จากกรณีวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 มีรายงานพบศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ภายในโรงแรมดัง ย่านราชประสงค์ เบื้องต้นทราบเป็นชาวเวียดนาม สัญชาติอเมริกัน มีรายงานว่าการเสียชีวิตครั้งนี้เกิดจากการใช้สารพิษนั้น

 

ต่อมา โดยช่วงเวลาประมาณ 23.40 น. เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครกู้ภัยของมูลนิธิร่วมกตัญญู ได้ดำเนินการสร้างของผู้เสียชีวิตทั้งหกราย โดยได้ใช้รถกู้ภัยจำนวนสี่คันในการเคลื่อนย้ายร่างของผู้เสียชีวิตหกราย นำส่งโรงพยาบาลจุฬาเพื่อทำการชันสูตร โดยทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายโบ๊ท อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู (ดารา48) โดยได้เปิดเผยการทำงานให้กับทีมข่าวฟังว่า

 

“ โดยในวันนี้ทีมของกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญูก็ได้เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการดำเนินการเคลื่อนย้ายร่างของผู้เสียชีวิตทั้งหมดออกลายนำส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลจุฬา ซึ่งในเบื้องต้นจากการตรวจสอบก็พบว่าผู้เสียชีวิตทั้งหกรายไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือการถูกทำร้ายโดยสภาพศพของผู้เสียชีวิตทั้งหกรายนั้น ได้เสียชีวิตมาประมาณ 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหกล่างก็มีสภาพที่คล้ายกัน คือมีเลือดออกบริเวณตาหูจมูกและปากหรือตามทวารทั้งหมด 

 

ซึ่งจากประสบการณ์แล้วนั้นสภาพศพที่เป็นลักษณะนี้น่าจะมาจากการถูกวางยาพิษ หรือการดื่มกินยาพิษเข้าไป โดยสภาพในห้องไม่มีการรื้อขนและไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ในส่วนเรื่องจะมีบุคคลอื่นหรือไม่หรือมีการวางยาในลักษณะใดนั้นต้องให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนต่อไป

 

ทั้งนี้การแต่งกายของผู้เสียชีวิตทั้งหกรายนั้นก็ดูลักษณะการแต่งกายแบบเรียบง่ายการแต่งกายอยู่บ้านในลักษณะเสื้อยืดกางเกงขาสั้นทั้งหกราย โดยจากการคาดคะเนของตนเองแล้วนั้นคือน่าจะมีการเสียชีวิตมาประมาณ 24 ชั่วโมงเนื่องจากตามข้อมูลคนกลุ่มนี้ได้มีการสั่งอาหารในช่วงประมาณ 13.00 น. ของเมื่อวาน แต่สภาพอาหารในห้องนั้นยังมีการแร็พด้วยพลาสติก และยังมีการแกะเพื่อรับประทานมีสิ่งเดียวที่แกะก็คือต้มยำกุ้ง และมีการกินไปเพียงเล็กน้อย ในส่วนอื่นซึ่งเป็นเครื่องดื่มหรือสิ่งอื่นนั้นตนเองก็ไม่ทราบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเก็บตัวอย่างเพื่อนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง และในส่วนข้อมูลเชิงลึกนั้นต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการต่อเนื่อง ในการสืบสวนสอบสวนถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้”

 

วันนี้ 17 ก.ค. 67 เวลา 15:00 น. ที่นิติเวชจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดี คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย พร้อมด้วย รศ.นพ.กรเกียรติ วงศ์ไพศาลสิน หัวหน้าภาควิชานิติเวชศาสตร์ และผอ.ศูนย์อำนวยการชันสูตรพลิกศพ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงผลการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นของแพทย์นิติเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาด จากการชันสูตรพลิกศพร่างผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติทั้ง 6 ราย ที่โรงแรมหรู ย่านราชประสงค์ เมื่อวานนี้

 

รศ.นพ.กรเกียรติ เปิดเผยว่า เราได้มีส่วนร่วมในการชันสูตรในการตรวจสถานที่ของที่เกิดเหตุ และมีการนำร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมด มาทำการตรวจชันสูตร ที่ภาควิชา และชันสูตรศพที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศพทั้งหมด 6 ราย ประกอบด้วย ผู้หญิง 3 ราย และ ผู้ชาย 3 ราย โดยการชันสูตรในกรณี คือ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ซึ่งพบว่า 6 ร่างที่เสียชีวิต ทราบชื่อนามสกุลทั้งหมด รวมถึงเชื้อชาติที่ได้จากหลักฐานร่วมกับทางพนักงานสอบสวน ประกอบด้วย ชาวเวียดนาม 4 ราย และสัญชาติอเมริกันอีก 2 ราย 

 

