จากกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดมหาสารคาม โพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวการออกค่ายแบบไม่ตรงปก โดยมีนักศึกษา 4 สถาบัน กว่า 300 คน ซึ่งลักษณะหลอกว่าเป็นค่ายจิตอาสา เมื่อเข้าร่วมโครงการแล้วต้องจ่ายเงินค่าเดินทาง ค่ากินอยู่ ประมาณ 350 บาท แต่มื่อไปแล้วกลับมีคำสอนที่แปลกไปจากพระพุทธศาสนา และยังมีการทำพิธีกรรมแปลก ๆ ด้วย
ผู้เข้าร่วมค่ายรายหนึ่ง ได้บันทึกคลิปเสียงส่งให้ผู้สื่อข่าว โดยเปิดเผยว่า ที่ค่ายไม่ได้มีแค่นักศึกษา แต่ยังมีนักเรียน ม.ปลาย ด้วย ตนเองพร้อมเพื่อประมาณ 10 กว่าคน เดินทางขึ้นรถจากจังหวัดมหาสารคาม มุ่งหน้าไปที่จังหวัดมุกดาหาร ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เดินทางไปถึงค่ายประมาณเที่ยงคืน ซึ่งกิจกรรมจะจัดขึ้นในวันที่ 13-14 ก.ค. 2567 สถานที่มืดมาก ๆ มีการทำพิธีกรรมแปลก ๆ เช่น ให้พูดชื่อ เผาชื่อ และจิ้มหน้าผากเพื่อเปิดตาที่ 3 เมื่อลองค้นหาชื่อสถานที่ใน Google กลับขึ้นว่า ปิดถาวร
ในการเข้าค่ายครั้งนี้มีค่าใช้จ่าย แต่แจกเพียงน้ำ 1 ขวด จากนั้นให้ใช้วิธีกรอกเติมเอา มีการเจ็บตัวจากการเล่นฐานที่อ้างว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ไม่มีการแจ้งรายละเอียดว่ากิจกรรมในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ให้กินเจ ก้มกราบรัว ๆ เป็นร้อย ๆ ครั้ง ถามอะไรไปเหล่าทีมงานก็ตอบพล็อตเดียวกัน เหมือนกับโดนล้างสมอง บางรายอ้างว่ามีอาจารย์และคณบดีเป็นคนพาไป นอกจากนี้ยังมีการทำพาสปอร์ตสวรรค์ ซึ่งทางค่ายอ้างว่าเอาไว้ให้ยมบาลดูตอนตาย เป็นการถอดรายชื่อออกจากบัญชีของนรก เพื่อจะได้ไปสวรรค์ โดยในนั้นจะระบุข้อมูลส่วนตัวคล้ายบัตรประชาชน
โดยกิจกรรมที่เด็กจะทำ เช่น การเข้าค่าย 3 วัน 2 คืน
วันแรก
- ขึ้นรถ พาไปเที่ยว
- เดินทางไปสถานธรรม
- รับธรรมะ ทำพิธีต่าง ๆ
(ถวายผลไม้ เจิมหน้าผาก เผาชื่อ กราบต่าง ๆ)
วันที่ 2
- กราบพระเช้า
- เข้าฐานกิจกรรมทั้ง 5 ฐาน
>กินเจ
>การกตัญญูพ่อแม่
>คาถา5คำ
>ประวัติเกี่ยวกับลัทธิ
>หลักธรรมต่าง ๆ
-กราบพระเย็น
วันที่ 3
-กราบพระเช้า
-ทำกิจกรรมกลุ่ม สรุปค่าย
-เดินทางกลับ
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บริเวณสถานที่นักศึกษาระบุว่าไปเข้าค่าย ซึ่งอยู่ที่บ้านต่อเขต หมู่ 5 ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร เป็นที่ตั้งของพุทธสถานดังกล่าว เพื่อพบกับคนดูแลสถานที่ โดยภายในประกอบไปด้วยอาคารหลักตั้งอยู่ตรงกลางเป็นสถานที่ใช้ในการปฏิบัติธรรรม ภายในบริเวณรอบ ๆ จะมีโรงครัว ที่พัก ห้องน้ำจัดเตรียมไว้ สำหรับคนที่มาเข้าค่ายและปฏิบัติธรรมะ
