จากกรณีเมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 15 ก.ค.2567 ตำรวจ สภ.บ้านไผ่ ได้รับแจ้งจาก นางสาว ลลิตา อายุ 30 ปี ว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ 3 คน มากับผู้หญิงอีก 2 คน ขับรถเก๋งสีดำมาจอดหน้าบ้าน แล้วเข้ามาถามหา อดีตสามี เพื่อจะตามทวงหนี้ของอดีตสามีที่เลิกลากันไปและไม่ได้ติดต่อกันอีกหลังจากติดคุกในคดียาเสพติด พร้อมชักอาวุธปืนสั้นออกมาข่มขู่ ทุบฝาบ้านให้ลงมาพบให้ได้ โดยมี นางสาว ลำใย อายุ 56 ปี แม่ย่าของนางสาวลลิตา ส่องออกมาเห็นแต่กลัวไม่กล้าส่งเสียง พยายามดูแลหลานอีก 2 คนในบ้าน สักพักเสียงเงียบไป จึงออกมาส่องดูอีกครั้งไม่เห็นเครื่องซักผ้าที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน จึงตะโกนว่าขโมย จนคนในบ้านคนอื่นๆและชาวบ้านได้ยินเสียงรีบพากันออกมาดู ทำให้คนร้ายที่กำลังขนเครื่องซักผ้าไปไว้หน้าบ้านตกใจรีบพากันขึ้นรถเก๋ง แต่รถเกิดเสียสตาร์ทไม่ติดจึงทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนีไป กระทั่งตำรวจลงพื้นที่มาตรวจสอบหลังจากคนร้ายหลบหนีไปแล้ว และทำการตรวจค้นในรถพบอุปกรณ์การเสพยาบ้า และแม็กกาซีนปืนมีลูกกระสุนบรรจุด้านใน แต่ไม่พบคนร้ายดังกล่าว

 

ล่าสุดวันนี้ (15 ก.ค.67) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ที่บ้านโสกจาน หมู่ 3 ต.ในเมือง อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น โดยเมื่อไปถึงนางสาวลลิตา ผู้เสียหายกับนายเบิ้ม (นามสมมติ) สามีใหม่ของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของบ้านได้พาทีมข่าวไปดูตรงประตูหน้าบ้านที่กลุ่มคนก่อเหตุบุกถือปืนเข้ามาขู่และพยายามจะชิงตัวผู้เสียหาย ซึ่งบริเวณประตูหน้าบ้านเป็นประตูเหล็ก โดยทางนายเบิ้ม ได้จำลองเหตุการณ์สั้นๆ ให้ทีมข่าวดูว่า ตอนที่เห็นกลุ่มคนก่อเหตุเดินถือปืนเข้ามา นายเบิ้ม ได้ตั้งสติโดยปิดประตูบ้านและล็อกกุญแจด้านใน

 

นางสาวลลิตา อายุ 30 วันนี้ในขณะที่ตำรวจยังตามจับคนก่อเหตุไม่ได้จึงขอปิดหน้าเอาไว้ก่อน เนื่องจากกลัวเพราะมารู้ภายหลังว่าคนที่มาก่อเหตุ คือนายวัฒนา พลเยี่ยม เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ตามหมายจับคดีร่วมกันอุ้มฆ่าตัดคอทิ้งศพไว้ในไร่อ้อยในพื้นที่อำเภอโนนศิลา เมื่อปีที่แล้ว และนายวัฒนา ก็เป็นผู้ต้องหาคนที่ 4 ที่ตำรวจตามจับกุมตัวอยู่

 

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางสาวลลิตา เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองกับคนในบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว โดยตนเองกับนายเบิ้ม สามีใหม่นอนอยู่บนชั้นสองของบ้าน ส่วนแม่กับหลานนอนอยู่บริเวณชั้นล่าง จนกระทั่งประมาณตี 2 กว่าๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียงนายวัฒนา เข้ามาตะโกนเรียกชื่อสามีเก่า จากนั้นแม่กับสามีใหม่จึงเดินออกไป ปรากฎว่านายวัฒนา ถือปืนขึ้นมาขู่และบอกแม่ว่าให้เรียกตนเองลงมาในลักษณะจะพาตัวขึ้นรถออกไปด้วย ซึ่งแม่ก็บอกไปว่าลูกสะใภ้ไม่เคยเป็นหนี้ใคร และที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสามีใหม่ แต่นายวัฒนา ก็ไม่ยอมกลับโดยบอกกับแม่อีกว่า ลูกสะใภ้แม่มันเป็นเมียของคนที่ติดหนี้เขาอยู่และต้องรับผิดชอบร่วมกัน

 