นอกจากนี้ การพิสูจน์เรื่องระยะเวลาการเสียชีวิต โดยการชันสูตร มีการประเมินตั้งแต่ในช่วงการตรวจพื้นที่เกิดเหตุที่โรงแรม ซึ่งในเบื้องต้นที่ทางแพทย์ได้เข้าไปดูศพ ประเมินระยะเวลาการเสียชีวิตทั้งหมด 12 - 24 ชั่วโมง ซึ่งการประเมินได้มาจากการตรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการแข็งตัวของกล้ามเนื้อในร่างกาย หรือการตกสู่เบื้องต่ำของเม็ดเลือด 

 

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของทุกราย มีการเก็บภาพหลักฐานของผู้เสียชีวิต โดยเก็บตัวอย่างเลือด และปัสสาวะเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต และได้ดำเนินการตรวจ CT สแกน เพื่อหาร่องรอยการถูกทำร้ายหรือการบาดเจ็บ โดยเบื้องต้นไม่พบร่องรอยของการถูกทำร้าย จากการตรวจภาพฉายรังสีทั้งหมด 

 

รศ.นพ.กรเกียรติ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พบจากศพทั้ง 6 ร่าง มีริมฝีปากเป็นสีม่วงเข้ม ใบหน้าและการตกเลือดเป็นลักษณะพิเศษ มีการบ่งชี้ว่า อาจจะมีการเสียชีวิตในเรื่องของการขาดอากาศหายใจเกิดขึ้นร่วมด้วย คุณลักษณะที่พบอีกอย่างในการตรวจสอบ คือ การตกสูงเบื้องต่ำของเลือดพบว่า เป็นสีแดงค่อนข้างแดงสด และมีอาการคลั่งเลือดในอวัยวะภายใน ซึ่งแตกต่างจากเคสทั่วไปในการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย 

 

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของทุกรายเป็นการสันนิษฐานจากการตรวจมาจากพิษของสารอันตรายผ่านระดับเซลล์ เข้าสู่ระบบประสาท และหัวใจ เมื่อนำเลือดไปตรวจพิสูจน์คัดกรอง พบสารไซยาไนด์ และมีการนำไปตรวจย้ำอีกครั้ง เป็นผลบวก ทำให้แพทย์ตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า การเสียชีวิตอาจจะมีสารพิษดังกล่าว จึงจะต้องรอผลการตรวจเลือดยืนยันอีกครั้งอย่างละเอียด อาจจะใช้ระยะเวลา 1-2 วันต่อจากนี้ ว่ามีสารพิษชนิดอื่นด้วยหรือไม่

 

ด้าน รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวถึงการลำดับผู้เสียชีวิต ว่าใครเสียชีวิตก่อนหรือหลังนั้น ไม่สามารถแยกได้ เนื่องจาก เราตรวจสอบจากการแข็งตัวกล้ามเนื้อ และการตกเลือด ที่บ่งบอกได้แค่ช่วงเวลาเท่านั้น แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียชีวิตกี่โมง พร้อมยอมรับว่า การตามหาสารไซยาไนด์บนพื้นผิวของร่างกาย ต้องใช้ของเหลวในการสกัด แต่ครั้งนี้ทีมแพทย์ได้ใช้เลือดในร่างกายของผู้เสียชีวิตในการตรวจ 

 

รศ.นพ.ฉันชาย อธิบายอีกว่า ปกติแล้วการรับสารพิษไซยาไนด์ หากรับในระดับ 3 มิลลิกรัมต่อเลือด 1 CC จะเสียชีวิตทุกราย แต่กรณีนี้ต้องดูจากผลเลือดอีกครั้ง ให้คาดการณ์ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ถ้าทำให้เสียชีวิต ต้องมีปริมาณที่สูงนิดหนึ่งซึ่งต้องมากกว่า 3 มิลลิกรัม

 

ส่วนคนที่ได้รับสารไซยาไนด์ขึ้นอยู่กับปริมาณ และวิธีการนำสู่ร่างกาย เช่น การสูดดม การรับประทานมเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วมักเกิดขึ้น เหนื่อย หอบ หมดสติ ชักเกร็ง นับเวลาเป็นนาทีได้ ล้มลง และเสียชีวิตเลย ขาดออกซิเจนเฉียบพลัน หรือบางคนได้รับปริมาณที่น้อย มีอาการ คลื่นไส้อาเจียน ใช้เวลากว่าจะเสียชีวิต 

 

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวถึงที่มาของสารไซยาไนด์ว่า ตำรวจได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น คือเตรียมการนำเข้ามาก่อนเข้าประเทศไทย หรือหาซื้อในประเทศ ผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งได้สั่งการให้ตรวจสอบย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. ที่กลุ่มผู้เสียชีวิตเริ่มเดินทางเข้าประเทศไปจนถึงวันที่ 12 ก.ค. และยอมรับว่า ขณะเดินทางผ่าน ตม.ไม่สามารถตรวจหาสารเหล่านี้ได้ รวมถึงไม่สามารถยืนยันว่า ผู้ใดคือผู้นำเข้า ต้องรอการสืบสวนให้เสร็จสิ้นชัดเจนก่อน 

 

สำหรับขั้นตอนหลังจากชันสูตรแล้ว ตำรวจจะรอรายงานผลการชันสูตรจากทางแพทย์เพื่อนำไปประกอบในสำนวน ส่วนครอบครัวที่ติดต่อมาขอรับศพ มีเพียงครอบครัวของสามีภรรยาที่เสียชีวิตที่มาสอบปากคำที่ สน. ลุมพินี ในวันนี้

 

ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับหลักฐานสำคัญเป็นกล้องวงจรปิดในวันที่ 15 ก.ค.

