จากกรณีที่ เพจโซเชียลเพจหนึ่ง ได้แชร์ภาพวงจรปิดเหตุการณ์ช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา (17 ก.ค. 2567) เวลาประมาณ 21.00 น. โดยเป็นเหตุการณ์ภายใน สน.ดอนเมือง ซึ่งจากภาพตามภาพวงจรปิดจะเห็น นายเอกลักษณ์ หรือ "เอก สายเต๊าะ" อายุ 42 ปี ซึ่งได้ก่อเหตุใช้เท้าเตะสื่อมวลชนใน สน.ดอนเมือง นั้น


โดยจากเหตุการณ์ดังกล่าว ล่าสุด (18 ก.ค. 2567) นักข่าวช่อง 8 จึงได้เข้าไปพบกับ คุณโอ ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัด ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยคุณโอ ได้เปิดเผยเหตุการณ์ให้กับทีมข่าวฟังว่า จากเหตุการณ์ตามภาพวงจรปิดนั้นเป็นเหตุการณ์ในช่วงเมื่อวานที่ผ่านมาเวลาประมาณ 21.00 น. ซึ่งก่อนหน้าหน้านั้นในช่วงเช้าตนได้ไปปฎิบัติหน้าที่ ติดตามข่าวของนายเอก สายเต๊าะ ซึ่งในช่วงเช้าที่ผ่านมาเขาได้ก่อเหตุจอดรถขวางทางเข้า-ออกหมู่บ้าน ซึ่งทำให้คนที่พักอาศัยอาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านดังกล่าวนั้นได้รับความเดือดร้อน


หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวนายเอก สายเต๊าะ มาที่ สน.ดอนเมือง ตนจึงได้ติดตามมาทำข่าว โดยหลังจากที่นายเอกได้ออกจากห้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายปราบปราม และได้เดินเข้าไปยัง สน.ดอนเมือง ตนก็ได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพระหว่างนายเอกได้เดินและได้ถามคำถามไปตามหน้าที่ หลังจากนั้นนายเอกได้หันมาบอกกับตนว่า “ถ้าถามอีกคำหนึ่งกูตบ” แต่ในตอนนั้นตนก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่นายเอกใช้มือปัดโทรศัพท์ของตนจนหลุดมือ แต่ตนก็สามารถรับโทรศัพท์ไว้ได้ ในตอนนั้นจึงไม่ได้เกิดเหตุอะไรขึ้นเพราะตนก็เลี่ยงที่จะเกิดการปะทะ


จากนั้นในช่วงเย็นตนก็ได้มามาประจำอยู่ที่ สน.ดอนเมือง เพื่อรอที่จะมีเหตุการณ์อะไรที่ตนต้องไปทำข่าวหรือไม่ และได้มีชาวบ้านและผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความที่ สน.ดอนเมือง เกี่ยวกับเรื่องที่นายเอกใช้รถปิดทางเข้า-ออกหมู่บ้าน โดยหลังจากนั้นนายเอกได้มาที่ สน.ดอนเมือง ในช่วงหัวค่ำ แต่ในช่วงนั้นนายเอกได้พูดจากับตนดี นายเอกได้มาสอบถามหามีดของเขาที่ถูกยึดในช่วงเช้าแต่ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ร้อยเวรที่รับผิดชอบคดีนี้ได้ออกเวรไปแล้ว ซึ่งในตอนนั้นได้มีการพูดคุยสอบถาม ถึงที่พักอาศัยของตน และสอบถามว่าตนทำงานเป็นนักข่าวพิเศษนั้น ได้ส่งให้กับช่องไหนบ้าง ตนก็ได้ตอบว่าส่งให้กับทุกที่




จากนั้นนายเอกก็ได้กลับไปและในช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. นายเอกได้กลับมาที่ สน.ดอนเมือง อีกครั้งและได้เดินเข้าไปยังห้องพนักงานสอบสวน ซึ่งในตอนนั้นตนก็ได้นั่งอยู่ภายใน สน.ดอนเมือง ก็ไม่ได้มีการพูดจาอะไรกัน หลังจากนั้นนายเอกก็ได้ออกมาจากห้องพนักงานสอบสวนและได้มีการพูดสอบถามหามีดและโวยวายอยู่ใน สน.ดอนเมือง จากนั้นจึงหันมาถาม ตนว่าทำไมยังไม่กลับบ้าน ตนจึงตอบกลับไปว่าตนได้ใช้รถจักรยานยนต์มาปฏิบัติหน้าที่ และในตอนนี้ฝนตกตนจึงยังไม่กลับบ้าน จากนั้นนายเอกก็ได้พูดถึงการถ่ายภาพของเขาและนำไปออกเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ในช่วงเช้า และได้ต่อว่าตนว่าตนมีการถ่ายตัวของนายเอกไปเพียงคนเดียวและไปส่งให้ที่ใดบ้าง เนื่องจากว่าเขาไม่พอใจที่นำภาพเขาไปออกอากาศและมีการตัดต่อไม่ครบทุกช่วง ซึ่งตนก็เลยตอบไปว่า ตนเองนั้นได้ส่งไปทั้งหมดที่ตนถ่าย แต่ตนไม่ทราบว่าสถานีโทรทัศน์ช่องไหนจะไปตัดต่ออย่างไร เพราะเป็นฝ่ายข้างในสถานีโทรทัศน์เป็นผู้ที่จะจัดการในการออกอากาศ


