใหญ่คนในหมู่บ้านก็จะไม่ค่อยมากัน แต่จะเป็นคนหมู่บ้านอื่นที่เค้าเดินทางมารักษาอาการ ยอมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาจารย์คนดังกล่าวรักษาด้วยวิธีให้ถอดเสื้อผ้าแล้วจับตรงอวัยวะเพศและหน้าอก ของเพศหญิง กระทั่งเมื่อวานนี้ตัวเองได้มาดูคลิปต้นฉบับที่เขารักษาอาการให้กับเด็กหญิงวัย 14 ปี ซึ่งตัวเองเห็นแล้วก็รู้สึกตกใจมาก ไม่คาดคิดว่าอาจารย์จะรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะถือว่าเป็นการกระทำอนาจารต่อเด็กและสตรี
ซึ่งตอนนี้ตัวเองก็ไม่ยินดีที่จะให้อาจารย์คนดังกล่าวอยู่ในหมู่บ้านของตัวเองอีกแล้ว เพราะเขากระทำการไม่เหมาะสม และตัวเองก็รู้สึกสงสารเหยื่อที่โดนเค้ากระทำอีกด้วย
กระทั่งเวา 11.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายเขียว หรือนายถาวร หรือหมอเขียว อายุ 47 ปี และนางวิภาหรือหมอพุธ อายุ 50 ปี มานำค้นที่บ้านและสำนักของหมอพุธ ระหว่างที่ทั้งลงจากรถ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายเขียว ถึงวิธีการรักษา ว่ามีการให้ผู้ป่วยเปลือยร่างกายจริงหรือไม่ แต่นายเขียว ก็ปิดปากเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าว
หลังจากนั้น ตำรวจรวมถึงฝ่ายปกครองท้องถิ่น และสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พาตัวนายเขียว และหมอพุธ เข้าไปในบ้านเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทันทีมี่หมอพุธ เห็นลูกศิษย์ซึ่งรออยู่ภายในบ้าน เธอก็ได้เข้าไปโอบกอดลูกศิษย์ และร้องไห้ ก่อนที่ตำรวจจะให้หมอพุธและนายเขียวพาไปดูห้องต่างๆภายในบ้านใช้เวลาประมาณ 30 นาที
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ให้หมอพุธพาไปตรวจค้นที่สำนักหลังหนึ่งซึ่งอยู่ข้างบ้าน โดยสำนักดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเล็กสองชั้น โดยพาไปตรวจที่ชั้นบนก่อน โดยสภาพชั้นบนจะมีหิ้งบูชาพระพุธรุป, รูปปั้นฤาษี รวมทั้งรูปปั้นพ่อแก่ แม่แก่ และมีภาพถ่ายของหมอพุธ ลักษณะกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งจำนวนสามรูป นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายของเด็กทารกที่พ่อแม่ของเด็ก นำมามอบให้กับหมอพุธหลังจากที่ขอลูกสำเร็จ
และยังพบป้ายรายการรักษา รวมถึงราคาในการรักษาอาการอาทิ ตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ ราคา 2,500 บาท ,ไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่ ราคา 1,500 บาท ,ต้มยามะเร็ง 3,000 บาท ,บูชาพระเคราะห์รับส่งราหู 300 บาท ,เสกยาอื่นๆ 300 บาท ,เปิดองค์ 300 บาท ,ไหว้แม่ย่านาง 300 บาท ,ขอลูก 3,000 บาท และดูดวงตามศรัทธาให้เรียกร้อง
จากนั้นหมอพุธได้มีการอธิบายวิธีการรักษาของตัวเองว่ามีการใช้สมุนไพร และรักษาอย่างไรบ้าง
หลังจากที่หมอพุธเจ้าหน้าที่ดูบริเวณชั้นสองของสำนักดังกล่าวเสร็จแล้วผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามหมอพุธ เรื่องวิธีการรักษาเป็นอย่างไร มีการให้คนป่วยถอดเสื้อผ้าจริงหรือไม่ แต่หมอพุธก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม อ้างว่าจะให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาหมอพุธไปดูบริเวณชั้นล่างของสำนัก ซึ่งเป็นห้องเก็บยาสมุนไพร และอุปกรณ์ต่างๆในการปรุงยา และบริเวนนี้มีการปูที่นอน และมีหมอน 1 ใบอีกด้วย แต่หมอพุธ ได้อ้างว่า บริเวณนี้ ไม่ใช่ที่สำหรับพิธีกรรมรักษาผู้ป่วย ตามในคลิป เป็นแค่ห้องที่เก็บยาสมุนไพรและอุปกรณ์ต่างๆเท่านั้น ซึ่งบางทีตัวเองก็ใช้บริเวณโซฟาและภายในห้องนี้ นอนพักผ่อนเท่านั้น