โดยคลิปที่ 1 กลุ่มผู้ตายสั่งให้พนักงานโรงแรมมาส่งอาหารที่ห้องพัก

คลิปที่ 2 แก๊งเวียดนามเข้าห้อง 14.17 หลังจากนั้นไม่มีใครเข้ามาอีกเลย

 

ช่วงเย็นที่ผ่านมา ชุดสืบสวนนครบาล นำตัง Mr. PHAN NGOC VU (ฟาน หง็อก หวู) อายุ 35 ปี สัญชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นไกด์ให้กับกลุ่มผู้เสียชีวิตมาทำการสอบปากคำ ที่สน.ลุมพินี

 

โดยนักข่าวพยายามสอบถาม ไกด์คนนี้ ตอบคำถามสั้นๆว่า ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไร ไม่เคยเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มาก่อน แต่รู้จักเพียงแค่1คนในกลุ่มผู้เสียชีวิตจากปีที่แล้ว แต่ไม่ตอบคำถามเรื่องพาไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ได้พูดคุยอะไรบ้าง แต่เป็นการตอบคำถามด้วยน้ำเสียงดูแข็งกร้าว

 

แนวทางการสืบสวนพบว่า นายฟาน หง็อก หวู ไกด์คนนี้ วันที่ 3-5 ก.ค. นางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน (หมายเลข2) ใช้ไกด์คนนี้ ซื้อยาไปให้ ในราคายา 11,000 บาท โดยบอกว่าเป็น ‘ยางูหมายเลข7’ 

 

แต่นายฟานไกด์คนดังกล่าว พอรับออเดอร์มา ก็ไปสั่งต่อกับคนชื่อ ‘ไทเกอร์’ แล้วให้ไทเกอร์ประสานงานกับ นางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน โดยตรงว่าให้ไปส่งที่ไหน จากนั้นไทเกอร์ ก็เอาไปส่งที่โรงแรม

 

ขณะนี้ชุดสืบสวน อยู่ระหว่างการตรวจสอบแกะรอยกล้องวงจรปิด และหาว่าไทเกอร์ คือใคร จากนั้น ยังพบข้อมูลอีกว่า วันที่ 9 ก.ค. สามีของนางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน ซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น

 

ได้ประสานงานมาทาง นายฟาน ไกด์คนนี้ บอกว่าให้ไปแลกเงิน ให้กับ น้องสาวของนางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน คือบุคคลหมายเลข7 ที่บินกลับประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 10 ก.ค.

 

โดยให้นำเงินดอง จำนวน 70 ล้านดอง ไปแลกได้เป็นเงินไทยได้มากว่า 90,000บาท จากนั้นนายฟาน ก็ถือเอาเงินไปให้ บุคคลหมายเลข 7 ซึ่งขณะนั้นพบว่า อยู่กับชายสัญชาติอเมริกัน บุคคลหมายเลข 4 ที่เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต ที่โรงแรม แกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยต์ ราชดำริ หลังจากได้เงินวัน ถัดมาบุคคลหญิงหมายเลข 7 ก็บินกลับดานังไป

 

มีรายงานแนวทางการสืบสวน จากการสอบถามข้อมูลไกด์ขาวเวียดนาม พบว่า ‘ยางู’ คือ ยาบำรุงร่างกายที่มักจะนิยมรับประทานกันในกลุ่มคนเวียดนามมาเป็นระยะกว่า 10 ปี และยาดังกล่าวนั้นจะขายในประเทศไทยเท่านั้น ทำให้คนเวียดนามที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยมักจะฝากซื้อ หรือ ฝากไกด์ซื้อเพื่อการบริโภค มีการหาซื้อในย่านลาดกระบัง ทั้งนี้ยาชนิดนี้เป็นกระปุกมีหลาย ๆ สี เลยมีการเรียกเป็นหมายเลข และรู้กันเฉพาะในกลุ่มคนเวียดนาม 

 

ขณะเดียวกันชุดสืบสวนมีข้อมูลว่า บุคคลหมายเลข 2 ที่มีการสั่งให้ไกด์ไปซื้อยาตรางูนั้นมีอาการป่วยไม่สบาย จึงต้องการบริโภคยาดังกล่าว

 

