จากกรณีพบซากศพเหลือแต่โครงกระดูกและพบว่ามือทั้งสองข้างถูกตัดทิ้งแยกส่วน ซึ่งน่าจะถูกฆาตกรรมแล้วนำศพมาทิ้งไว้ในไร่อ้อย พื้นที่หมู่ 8 ตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าศพที่เสียชีวิตคือใคร เพราะไม่พบหลักฐานติดตัว อีกทั้งจากการตรวจสอบข้อมูลในเขตตำบลท่าน้ำอ้อยก็ไม่พบว่ามีการแจ้งหาบุคคลสูญหาย
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่องแปดได้ลงพื้นที่ไปยังจุดพบศพ ซึ่งรถยนต์นั้นสามารถขับเข้าไปได้จนถึงบริเวณที่พบศพ โดยจุดพบศพนั้นยังคงมีคราบของเสียจากซากศพที่ยังส่งกลิ่นเหม็นอยู่ บริเวณรอบนั้นมีลักษณะเป็นไร่อ้อยที่มีความสูงกว่า 2.5 เมตร ภายในเนื้อที่กว่า 24 ไร่ ซึ่งจุดดังกล่าวนั้นค่อนข้างเปลี่ยวเพราะอยู่ห่างจากพื้นที่ตัวหมู่บ้านไปประมาณ 5 กิโลเมตร
โดยทีมข่าวก็ได้สำรวจพื้นที่จุดเกิดเหตุจากภาพมุมสูง พบว่าไร่อ้อยที่พบศพนั้นอยู่ห่างไกลจากชุมชนพอสมควร ละแวกดังกล่าวค่อนข้างเปลี่ยวและไม่มีบ้านของผู้คนพักอาศัย ซึ่งจุดดังกล่าวนั้นสามารถเข้า-ออกได้ทั้งหมด 2 ทาง โดยทางที่หนึ่ง (ฝั่งขวา) เป็นเส้นทางที่มาจากชุมชนหมู่ที่ 9 บ้านเขาบ่อพลับ จะมีระยะทางอยู่ห่างออกไปจากจุดพบศพประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนทางที่สอง (ฝั่งซ้าย) เป็นเส้นทางที่มาจากชุมชนหมู่ที่ 5 บ้านบนเนิน ซึ่งจะมีเส้นทางรถไฟตัดผ่านจึงทำให้ไม่ค่อยมีบ้านของผู้คนอยู่อาศัยซักเท่าไหร่ โดยจะมีระยะทางอยู่ห่างออกไปจากจุดพบศพประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งทั้งสองเส้นทางนั้นมีลักษณะเป็นทางลูกรัง โดยที่รถยนต์สามารถขับเข้าไปได้จนกระทั่งถึงภายในไร่อ้อย และเดินเท้าต่อไปเพียง 20 เมตร ก็จะถึงจุดที่พบศพดังกล่าว
นายวิษณุรักษ์ อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดงานบรรเทาสาธารณภัย สภ.พยุหะคีรี ได้บอกว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 09.30 น. ตนได้รับแจ้งเหตุพบศพผู้เสียชีวิตในไร่อ้อยพื้นที่หมู่ 8 ตำบลท่าน้ำอ้อย จากนั้นตนจึงได้ลงพื้นที่ไปพร้อมกับกู้ชีพเทศบาลท่าน้ำอ้อยม่วงหัก, เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน, แพทย์เวรโรงพยาบาลพยุหะคีรี, พนักงานสอบสวน สภ.พยุหะคีรี พบว่าศพนั้นนอนอยู่ในสภาพคว่ำหน้าและมีเปลผ้าห่อตัวเอาไว้ จากการพลิกศพก็พบว่าผู้เสียชีวิตได้สวมเสื้อแขนกุดสีแดง สวมกางเกงสามส่วนสีเขียว ไม่สวมรองเท้า นอกจากนี้ก็มีร่องรอยของการถูกตัดข้อมือทั้งสองข้างที่ยืนยันได้ว่าเป็นการถูกตัดจากของมีคมแต่ยังไม่ทราบว่าเป็นของมีคมชนิดใด โดยที่ภายในศพนั้นไม่มีเอกสารที่จะชี้ชัดได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร จะมีก็แต่สร้อยเชือกร่มสีดำที่ห้องพระหลวงพ่อสุนทรวัดบ้านมะเกลือ และมีการสักบริเวณไหล่ขวากับขาซ้าย แต่ไม่ทราบว่าเป็นรอยสักรูปอะไรเนื่องจากสภาพศพนั้นแห้งดำเนื้อหนังหลุดรุ่ย ตอนนี้ยืนยันว่ายังไม่ทราบตัวตนของผู้เสียชีวิต ในพื้นที่ก็ไม่มีการรับแจ้งบุคคลสูญหาย และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก็ได้มีการส่งศพผู้เสียชีวิตรายดังกล่าวไปชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปยังวัดท่าเจริญพรต (วัดบ้านมะเกลือ) ตำบลบ้านมะเกลือ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยทางรองเจ้าอาวาสนั้นยังไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์เพียงแต่ให้ข้อมูลว่า จากรูปภาพที่เปิดให้ดูนั้นยืนยันว่าเป็นเหรียญของหลวงพ่อสุนทรวัดบ้านมะเกลือ แต่ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าเป็นเหรียญรุ่นไหน เนื่องจากทางวัดไม่ได้ทำการสร้างเหรียญต่าง ๆ ส่วนใหญ่แล้วเหรียญของหลวงพ่อสุนทรนั้นจะถูกสร้างขึ้นจากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งการปล่อยเช่าเหรียญนั้นก็ไม่ได้มีแค่ภายในวัด เนื่องจากสมัยนี้การเช่าเหรียญต่าง ๆ ก็สามารถหาได้จากทางออนไลน์หรือตามแผงเซียนพระต่าง ๆ
ต่อมาทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับเซียนพระในพื้นที่ตำบลบ้านมะเกลือ นายถาวรณ์ อายุ 48 ปี ได้เปิดเผยว่า จากเหรียญที่ได้เปิดให้ดูนั้นเป็นเหรียญหลวงพ่อสุนทร รุ่น 77 ปัญญาบารมี ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2554 โดยพระอาจารย์ต๊ะ (เจ้าอาวาสวัดอื่น) เป็นผู้สร้างขึ้นเนื่องในวาระหลวงพ่อสุนทรอายุได้ 77 ปี ซึ่งก็มีการสร้างออกมาหลายเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเงิน เนื้อทองแดง แต่จากรูปภาพที่ได้ดูนั้นเป็นเนื้อลงยาสีแดง ซึ่งในปีนั้นก็มีการลงยาตามสีประจำวันเกิด หากใครเกิดวันอาทิตย์ก็จะบูชาสีแดงไป ซึ่งเหรียญรุ่นดังกล่าวก็มีราคาอยู่ที่ 199 บาท แต่การสร้างขึ้นในปีนั้นมีจำนวนจำกัดเพราะต้องยอมรับว่าสมัยก่อนหลวงพ่อสุนทรไม่ได้เป็นที่นิยม จึงสร้างเหรียญขึ้นมาไม่เยอะมากนัก ฉะนั้นคนที่บูชาเหรียญไปก็จะมีเฉพาะคนในพื้นที่ ซึ่งก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ผู้ตายอาจจะเป็นคนในพื้นที่บ้านมะเกลือหรือละแวกใกล้เคียง เหรียญรุ่นนี้คงจะไม่ได้ออกไปนอกพื้นที่แน่นอน แต่ขณะนี้ในชุมชนของตนก็ไม่ได้มีบุคคลสูญหาย เพราะหากมีใครหายไปซักคนก็ต้องรับรู้ทั่วกันอยู่แล้ว
นอกจากนี้นายถาวรณ์ก็ได้นำวัตถุมงคลที่เก็บสะสมเอาไว้ออกมาให้นักข่าวดู โดยมีการพยายามค้นหาเหรียญหลวงพ่อสุนทร รุ่น 77 ปัญญาบารมี ซึ่งก็พบกับเหรียญรุ่นดังกล่าวจริง ๆ โดยเป็นเหรียญที่สร้างขึ้นมาในปีเดียวกัน บล็อกเดียวกัน แต่จะมีความต่างกันตรงที่ของนายถาวรณ์นั้นเป็นเนื้อทองแดง ส่วนเหรียญของผู้เสียชีวิตนั้นเป็นเนื้อลงยา
ทีมข่าวได้คุยชาวบ้านในพื้นที่ก็ได้ให้ข้อมูลมาว่า ก่อนหน้านี้ในพื้นที่เคยมีคนเร่ร่อนมาพักอยู่อาศัยบริเวณริมทางรถไฟ ซึ่งมีการมานอนอยู่ประจำ 1-2 เดือน ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกสงสารจึงมักจะนำข้าวไปให้กิน แต่ชาวบ้านบางคนก็รู้สึกกลัวเพราะชายเร่ร่อนคนดังกล่าวดูมีท่าทีแปลก ๆ ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนและไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าชายเร่ร่อนคนดังกล่าวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านบางส่วนจึงสงสัยว่าชายเร่ร่อนคนดังกล่าวหายไปไหน หรือชายคนดังกล่าวจะเป็นศพปริศนาที่ถูกพบในไร่อ้อย