หลังจาก ค้นสำนักชั้นล่างเสร็จแล้วพยามสอบถามหมอพุธ ถึงขั้นตอนการรักษาและวิธีการรักษาดังกล่าวว่าเป็นจริงตามที่ผู้เสียหายไปร้องเรียนและไปแจ้งความหรือไม่ แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมตอบคำถาม ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านซึ่งมีนายเขียว (สามี) อยู่ในนั้น
หลังจากนั้นไม่นานตำรวจได้พาตัวนายเขียว และหมอพุธ ออกมาจากตัวบ้าน เพื่อขึ้นรถกลับไปยังโรงพัก ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวก็พยามสอบถามทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ทั้งสองก็ไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าว
โดยระหว่างที่นำตัวสองคนขึ้นรถตำรวจนั้น ได้มีนางรุน ญาติของหนึ่งผู้เสียหาย ตะโกนด่าทอ ด้วยอารมณ์โมโห
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางรุน ญาติของหนึ่งในผู้เสียหาย เธอให้สัมภาษณ์ว่า ที่เธอไปตะโกนด่าท้อผู้ก่อเหตุเพราะตัวเองรับไม่ได้กับการกระทำของเขา ที่ทำต่อเด็กและสตรีรวมถึงทำกับหลานสาวตัวเองไว้ 20 ปีอีกด้วย ยอมรับว่าเมื่อก่อนตัวเองเคยมาดูดวงกับผู้ก่อเหตุ แต่เขาก็ดูดวงให้ไม่แม่น ตัวเองจึงไม่ได้มาดูอีกเลย จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าเค้ามาก่อเหตุกับหลานสาวตัวเอง และตัวเองก็รู้สึกตกใจมาก ซึ่งตัวเองอยากให้ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุทั้งสองจนถึงที่สุด และอยากขับไล่ให้พวกเขาออกจากพื้นที่ไปด้วย
ช่วงเช้าวันนี้ ตำรวจ สภ.วิภาวดี ได้เชิญตัวนางสร้อย (นามสมมติ) และนายบ่าว (นามสมมติ) พ่อและแม่ของนางสาวแตงโม ผู้เสียหายวัย 20 ปี มาสอบปากคำที่โรงพัก
ระหว่างรอสอบปากคำ แม่ของผู้เสียหายไว้ 20 ปีได้ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวว่า ตัวเองยอมรับว่าตัวเองไปถือศีลอยู่ที่สำนักดังกล่าวดังกล่าวจริง เพราะว่าเขาช่วยรักษาตัวเองเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ และตัวเองก็ไม่รู้เรื่องที่ลูกสาวมาแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าสำนักในเมื่อคืนนี้ ยอมรับว่ารู้จักกับหมอพุธ และหมอเขียวมานานแล้ว
เมื่อทีมข่าวสอบถามเรื่อง ที่ลูกสาวไปรับการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวกับหมอพุธ,หมอเขียว เจ้าสำนัก ว่าดูเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ เนื่องจากในคลิปก็มีภาพ นางสร้อย อยู่ในพิธี นางสร้อย ก็ตอบทีมข่าวว่า ตัวเองไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลผู้สื่อข่าวแล้ว เพราะตอนนี้ตัวเองไม่ค่อยสบาย “ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำนะคะ”
ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามนางสร้อยอีก “รู้ไหม ว่าเมื่อวานลูกสาวเครียดหนัก ถึงขั้นให้ญาติพามาแจ้งความเมื่อคืนนี้” แม่ของนางสาวแตงโม ก็บอกว่า “ไม่จริงหรอก เมื่อวานก็ยังเจอลูกสาวอยู่เลย ลูกสาวไม่ได้เครียดและไม่มีทางไปแจ้งความแน่นอน“
ทีมข่าวจึงสอบถามนางสร้อยต่อว่า เห็นคลิปปรากฏว่าแม่สร้อยก็อยู่ในพิธีกรรม ตอนที่แม่หมอพุธ ทำการรักษาจริงหรือไม่ นางสร้อยก็ตอบอีกว่า ตอนนี้ตัวเองยังไม่สบาย ไม่สะดวกที่จะตอบคำถาม
ด้านนายบ่าว นามสมมติ พ่อของผู้เสียหายวัย 20 ปี ก็ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ทีมข่าว ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อถามถึงเรื่อง ที่ว่าพ่อและแม่ของผู้เสียหายอายุ 20 ปีก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนทำพิธี ด้วยจริงหรือไม่นั้น พ่อของผู้เสียหายก็ไม่ยอมตอบคำถามที่เขาและได้เดินหนีอ้างว่าจะเข้าห้องน้ำ