ซึ่งจากการลงพื้นที่ไม่พบนักศึกษากลุ่มดังกล่าวแล้ว มีแต่เพียงเจ้าหน้าที่ของสมาคมฯ พักอาศัย ซึ่งนายชัชวาลย์ ประธานมูลนิธิดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เป็นข่าวว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวที่ตกเป็นข่าวนั้นเนื่องจากว่าทางผู้จัดกิจกรรมได้มาขอใช้สถานที่ โดยที่ตนเองไม่ทราบว่ากิจกรรมนั้นมีอะไรบ้าง
โดยผู้เข้าร่วมนั้นจะต้องปฎิบัติธรรมเป็นหลัก ซึ่งทางสมาคมฯ ได้กำหนดเกณฑ์ว่าผู้ที่เข้าทำกิจกรรมจะต้องทานอาหารเจเท่านั้น และห้ามนำเนื้อสัตว์เข้ามาในบริเวณสมาคมฯ โดยเด็ดขาด ซึ่งกิจกรรมที่ผ่านมานั้นมีกำหนด 2 วัน 1 คืนซึ่งทางสมาคมฯ มีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกให้
แต่ทางสมาคมฯ ก็มีค่าใช้จ่ายเช่นค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าแต่ทางสมาคมฯ ไม่ได้เรียกเก็บเพียงแต่ผู้จัดฯ จะบริจาคเข้าสมาคมฯ ซึ่งการกราบนั้นผู้ร่วมกิจกรรมต้องกราบ 100 กราบ เหมือนกันทุกคน เพราะเป็นกฏของสมาคมฯ ซึ่งสมาคมฯ ไม่ได้ตั้งลัทธิใด ๆ
ส่วนเรื่องการทำพาสปอร์ตสวรรค์นั้น ทางเราไม่มีการจัดทำแน่นอน มีเพียงแค่สมุดเล่มสีเหลืองเพื่อให้ลงชื่อคนที่จะเข้ามาปฏิบัติธรรมได้ลงชื่อไว้เท่านั้น ส่วนใครที่ไปบอกว่าเป็นพาสปอร์ตสวรรค์นั้น น่าจะเป็นการเข้าใจผิดเพราะคนที่จะไปสวรรค์ได้ตามหลักของศาสนาพุทธนิกายมหายาน คือต้องทำดีปฏิบัติดี ซึ่งข่าวที่ออกไปน่าจะเป็นการสื่อสารของคนที่พามาเข้าค่ายทำให้เข้าใจแบบผิด ๆ
ล่าสุด (16 ก.ค. 2567) ช่วงเช้า เวลา 10.00 น. ทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน จ.มหาสารคาม ซึ่งได้พูดคุยกับ ผู้ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาดังกล่าวก่อนหน้านี้ โดย น้องจริงใจ (นามสมมติ) อายุ 18 ปี ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตนเคยไปเข้าร่วมกิจกรรมค่ายจิตอาสา 3 ครั้ง ที่ จ.อุดรธานี จ.นครราชศรีมา และ จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งหมดที่พาไปทำกิจกรรมที่สถานปฏิบัติธรรม ซึ่งค่ายได้มีการในลักษณะเดียวกันทุกที่ที่พาไป ซึ่งตนถูกชักชวนจากเพื่อนที่ถูกรุ่นพี่ชวนให้ไปร่วมกิจกรรมค่ายจิตอาสาหรือค่ายคุณธรรมทั่วไป