มีรายงานจากชุดสืบสวน ในการไปตรวจสอบที่มาของ ‘ยางูหมายเลข7’ ที่นายฟาน หง็อก หวู ไกด์ชาวเวียดนามของกลุ่มผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลว่า วันที่ 3-5 ก.ค. นางสาว นางสาว ถิ เหงียน ฟอง หลั่น (หมายเลข2) ใช้ไกด์ไปซื้อยางู ในราคายา 11,000 บาท จากนั้นจึงได้ ไปสั่งต่อกับคนชื่อ ‘ไทเกอร์’ แล้วให้ไทเกอร์ประสานงานกับ นางสาว ถิ เหงียน ฟอง หลั่น โดยตรงว่าให้ไปส่งที่ไหน จากนั้นไทเกอร์ ก็เอาไปส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งจากการแกะรอยตอนนี้ เบื้องต้น พบว่า มีบุคคลที่ใส่เสื้อวินรถจักรยานยนต์ ถือถุงคล้ายร้านสะดวกซื้อขนาดไม่ใหญ่มาก คาดว่าเป็นถุงยางู มาวางไว้โต๊ะบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม คล้ายกับมาส่ง จากนั้นก็มีคนมารับยาตัวนี้ไป อยู่ระหว่างการเร่งแกะรอยว่าใครมารับยาดังกล่าวที่วางไว้ไป

 

ทีมข่าวได้โทรสอบถามคุณแอนนา (นามสมมติ) เจ้าของร้านขายยาแผนโบราณ เรื่องการซื้อยางูหมายเลข 7 และสรรพคุณของยางู คุณแอนนา บอกว่า ยางู เป็นยาลูกกลอน มีหลายสรรพคุณ ยางูหมายเลข 7 จะมีผู้ผลิต 2 บริษัท โดยสรรพคุณจะไม่ต่างกัน มีสองราคา ขวดเล็ก 4 พัน (16 เม็ด) / ขวดใหญ่ 5,800 บาท (50 เม็ด)

 

ฆาตกรใส่ไซยาไนด์ในใบชา

วันนี้ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ. ได้เข้าฟังบรรยายการตรวจวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุที่โรงแรมชื่อดังย่านราชประสงค์ หลังพบชาวต่างชาติเสียชีวิต 6 ศพ ที่นำมาตรวจเมื่อคืนนี้ (16 ก.ค.) ตรวจสอบเบื้องต้น พบแก้วทั้ง 5 ใบที่อยู่บนโต๊ะชา และแก้วอีก 1 ใบที่พบบนโต๊ะกินข้าว พบว่ามีสารไซยาไนด์ และจะมีอีกรายการที่สงสัย เพราะว่าตรวจเจอในน้ำชาที่อยู่ในกาโลหะ ซึ่งมีทั้งหมด 3 กาโลหะ มี 2 กาโลหะที่ตรวจไม่เจอ อีก 1 กาโลหะที่ตรวจพบว่ามีสารไซยาไนด์ปน และพบถุงชาที่มีสารไซยาไนด์อยู่ในนั้น ขณะที่ถุงชาอีก 1 ถุง พบในถังขยะพบสารไซยาไนด์ลักษณะเช่นเดียวกัน เนื่องจากถุงชามีสีเข้มถึงดำ ส่วนรายการอื่นๆ เบื้องต้นไม่พบสารไซยาไนด์เลย

 

“สำหรับการออกฤทธิ์ของสารไซยาไนด์ เมื่อถูกผสมน้ำ จะไม่มีรสชาติ ไม่มีกลิ่น ผู้ดื่มไม่สารมารถรู้ได้ และเมื่อดื่มสารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เม็ดเลือดไม่แลกเปลี่ยนออกซิเจน โดยออกฤทธิ์ไม่ถึง 5 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณ และเมื่อเสียชีวิตตามร่างกายผิวจะออกสีชมพู ลมหายใจจะมีกลิ่นอัลมอนด์“

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวช่องแปดได้รับคลิป ซึ่งมีการถ่ายบันทึกและใช้เป็นรีวิว สำหรับให้ลูกค้าดูห้องก่อนที่จะจองหรือ เข้าพัก โดยเป็นคลิปที่มีการถ่ายบันทึกเอาไว้ก่อนที่จะเกิดเหตุ หลายเดือนก่อน โดยเป็นห้องโซนเดียวกัน โซนการ์เด้นบริเวณชั้น 5 ซึ่งห้องพักแบบดังกล่าว จะมีเพียง ไม่ถึง 7 ห้อง เพราะเป็นห้องชนิดพิเศษที่มีสวนอยู่ภายในตัว และการเข้าออกห้องก็จะต้องเดินเชื่อม ผ่านสวนส่วนกลางที่ติดกับสระว่ายน้ำ 

 