จากนั้นเมื่อตนเอง ได้ยินคำพูดดังกล่าวจึงตะโกนลงมาถามว่า ใครติดหนี้อะไร เลิกกับสามีเก่ามา 5 - 6 ปีแล้ว ซึ่งเมื่อนายวัฒนา ได้ยินเสียง นายวัฒนา กับผู้หญิงและผู้ชายที่มาด้วย 3 - 4 คนก็พยามจะพังประตูเข้ามาในบ้าน แต่เข้ามาไม่ได้ จากนั้นนายวัฒนา กับพวกได้มีการพยายามยกเครื่องซักผ้าที่หน้าบ้านไปขึ้นรถ แต่จังหวะที่จะขับรถออก รถเก๋งคันที่พวกเขาขับมาดันสตาร์ทไม่ติด พวกของนายวัฒนา ก็เลยยกเครื่องซักผ้าลงจากรถแล้วก็ช่วยกันเข็นรถออกไปที่หน้าหมู่บ้าน สุดท้ายพวกเขาต้องจอดรถทิ้งไว้และวิ่งหนีไปเพราะชาวบ้านพยายามจะวิ่งตามไป

 

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่า ตนเองรู้จักกับนายวัฒนา เพราะเขาเป็นเพื่อนกับสามีเก่า แต่เรื่องเงินที่เขาติดกัน ตนเองไม่รู้ว่าสามีเก่าติดเงินนายวัฒนา ในเรื่องยาเสพติดหรือกู้ยืมเงินกันมา ตอนนี้ยอมรับว่ากลัวมากถ้าตำรวจยังตามจับไม่ได้

 

ด้านนายเบิ้ม อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นสามีใหม่ของผู้เสียหาย บอกว่า ตอนเกิดเหตุตนเองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และเห็นหน้าคนถือปืนชัดเจนก็คือนายวัฒนา ซึ่งปืนที่เขาใช้จ่อเข้ามา ตนเองเชื่อว่าเป็นปืนจริง แต่เขาไม่ยิงเพราะแม่ยืนขวางประตูอยู่ โดยตอนที่พวกเขาเข้ามาในบ้าน ตนเองเห็นพวกเขาเดินเข้ามาทั้งหมด 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีผู้หญิง 1 คน และมีผู้ชายยืนอยู่หน้าบ้านอีก 1 คน 

 

ส่วนปมปัญหาที่สามีเก่าของภรรยาไปติดหนี้ นายวัฒนา ยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่อง แต่ยอมรับว่าตนเอง ก็รู้จักกับนายวัฒนา เพราะนายวัฒนา เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ยืนยันก่อนหน้านี้นายวัฒนา ไม่เคยเข้ามาที่บ้าน แต่ไม่รู้ว่าก่อนเกิดเหตุพวกเขาจะมีการขับรถเข้ามาวนดูหรือไม่ ยอมรับตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะในบ้านมีเด็กและคนแก่อยู่ในบ้าน

 

จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ สภ.บ้านไผ่ โดยช่วงทีาทีมข่าวไปถึง ตำรวจชุดสืบสวนพร้อมอาวุธครบมือ ได้มีการนำกำลังกระจายออกไปไล่ล่าตัวนายวัฒนา ซึ่งหลังจากหลบหนีไป ตามข้อมูลตำรวจพบการเคลื่อนไหวในการใช้โทรศัพท์ครั้งสุดท้ายในพื้นที่ ตำบลหินตั้ง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น 

 

จากนั้นทีมข่าวได้ตามรถตำรวจที่แยกตัวออกมา โดยตำรวจชุดดังกล่าวได้มีการเข้าไปตรวจสอบบริเวณสำนักสงฆ์ และมีการสอบถามข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่ว่าเห็นกลุ่มคนประมาณ 4 - 5 คน เดินเข้ามาขอที่พักพิงหรือไม่ ซึ่งตามสำนักสงฆ์ที่ตำรวจไปตรวจสอบ ยังไม่พบเบาะแสว่ามีชาวบ้านเห็นใครเดินผ่านมาในพื้นที่

 

ต่อมาเป้าหมายที่ 2 ซึ่งตำรวจต้องเข้าไปตรวจสอบก็คือตามเถียงนาและบ้านคนที่อยู่กลางทุ่งนาและตามป่า โดยตำรวจได้มีการ ถือปืนยาวเดินไปตรวจสอบตามทุ่งนาและตามป่าในพื้นที่ ขณะที่ตำรวจอีกชุดได้มีการเข้าไปตรวจสอบบ้านต้องสงสัย ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นจุดที่แก๊งยาเสพติดที่หนีการจับกุมมักจะเข้าไปหลบซ่อนตัว

ผวา! "ป้อมลาย" ฆ่าตัดหัวคน บุกอุ้มเมียเก่าลูกหนี้หวังรีดเงิน