โดยครั้งแรกจะมีการเสียเงินจำนวน 200 - 300 บาท หลังจากนั้น ครั้งต่อไปจะถูกชักชวนให้ไปเป็นพี่เลี้ยง ดูแลคนที่เข้าร่วมค่ายที่มาครั้งแรก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย สำหรับกิจกรรมของตนที่เคยไปเข้าร่วมทั้งระยะเวลา 3 วัน 2 คืน และ 1 วัน 2 คืน โดยวันแรกจะพาไปท่องเที่ยว หลังจากนั้นจะพาไปที่สถานธรรม มีการให้กินเจ ร่วมกิจกรรม 5 ฐาน เกี่ยวกับคุณธรรม ที่ไม่ใช่ไหว้พระทำบุญแบบทั่วไป ซึ่งก่อนหน้าที่มีรุ่นพี่บอกตนเพียงว่า จะพาไปเที่ยวและพาไปทำกิจกรรมจิตอาสา
สำหรับกิจกรรมในวันแรก หลังจากพาไปเที่ยวหลังจากนั้นก็พาไปสถานธรรม ถึงเดินทางถึงในช่วงค่ำ อันดับแรกจะมีการให้ทำกิจกรรมรับธรรมะ โดยไหว้พระเจ้าหลาย ๆ องค์ มีการเจิมหน้าผากเหมือนเปิดดวงตาที่สาม มีการเผาชื่อ ซึ่งการก้มกราบพระเจ้า จะเป็นการเอ่ยชื่อถึงพระนาม และจะมีการบอกให้ก้มกราบกี่ครั้ง ซึ่งจะมีคนนับและให้ตนกราบตาม โดยสั่งให้กราบ 10 กว่าองค์ โดยแต่ละองค์จะกราบไม่เท่ากัน น้อยสุด 3 ครั้ง มากสุด ถึง 100 ครั้ง
ส่วนการเจิมหน้าผากเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งในการรับธรรมะ ที่สามารถบ่งบอกการเข้าถึงสถานทำว่ามาถึงแล้ว และทางค่ายได้บอกกับตนว่า จะสามารถบอกกับทางยมทูตได้ว่าตนเคยผ่านการรับธรรมะ และยังบอกอีกว่าก่อนหน้านี้คนที่รับธรรมะแล้วสามารถตายแล้วฟื้น ตายแล้วตัวนิ่ม
ซึ่งส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรม ในการกินเจ จะมีการเปิดคลิปฆ่าสัตว์ และเปิดคลิปเกี่ยวกับพ่อแม่ แล้วบรรยายต่าง ๆ ตาม 5 หัวข้อ และอธิบายต่าง ๆ เกี่ยวกับสถานปฎิบัติธรรม และสอนท่อง คาถาเฉพาะ บทสวด 5 คำ “อุ๋ย ไท่ ฟ๋ง หมิง เล่อ” ซึ่งสั่งห้ามนำไปพูดภายนอกเป็นเด็ดขาด โดยสามารถท่องได้ทุกครั้งที่ไม่สบายใจ ซึ่งหากจะนำไปท่องด้านนอกเหมือนพวกเจ้ากรรมนายเวรจะได้ยินเป็นการบอกความลับสวรรค์
ทั้งนี้จะมีการเผารายชื่อคนที่มาร่วมกิจกรรมจากการที่ลงทะเบียนไว้ด้วย (เผาวันแรก) ส่วนในเรื่องของพาสปอร์ตสวรรค์ เหมือนเป็นการไว้สำหรับยื่นตอนลงนรก ได้มีการผ่านค่ายและมีการรับธรรมะ ซึ่งจะได้รับพาสปอร์ตหลังจากการทำกิจกรรม ซึ่งรายละเอียดพาสปอร์ตนั้นจะมีการพิมพ์มาให้เป็นชื่อของตน และสังกัดสถานทำ และชื่อของบ้านชมรมไหนและใครเป็นคนเชิญชวน
สำหรับต้นค่อนข้างที่จะเชื่อในก่อนหน้านี้ เพราะคนที่ไปร่วมกิจกรรมส่วนใดมีอาชีพหน้าที่การงานที่ดี มีรายได้ดี น่าจะเชื่อถือได้โดยตนคิดว่าคนที่ทำงานลักษณะนี้ไม่น่าจะเชื่ออะไรง่าย ๆ ซึ่งตนจากการไปครั้งแรก ก็ได้เกิดความสงสัยว่าเป็นหลักศาสนา แต่ทำไมทุกศาสนาถึง สามารถนับถือได้ ช่วยเค้าบอกว่าศาสนาสอนให้เป็นคนดีซึ่งที่นี่ก็สอนให้เป็นคนดีเช่นกัน