โดยคลิปได้มีการถ่ายบันทึกห้อง โซนการ์เด้น ซึ่งจะสังเกตว่าหลังจากมีการเปิดประตูเข้าไป ก็จะพบว่าประตูทางหลัก จะมีโซฟาอยู่ฝั่งขวา และโต๊ะนั่งจิบชาอยู่ฝั่งซ้าย เมื่อผ่านจากส่วนรับแขกเข้าไปแล้วจะเป็นส่วนของห้องนอน ที่ติดอยู่กับสวนด้านหลัง หากมีการเปิดผ้าม่านก็จะมองเห็นวิวสวน และฝั่งที่ติดกับห้องนอนก็จะเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัว โดยลักษณะการจัดวางและ รูปแบบของห้องส่วนการ์เด้นจะมีความคล้ายกันทั้งหมด รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของตกแต่ง 

 

ทีมข่าวจึงได้รับเป็นคลิปวิดีโอและรวมถึงภาพนิ่ง ซึ่งเป็นลักษณะสภาพห้อง ส่วนของการ์เด้นคล้ายกับห้องที่เกิดเหตุ

 

ทั้งนี้มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า จากการสอบปากคำพนักงานเสิร์ฟของโรงแรม พบว่าวันที่ 15 ก.ค. ระหว่างที่พนักงานเสิร์ฟเอาอาหารเข้าไปเสิร์ฟ ก็พบกับนางสาวเชอรีน อยู่ในห้อง และระหว่างพนักงานเสิร์ฟยืนรอให้เซ็นต์บิลค่าอาหาร ก็เห็นผู้หญิงคนนี้ไปหยิบอะไรบางอย่าง ตอนแรกเข้าใจว่าไปหยิบทิปมาให้ แต่พอกลับมาก็มาเซ็นบิลปกติ ไม่ได้ยืนทริปให้ แต่จากการสังเกต เห็นผู้หญิงคนนี้นั่งเก้าอี้โยกอยู่คนเดียวในลักษณะเคร่งเครียด

 

ต่อมาผู้เสียชีวิตอีก 5 คนเข้าไปในห้องดังกล่าว จนไม่มีใครพบเห็นอีก จนกระทั่งเช้าวันต่อมา ไปเคาะเรียกไม่มีใครเปิดประตู จึงได้ส่งโน๊ตเข้าไป แล้วก็ยังไม่มีใครเปิดประตูจนเวลาบ่าย 2 จึงได้เข้าไปตรวจสอบภายในห้องพักจากด้านหลังและพบเป็นศพเสียชีวิต

 

ขณะเดียวกัน ทางชุดสืบสวน แม้จะพบว่าให้น้ำหนักผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุวางยาคือนางสาวเชอรีน แต่ปรากฎว่ายังมี ผู้ต้องสงสัยอีก 2 คนคือ ธิ เหงียน เฟือง ลาน (ผู้เสียชีวิตเสื้อชมพู) ซึ่งพบว่า อยู่ภายในห้องที่เกิดเหตุคนเดียวนานที่สุด ส่วนนายฮุง ดัง วาน สัญชาติอเมริกา ตรวจสอบแล้วไม่พบว่ามีประวัติหรือทำธุรกิจในประเทศไทย จึงได้สั่งให้ตำรวจ บก.น.5 นำแก้วไปตรวจดีเอ็นเอเพื่อหาลายนิ้วมือแฝง ว่าใครเป็นบุคคลที่ลงมือวางยากันแน่

 

ช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชากาตำรวจนครบาล /พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมชุดสืบสวนคลี่คลายคดี ร่วมประชุมคงามคืบหน้าทางคดีการเสียชีวิตของ 6 ศพชาวเวียดนาม ในโรงแรมหรูย่านราชประสงค์ พร้อมตรวจสอบพยานหลักฐานที่ตรวจสอบได้จากที่เกิดเหตุทั้งกล้องวงจรปิด และวัตถุพยานสำคัญ กระเป๋าเดินทาง 8 ใบ และกระเป๋าเป้ 1ใบ รวมถึงผลการสอบปากคำญาติของผู้เสียชีวิตด้วย 

 

หลังใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ได้แถลงข่าวความคืบหน้าทางคดี พล.ต.ต.นพศิลป์ เปิดเผนว่า ขณะนี้ได้ทำการตรวจชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ เก็บพยานหลักฐาน และสืบสวนสอบสวน ซักถามพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง พยานแวดล้อม และญาติผู้เสียชีวิต มากกว่า 10 ปาก รวมถึงตรวจหลักฐานกระเป๋าเสื้อผ้า 8 ใบ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปข้อมูลได้ ดังนี้

 

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย มีข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศไทยและการเข้าพักที่โรงแรมนี้ โดยตำรวจขอใช้ตัวเลขและลำดับชื่อตามนี้ คือ

1.นางสาว ธิ เหงียน เฟือง อายุ 46 ปี สัญชาติเวียดนาม สวมใส่เสื้อสีขาว พบเสียชีวิตใกล้ประตูห้อง เดินทางเข้าไทยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 13.48 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเคยเดินทางมาแล้ว 3 ครั้ง

 