นอกจากนี้ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้รับภาพนิ่งและคลิปวิดีโอตอนที่เด็กหญิงวัย 12 ปี ไปรักษาอาการมะเร็ง ตามที่หมอพุธ และหมอเขียว ได้บอกว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็ง (แต่ทางแพทย์แผนปัจจุบัน ยังไม่ได้ตรวจ) ซึ่งในคลิป และภาพนิ่ง จะเห็นนางสร้อย แม่ของเด็กหญิงวัย 20 ปี นั่งอยู่ในพิธีนวดน้ำมันรักษาอาการ ร่วมกับนายเขียว และหมอทิพย์ อีกด้วย
ทีมข่าวได้มาพูดคุยกับนายโพธิ์ อายุ 58 ปี สามีของนางบังอร รักเจริญ อายุ 54 ปี ที่มีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม และเข้ารักษากับหมอพุธ ท้ายที่สุดภรรยาของนายโพธิ์ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมา
นายโพธิ์ บอกว่า ย้อนกลับไปประมาณ 4 เดือน ทางภรรยาป่วยเป็นมะเร็งเต้านมด้านซ้าย หมอวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะ 3 จะต้องเข้ารับการรักษาวิธีฉายแสงและต้องรักษาตามขั้นตอนของหมอที่โรงพยาบาล หลังจากภรรยาทราบว่ามีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมก็ได้เข้ารับการรักษากับหมอแพทย์ปัจจุบัน กระทั่งมีชาวบ้านในพื้นที่ได้มาบอกว่า “นายเขียว” และ “หมอพุธ” ซึ่งเป็นสามีภรรยา มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการรักษาโดยใช้วิธีไสยศาสตร์และแพทย์แผนโบราณ
ต่อมาเดือนมีนาคม 2567 ภรรยาของตัวเอง ได้ไปเจอกับหมอพุธ และหมอเขียว เพื่อพูดคุยเรื่องการรักษา ซึ่งหมอพุธ เขาก็ได้ยืนยันกับภรรยาตัวเองว่า เขาสามารถรักษาอาการป่วยมะเร็งให้หายขาดได้ ภายใน 3 เดือน ถ้าเขารักษาไม่หาย “เขาขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ว่า 3 เดือน ภรรยาหายจากมะเร็งเต้านมแน่นอน ”
ในการรักษาช่วงแรกจะเป็นการรักษาด้วยการถวายพาน นำดอกไม้รวมไปถึงค่าบูชาครู ก่อนที่จะมีการให้ซื้อยาสมุนไพรซึ่งเป็นยาต้มสมุนไพร ราคา 3,300 บาท และคิดค่ารักษาเป็นรายวันละ 100 บาท ซึ่งตนเองก็ได้เตือนภรรยาไปแล้ว แต่ภรรยากลับมั่นใจ เนื่องจากทางคู่สามีภรรยาดังกล่าวมีการการันตีและยืนยันให้ความชัดเจนว่าจะรักษาหายทำให้ภรรยามีหวัง และหลังจากนั้นภรรยาก็ไปรักษาอยู่ที่ สำนึกดังกล่าวเป็นเวลาสามเดือน แต่ปรากฏว่าอาการของภรรยากลับทรุดลง มีน้ำหนอง น้ำเหลือง และเลือดไหลออกมาจากหน้าอกจนกระทั่งภรรยาเสียชีวิตในช่วงวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากอาการกำเริบจากการกินยารักษาสมุนไพร
และที่สำคัญตัวเองต้องไปกู้เงินมาจำนวนรวมกว่า 150,000 บาท ในการให้ภรรยาใช้รักษาการกับคู่สามีภรรยาดังกล่าว
นายโพธิ์ บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองเป็น 1 ในผู้เสียหาย ที่ถูกทางคู่สามีภรรยาหลอกลวงและแอบอ้างจนทำให้เสียภรรยาไป ซึ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 1 เดือน ที่ภรรยาของตนเสียชีวิต ตนก็พยายามจะเรียกร้องและทวงความยุติธรรม รวมไปถึงเป็นกระบอกเสียงให้กับทางชาวบ้านในพื้นที่ ให้ได้เห็นพฤติกรรมและรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับหญิงสาววัย 20 ปี ซึ่งวันนี้ตนก็ถือว่าสิ่งที่ตนเรียกร้องและขอความเป็นธรรมได้ปรากฏขึ้นแล้ว