ทีมข่าวช่องแปดจึงได้ลงพื้นที่ไปยังริมทางรถไฟซึ่งเป็นจุดใต้สะพานกลับรถที่ชาวบ้านให้ข้อมูลมาว่าเป็นจุดพักอาศัยของชายเร่ร่อนคนดังกล่าว พบว่าจุดดังกล่าวนั้นไม่มีสิ่งของ เสื้อผ้า หรือร่องรอยของการอยู่อาศัย จะมีก็แต่รองเท้าที่ตกอยู่ 1 ข้าง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปยังวัดหนองหมูซึ่งอยู่ใกล้จุดพักอาศัยของชายเร่ร่อน เพื่อสอบถามพระลูกวัดว่าเคยพบเห็นชายเร่ร่อนคนดังกล่าวหรือไม่ ทางด้านพระบุญยรัตน์ ฉันทธรรมโม (พระลูกวัด) ก็ได้เล่าว่า เมื่อประมาณปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีชายเร่ร่อนคนหนึ่งเข้ามาขอข้าวที่วัดกิน โดยชายคนนั้นได้เข้ามาขอข้าวติดกันเป็นเวลา 3-4 วัน ซึ่งท่าทางก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เพราะชายคนนั้นมักจะชอบเดินเก็บเศษซากพระพุทธรูปที่แตกหักจากศาลเก่าไปสะสม แต่นอกเหนือจากนั้นชายเร่ร่อนก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรให้กับใคร แต่ชาวบ้านในชุมชนก็ยังรู้สึกหวาดกลัวชายคนดังกล่าว ทางวัดและผู้นำชุมชนจึงได้ทำการเรี่ยไรเงินประมาณ 200 บาท เพื่อซื้อตั๋วรถไฟให้ชายเร่ร่อนกลับบ้านเกิด ซึ่งเจ้าตัวนั้นบอกว่าบ้านเกิดอยู่ทางภาคเหนือ จึงขอยืนยันว่าศพปริศนาที่พบในไร่อ้อยนั้นไม่ใช่ชายเร่ร่อน เพราะพระเห็นกับตาว่าชายคนดังกล่าวได้ขึ้นรถไฟไปแล้ว ส่วนศพปริศนาที่พบนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่จากการที่พบว่าผู้เสียชีวิตได้ห้อยพระหลวงพ่อสุนทรของวัดบ้านมะเกลือ ทางพระก็ขอยืนยันว่าวัดในพื้นที่ไม่เคยมีการปล่อยเช่าพระรุ่นดังกล่าวแน่นอน จึงคาดว่าอาจจะไม่ใช่ศพของคนในพื้นที่
นายบุญยังอายุ 53 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของไร่อ้อยและเป็นคนแรกที่ได้เข้าไปพบศพ เปิดเผยว่าเมื่อวานนี้ (13 ก.ค.67) ตนและลูกจ้างได้เข้ามาฉีดยาฆ่าหญ้าที่ไร่อ้อย แต่เมื่อมาถึงก็ยังไม่ทันจะได้ฉีดยาฆ่าหญ้าตนก็เกิดรู้สึกปวดปัสสาวะจึงได้เดินไปยังป่าอ้อยหวังจะปลดทุกข์ แต่ก็ยังไม่ทันได้ปัสสาวะ ตนก็เหลือบไปเห็นลักษณะเหมือนขา ในตอนแรกก็คิดว่าเป็นซากสุนัขเพราะซากนั้นแห้งดำจนดูไม่ออก แต่พอกวาดสายตามองไปเรื่อย ๆ ก็พบกับลำตัว แขน ศีรษะ จึงมั่นใจได้ในทันทีว่าเป็นร่างของมนุษย์ ตนจึงได้โทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเป็นการฆาตกรรมแล้วนำมาทิ้งอำพราง โดยนายบุญยังบอกว่าตนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวที่ได้เจอศพ เพียงแต่สงสัยว่าทำไมต้องฆ่าแล้วนำมาทิ้งไว้ในไร่อ้อยของตน นอกจากนี้นายบุญยังได้บอกว่าตนนั้นไม่ค่อยจะได้เข้ามาที่ไร่อ้อยสักเท่าไหร่ 2-3 สัปดาห์ถึงจะเข้ามาซักครั้งหนึ่ง เนื่องจากตอนนี้ต้นอ้อยนั้นอยู่ในระยะที่ไม่ต้องดูแลแล้ว เพียงแค่ปล่อยไว้สำหรับรอเก็บเกี่ยวเท่านั้น