2.นางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน อายุ 47 ปี สัญชาติเวียดนาม สวมใส่เสื้อสีชมพู พบเสียชีวิตภายในห้องนอน เดินทางเข้าไทยวันที่ 4 กรกฎาคม เวลา 12.56 น. จากเมืองดานัง โดยเคยเดินทางมาแล้ว 17 ครั้ง

 

3.นายดิน ซาน ฟู อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม พบเสียชีวิตใกล้กันกับผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง และผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 นายฮุง ดัง วาน เดินทางเข้าไทยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 12.28 น. จากเมืองดานัง โดยเคยเดินทางมาแล้ว 11 ครั้ง

 

4.นายฮุง ดัง วาน อายุ 55 ปี สัญชาติอเมริกัน ใส่เสื้อสีกรมท่า พบเสียชีวิตใกล้กับผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง เดินทางเข้าไทยครั้งแรก วันที่ 7 กรกฎาคม เวลา 09.55 น. จากเมืองไทเป ไต้หวัน

 

5.นางสาวเชอรีน ชอง อายุ 56 ปี สัญชาติอเมริกัน พบเสียชีวิตบริเวณโต๊ะอาหาร เดินทางเข้าไทยวันที่ 5 กรกฎาคม เวลา 13.05 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเคยเดินทางมาแล้ว 5 ครั้ง และนางสาวเชอรีน เป็นผู้ที่เข้าพักห้อง 502 ซึ่งเป็นห้องที่เกิดเหตุ

 

6.นายฮง ฟาม ธาน อายุ 49 ปี สัญชาติเวียดนาม เป็นสามีของผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 นางสาวธิ เหงียน เฟือง พบเสียชีวิตในห้องนอน เดินทางเข้าไทยครั้งแรก โดยมาพร้อมกันกับภรรยา วันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 13.48 น. จากเมืองโฮจิมินห์ โดยเป็นคนที่ไม่ปรากฎรายชื่อเช็กอินเข้าพักที่โรงแรม เนื่องจากใช้ชื่อของภรรยาในการจองห้องเข้าพัก

 

ส่วนกรณีที่มีข้อมูลว่า มีการจองโรงแรมเพื่อเข้าพัก 7 คนนั้น จากการตรวจสอบของ ตม. พบว่า คนที่ 7 เป็นน้องสาวของผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ก็คือนางสาว ธิ เหงียน เฟือง ลาน ซึ่งเดินทางเข้าไทยมาพร้อมกับพี่สาวเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม แต่เดินทางกลับไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่งทาง ตม. อยู่ระหว่างประสานเพื่อสอบถามสาเหตุของการเดินทางกลับก่อน และขณะนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดเหตุ

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบว่า ทุกคนได้มาเช็กอินเข้าพักด้วยตัวเอง และไม่มีบุคคลอื่นที่เข้าไปพักด้วยเลย และภาพจากกล้องวันที่ 14-15 ก.ค. ตามไทม์ไลน์ที่เกิดเหตุ ณ เวลานี้สามารถยืนยันได้ว่า ‘ไม่ได้มีบุคคลอื่น นอกเหนือจาก 6 คนนี้ ที่เข้าไปในห้อง 502 ที่เกิดเหตุเลย ทั้งทางประตูหน้าและประตูหลัง นอกจากพนักงานเสิร์ฟอาหาร’ ที่ได้เรียกมาให้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว

 

พล.ต.ต.นพศิลป์ ยังระบุอีกว่า วันที่พบศพ คือวันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 16.30 น. พนักงานโรงแรมได้เข้าไปตรวจสอบ เพราะเลยเวลาเช็กเอาท์แล้ว พอส่องไฟไปที่ใต้ประตูพบมีคนนอนอยู่ นึกว่าเป็นลม จึงไปนำเครื่องปั๊มหัวใจ แต่ประด้านหน้าห้องล็อกจากด้านใน จึงอ้อมไปด้านหลัง พบทั้ง 6 คนเสียชีวิต จึงมาเปิดประตูด้านหน้า เรียกเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

 

โดยเหตุการณ์ไล่เรียงจากไทม์ไลน์กล้องวงจรปิด ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. พบว่า ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 คือนางสาวเชอรีน เป็นผู้เข้าพักห้องที่เกิดเหตุ โดยอีก 5 คน เข้ามาที่ห้องนี้ช่วง 23.00-24.00 น. แล้วแยกย้ายกลับห้องตัวเอง พอวันที่ 15 ก.ค. ทั้งหมดได้ขนกระเป๋ามารวมกันที่ห้อง 502 หลังจากเช็คเอาท์ห้องอื่นๆ 

 

โดยผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 ได้สั่งอาหารจากโรงแรม ตอนเวลา 11.42 น. โดยสั่งข้าวผัด 5 จาน / ต้มยำกุ้ง 4 จาน / ผัดผัก 4 จาน / ผัดผักบุ้ง 1 จาน / และชาร้อนอังกฤษ 2 กา พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ ต่อมา ผู้เสียชีวิตหมายเลข 3 ได้สั่งอาหารเพิ่มเป็นข้าวผัด 1 จาน ขอให้มาส่งที่ห้องเวลา 14.00 น. ซึ่งพนักงานเสิร์ฟ ได้มาส่งอาหารเวลา 13.51 น. ใช้เวลาเข้าไปเสิร์ฟอาหาร 6 นาที ซึ่งจากการสอบปากคำพนักงานเสิร์ฟ บอกว่า ตอนเข้าไป พบเพียงแค่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ซึ่งพนักงานบอกว่าจะขอชงชาให้ แต่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 บอกว่าไม่ต้อง ขอจัดการเอง

 

ทั้งนี้ พนักงานเสิร์ฟให้การว่า สังเกตเห็นว่าผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 มีอาการค่อนข้างเครียด ไม่ยิ้มแย้ม ขนาดพนักงานเสิร์ฟแซวว่า แต่งชุดสวย ก็ยังไม่ยิ้ม หลังพนักงานเสิร์ฟกลับออกมา ตอนเวลา 13.57 หลังจากนั้น ตั้งแต่เวลา 14.03 น. ผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาที่ห้อง 502 และหลังจากนั้นไม่พบใครเข้าออกอีกเลยจนกระทั่งพบศพ

 

ขณะที่ผลการตรวจของ พฐ. ในเบื้องต้น พบว่า ที่กระติกชา และแก้วทั้ง 6 ใบในห้องพัก พบสารไซยาไนด์ ดังนั้น ขณะนี้ ฝ่ายสืบสวนจึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต ได้ก่อเหตุใช้สารไซยาไนด์ผสมกับเครื่องดื่มหลังจากที่พนักงานเสิร์ฟกลับออกมา ซึ่งหลังจากนี้ จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลเพิ่มเติม โดยอยู่ระหว่างรอผลพิสูจน์หลักฐานทั้งหมด / ผลชันสูตรศพ / ดีเอ็นเอลายนิ้วมือแฝง / รวมถึงได้ประสานกับสถานทูตเวียดนาม / สถานทูตสหรัฐอเมริกา / และ FBI เข้ามาร่วมคลี่คลายด้วย

 

ส่วนญาติของผู้เสียชีวิตบางส่วน ได้เรียกมาสอบปากคำแล้วเมื่อคืนนี้ ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งของกลุ่มผู้เสียชีวิต ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตเชื่อว่ามี 1 ใน 6 คนที่ทำให้เกิดเหตุขึ้น ไม่ได้ติดใจในประเด็นอื่น

 

ส่วนที่มาของสารไซยาไนด์ที่พบก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ว่าเป็นการนำเข้ามา หรือมาสั่งซื้อในประเทศไทยอย่างไร รวมไปถึงมาที่โรงอรมได้อย่างไน และหีบห่อที่บรรจุสารดังกล่าวก่อนผสมในเครื่องดื่ม ก็ต้องรอผลอย่างละเอียดจาก พฐ. อีกครั้ง

 

พล.ต.ต.นพศิลป์ บอกอีกว่า จากการสอบปากคำญาติให้ข้อมูลว่า ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ได้ให้ผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 เป็นนายหน้าไปชักชวนผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 ที่เป็นภรรยาของผู้เสียชีวิตหมายเลข 6 โดยสามีภรรยาคู่นี้ ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทำถนนที่ประเทศเวียดนาม 

 

จากนั้น มีการไปชักชวนเพื่อให้สองสามีภรรยามาร่วมลงทุนการก่อสร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดมูลค่าเป็นเงินไทย 10 ล้านบาท แต่ต่อมาไม่เห็นความคืบหน้าของการลงทุนดังกล่าว ผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 และผู้เสียชีวิตหมายเลข 6 จึงได้ทวงถามมาตลอด 

 

จนล่าสุดทั้งหมดมีการนัดหมายจะไปเคลียร์เรื่องนี้กันที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ก็มีสามีทำธุรกิจอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่า จึงเปลี่ยนมาที่ประเทศไทยแทน และทราบว่าทั้งหมดมีแพลนที่จะไปไหว้พระที่วัดยานนาวาด้วย ทั้งนี้ ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวของทั้ง 6 คน ไม่ได้เกี่ยวกับแก๊งองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ผลักดันมาก่อเหตุในประเทศไทยแต่อย่างใด

 

ส่วนความสัมพันธ์ของกลุ่มผู้เสียชีวิต นอกจาก ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 และหมายเลข 2 ที่ชักชวนผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 และหมายเลข 6 มาร่วมลงทุนแล้ว ในส่วนของ ผู้เสียชีวิตหมายเลข 3 และหมายเลข 4 ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ 2 คนนี้ยังไม่ได้มีการให้เงินลงทุนแต่เชื่อว่าน่าจะถูกชักชวนมาเพื่อพูดคุยให้ลงทุนเช่นกัน และพบว่าผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 เป็นผู้จองห้องพักให้ผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 แต่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 ใช้บัตรเครดิตของตนเองในการรูดจอง