นายโพธิ์กล่าวทั้งน้ำตาอีกว่า ตัวเองอยากบอกถึงดวงวิญญาณของภรรยาว่า “ ให้เป ไปสู่สุคตินะ สิ่งที่สองคนนั้นเค้าทำอะไรกับพี่ไว้ ครั้งนี้เค้าจับได้แล้ว สิ่งที่เปเคยโดนกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง วันนี้เวรกรรมได้ตามพวกเขามันแล้วนะ ความจริงปรากฏ ณ วันนี้แล้วนะ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้รับภาพนิ่งที่ภรรยาของนายโพธิ์ นุ่งขาวห่มขาว ขณะไปรักษาที่สำนักดังกล่าว และมีภาพบาดแผลที่เต้านมของภรรยานายโพธิ์ ซึ่งตอนนั้นภรรยาได้รักษาตัวอยู่ที่สำนักดังกล่าว แล้วมีการวิดีโอคอลมาให้สามีดูบาดแผลอีกด้วย รวมทั้งมีภาพนิ่งงานศพของภรรยานายโพธิ์ หลังจากที่เสียชีวิต
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้รับ สมุดบันทึกของผู้เสียชีวิตที่มีการเขียนข้อความลงในสมุดว่า “19 เมษายน 2567“ แม่ทวดมา ชื่อคนอื่นที่รักษา ถูกตี 3 ที เป (ภรรยาของนายโพธิ์) ถูกตี 4 ที และชื่อของลูกศิษย์คนอื่นที่รักษา ถูกตี 5 ที และยังมีบันทึกเกี่ยวกับการรักษา แม่อุมาเทวีอีกด้วย
นอกจากนี้ทีมข่าวช่องแปดยังได้รับคลิปวิดีโอตัวใหม่มาเพิ่มเติม เป็นเหตุการณ์ตอนที่เด็กหญิงวัย 12 ปี ชื่อนางสาวส้ม นามสมมติ เธอได้ไปทำการรักษากับหมอพุธ ซึ่งเป็นคลิปความยาว 3 นาที ในคลิปจะเห็นแม่หมอพุธ นางสร้อย แม่ของผู้เสียหายวัย 20 และนางนุ่น ยายของเด็กวัย 12 ปี ช่วยกันจับเด็กหญิงวัย 12 ปี ทำพิธี แต่ในคลิปจะเห็นเด็กหญิงคนดังกล่าวกรีดร้องเสียงดังดังถ้าทีว่าเธอนั้นไม่ยินยอมให้ทำพิธีดังกล่าว
ช่วงบ่ายวันนี้ ตำรวจ ได้สอบสวนนายเขียว และหมอพุธ ในห้องสอบสวน ซึ่งมีจังหวะที่นายเขียว ออกจากห้องสอบสวนมาเข้าห้องน้ำ ทีมข่าวช่องแปดได้สอบถามนายเขียวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเจ้าตัวได้ทำพิธีด้วยการให้เด็กผู้หญิงเปลือยกายหรือไม่ นายเขียว ก็ตอบสั้นๆว่า ตัวเองไม่ได้ให้เด็กผู้หญิงเปลือยกายขณะทำพิธีแต่อย่างใด
หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จนายเขียวได้เดินเข้าห้องสอบสวนอีกครั้ง ทีมข่าวช่อง 8 ได้สอบถามเจ้าตัวว่ามีความเครียดเรื่องคดีหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบสั้นสั้นว่า “ผมก็เครียดอยู่ครับ”
นายเขียว เข้าไปในห้องสอบสวนแล้วผู้สื่อข่าวได้สอบถามเจ้าตัวอีกครั้งถึงขั้นตอนการทำพิธีต่างๆ เจ้าตัวก็ได้ตอบพิมพ์ว่าผมไม่ได้รู้เรื่องผมไม่ได้เป็นคนพาทำพิธี คนทำพิธีคือนางพุธต่างหาก
ทีมข่าวจึงไปสอบถามนางพุธ หรือหมอพุธ แต่เจ้าตัวก็บอกว่าไม่พร้อมชี้แจง หรือให้ข่าวแต่อย่างใด
เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ. วิภาวดี ได้คุมตัวนายเขียว ออดจากห้องขัง เพื่อไปหาหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านและสำนัก ที่เกิดเหตุ
ระหว่างที่มีการควบคุมตัวนายเขียว ออกมาจากโรงพักนั้น ผู้สื่อข่าวก็ได้สอบถามนายเขียวอีกรอบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับการทำพิธีกรรมรักษาผู้ป่วย และเรื่องของวัตถุดิบที่ใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆได้มามาจากที่ไหน แต่นายเขียวก็ไม่ยอมตอบคำถามก่อนที่จะเดินขึ้นรถไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่
เมื่อไปถึงบ้านหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้นายเขียวลงมาจากรถแต่ให้ชี้จากในรถ ว่าหลักฐานอยู่ตรงไหนยังไงบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวัดวัตถุดิบและรากไม้ในการใช้รักษาโรคต่างๆ แต่เนื่องจากห้องที่เก็บวัตถุดิบต้องใช้กุญแจในการเปิด ตำรวจจึงยังไม่ได้นำหลักฐานกลับที่โรงพักและอาจจะกลับมาเอาหลักฐานมาอีกรอบ