อีกทั้งคนที่เป็นอาจารย์ในค่ายจะแทนตนเองว่าผู้น้อย และตัวเราเองก็ต้องแทนว่า ผู้น้อยเช่นเดียวกัน ซึ่งทางค่ายไม่ได้แทนตนเองว่าลัทธิ ซึ่งแทนตัวเองว่าสถานธรรม และเรียกความเชื่อของตนว่า “อนุตรธรรม” ซึ่งจากการที่ทราบข้อมูลก็รู้มาว่าสถานที่เช่นนี้มีทั่วประเทศไทย โดยเพื่อนของตนก็มีคนที่หลงเชื่อเข้าไปใช้ชีวิตกับสถานธรรมและชมรมอย่างเต็มตัว ซึ่งตัวชมรม จะอยู่ด้านนอกมหาลัย จะเป็นบุคลากรของมหาลัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และนอกจากนี้ยังมีรุ่นพี่มหาลัยเดียวกัน และต่างมหาลัยด้วย ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ที่เข้ามาร่วมกิจกรรม รวมๆแล้ว ประมาณ 200-300 คน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมค่อนข้างบ่อย บางครั้งเดือนนึง 2-3 ครั้ง โดยจะมีการเรียกเก็บเงินกับคนที่ที่ไปครั้งแรก ส่วนครั้งต่อไปหากไปเป็นพี่เลี้ยงไม่ต้องเสียเงินโดยจะให้ช่วยดูแลคนในค่ายที่ไปร่วมกิจกรรม
ส่วนการเจิมหน้าผากต่างๆ คือ การรับธรรมะส่วนฐานการเรียนรู้ 5 ฐาน คนละส่วน โดยทุกคนต้องกราบ ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่ไหว นอกจากนี้ในส่วนของบ้านชมรมที่ตนไป ต้องทำความเคารพกราบทุกครั้ง เหมือนไหว้พระตอนเย็น และต้องร่วมกินข้าว เป็นอาหารเจที่ไปช่วยกันทำ ซึ่งมี สมาชิกรุ่นพี่ ประมาณ 10 คน โดยรอบๆมหาลัยที่ตนรู้จัก มีบ้านชมรมประมาณ 2 ที่
นอกจากนี้พบว่า มีการรายงานข่าวลัทธิประหลาดบุกโรงเรียนมัธยม เมื่อปี 2565 โดยในกิจกรรมมีการเปิดภาพคนตายให้เหล่านักเรียนดู ทำให้นักเรียนบางคนทนดูไม่ได้และร้องให้วิ่งออกไป อีกทั้งยังมีการเขียนชื่อแต่ละคนใส่กระดาษคล้ายกับปิดประตูนรก แล้วให้ไปเผากระดาษเพื่อจะได้ไม่มีชื่อให้ยมบาล กระทั่งปี 2567 ลัทธินี้ไม่ได้สูญสลายไปแต่มีการเข้าแทรกซึมมายังนักศึกษาต่างตรงที่จากเปิดภาพศพสวยให้ดูเป็นภาพฆ่าสัตว์เพื่อขอให้กินเจ
นายธนวัฒน์ รองประธานเครือข่ายโรงเรียนแห่งหนึ่ง จ.อุบลราชธานี เผยว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมีรุ่นพี่ชวนตนไปร่วมกิจกรรมดังกล่าว แล้วก็มีทำกิจกรรมกับลัทธินี้ ซึ่งแฝงมาจากผู้ปกครองของนักเรียน โดยตอนนั้นตนอยู่ ม.5 ถ้าไม่เข้ากิจกรรมลัทธินี้จะโดนตัดคะแนน ตนเลยต้องเข้าร่วม ซึ่งตนคิดว่าลัทธินี้จะจบไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีมาถึงปัจจุบัน
ขณะที่กลุ่มนักเรียนโรงเรียนดังกล่าว เผยว่า ตอนที่เป็นข่าวเมื่อปี 2565 ตอนนั้นให้นักเรียน ม.5 เข้าร่วมกิจกรรม ถ้าไม่เข้าก็จะโดนตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งทุกคนจึงต้องจำใจเข้า ผลกระทบค่อนข้างหนักโดยเฉพาะในโซเชียล ทพให้ทางโรงเรียนไม่ให้จัดกิจกรรมลัทธินี้อีกเลย