 

ส่วนเหตุผลที่ทำไมถึงเลือกมาประเทศไทย ในการเคลียร์กัน มากกว่าจะไปประเทศอื่น นั้น พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า เนื่องจากประเทศไทย เข้าออกได้สะดวก และสบายใจ ประกอบกับเคยเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอยู่แล้ว ทั้งนี้ จะมีปมเดียวในการฆ่าล้างหนี้หรือไม่นั้น จากการตรวจสอบข้อมูล ณ เวลานี้ ยังเป็นปมเดียว แต่ยังอยู่ระหว่างการขยายผล

 

ส่วนการตรวจสอบกระเป๋าเดินทางทั้ง 8 ใบของผู้เสียชีวิต ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่พบเอกสารการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับที่ดินของผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 แต่คู่ความเป็นบุคคลอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้เสียชีวิต

 

พลตำรวจตรีนพศิลป์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ได้สั่งการให้ชุดสืบสวน ไปไล่ตรวจสอบไทม์ไลน์ของกลุ่มผู้เสียชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทย ว่าได้เดินทางไปที่ไหน ไปพักที่โรงแรมแห่งใดบ้าง พบปะใครบ้าง เพื่อหาความชัดเจนว่าทั้งหมดทำธุรกิจอะไร และเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่ออะไรโดยได้ให้ ตม. ประสานกับสถานทูตตรวจสอบประวัติภูมิหลังของทุกคนด้วย

 

มีรายงานจากชุดสืบสวน ในการไปตรวจสอบที่มาของ ‘ยางูหมายเลข7’ ที่นายฟาน หง็อก หวู ไกด์ชาวเวียดนามของกลุ่มผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลว่า วันที่ 3-5 ก.ค. นางสาว นางสาว ถิ เหงียน ฟอง หลั่น (หมายเลข2) ใช้ไกด์ไปซื้อยางู ในราคายา 11,000 บาท จากนั้นจึงได้ ไปสั่งต่อกับคนชื่อ ‘ไทเกอร์’ แล้วให้ไทเกอร์ประสานงานกับ นางสาว ถิ เหงียน ฟอง หลั่น โดยตรงว่าให้ไปส่งที่ไหน จากนั้นไทเกอร์ ก็เอาไปส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

 

ซึ่งจากการแกะรอยตอนนี้ เบื้องต้น พบว่า มีบุคคลที่ใส่เสื้อวินรถจักรยานยนต์ ถือถุงคล้ายร้านสะดวกซื้อขนาดไม่ใหญ่มาก คาดว่าเป็นถุงยางู มาวางไว้โต๊ะบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม คล้ายกับมาส่ง จากนั้นก็มีคนมารับยาตัวนี้ไป อยู่ระหว่างการเร่งแกะรอยว่าใครมารับยาดังกล่าวที่วางไว้ไป

 

ขณะที่เวลาประมาณ 20.55 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวสามีนางเชอรีนมาสอบปากคำเรียบร้อยแล้ว

 

ทางด้าน รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ หมอหมู ได้เปิดเผยว่า สารพิษไซยาไนด์นั้นเป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์รวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก โดยตัวสารไซยาไนด์นั้นมีลักษณะเป็นผงสีขาวที่สามารถละลายน้ำได้ หากนำไปผสมกับอาหารหรือเครื่องดื่มก็แทบจะไม่ส่งกลิ่นอะไร โดยไซยาไนด์นั้นสามารถนำไปใช่ก่ออาชญากรรมได้ในขณะที่ใช้ในปริมาณเพียงนิดเดียว ซึ่งปริมาณเพียง 100-200 มิลลิกรัม หรือเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือปริมาณเท่ากับปลายเล็บจิก เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้แล้ว 

 

การทำงานของไซยาไนด์คือเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะเริ่มทำการแย่งจับฮีโมโกลบิน โดยปกติแล้วฮีโมโกลบินจะจับกับออกซิเจน เมื่อไซยาไนด์ไปแย่งจับฮีโมโกลบินก็ทำให้เซลล์ทั้งหมดของร่างกายขาดออกซิเจน โดยอวัยวะที่ไวต่อการขาดออกซิเจนมากที่สุดก็คือส่วนของสมอง เมื่อสมองขาดออกซิเจนก็จะเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ชัก เป็นลม หมดสติ แต่ในบางรายที่ได้รับปริมาณมากก็จะมีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน โดยคนที่เสียชีวิตจากสารพิษไซยาไนด์นั้นสามารถสังเกตได้จากร่างกายจะมีสีชมพูเข้มมากขึ้นกว่าปกติ

FBI ร่วมสางคดี! "ไซยาไนด์" ฆ่า 6 ศพเวียดนามล้างหนี้