ทว่า "เอก สายเต๊าะ" ก็ไม่รับฟังและโวยวายอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนั้นเขาจึงเดินไปที่รถของเขาและหยิบ iPad มายกถ่ายตนตนจึง ได้บอกไปว่า การมาถ่ายตนโดยไม่ขออนุญาตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย ซึ่งในตอนนี้ตนไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ไม่สามารถมาถ่ายตนแบบนี้ได้ แต่ "เอก สายเต๊าะ" ได้พยายามพูดจาโวยวาย และไม่เลิกที่จะหาเรื่องตนตนจึงได้พยายามเดินหนี และแกล้งยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุย เพื่อที่จะให้นายเอกเบี่ยงเบนความสนใจและจะได้เลิกมาตอแยกับตน




แต่หลังจากนั้นเมื่อตนได้หันหลังให้นายเอกได้ทำท่าลักษณะเหมือนจะใช้เท้าเตะ 1 ครั้ง แล้วต่อจากนั้นเขาได้ยกเท้าขึ้นมาทำท่าทางเหมือนจะเตะตน แต่ได้โดนเพียงเล็กน้อยบริเวณกระเป๋าที่ตนคาดเอวไว้และบริเวณข้อศอก ตนจึงได้หันไปและใช้ศอกดันไปที่หน้าอกของ "เอก สายเต๊าะ" แล้วบอกกับนายเอกว่า การทำเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่งมาทำแบบนี้กับตนได้อย่างไร และมาถ่ายภาพตนได้อย่างไร นายเอกได้ตอบกลับกับตนว่า “ทีมึงยังถ่ายได้เลยแล้วทำไมกูจะทำไม่ได้” โดยหลังจากนั้นตนก็ได้พยายามเลี่ยงที่จะให้เกิดการประทะและพยายามจะไม่สนใจ "เอก สายเต๊าะ" จนกระทั่งนายเอกได้เลิกลาไปเองและได้ขับรถของเขาออกจาก สน.ดอนเมือง ไป ซึ่งก่อนที่เขาจะออกจาก สน.ดอนเมือง ไปก็ได้มีการพูดข่มขู่กับตนว่า “ระวังตัวไว้ให้ดีเดี๋ยวกูจะไปหาที่บ้าน”


จากนั้นตนก็ได้ทำการแจ้งความไว้ที่ สน.ดอนเมือง ในเรื่องของการข่มขู่ ซึ่งตนเองนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร แต่ก่อนหน้านี้นายเอกได้ถามถึงที่อยู่ของตน ซึ่งที่บ้านของตนก็มีพ่อและแม่และคนอื่น ๆ ตนจึงกลัวเรื่องความปลอดภัยของญาติของตนที่อยู่ที่บ้าน นอกจากนั้นตนยังได้แจ้งความในเรื่อง PDPA ในเรื่องการนำภาพของตนไปเผยแพร่ ยังสื่อต่าง ๆ และจะเกิดความเสียหายต่อตนเอง และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตนจึงได้ดำเนินการแจ้งความไว้ เพื่อเป็นหลักฐานและป้องกันการเกิดความเสียหาย


ขณะที่ต่อมา ทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับ "เอก สายเต๊าะ" ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุในกรณีดังกล่าว โดยนายเอก ได้เปิดเผยสาเหตุเหตุแห่งการก่อเหตุให้กับทีมข่าวฟังว่า ในช่วงเมื่อวานก่อนที่จะเกิดเหตุตนตนได้เดินทางไปที่ สน.ดอนเมือง เพื่อที่จะไปทวงมีด ซึ่งเป็นมีดหมอลงอาคม โดยมีอักขระรอบใบมีดและเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความหมายสำหรับตน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มายึดมีดเล่มดังกล่าวของตนไปจากในหมู่บ้านในขณะทีมีปากเสียง และปะทะกันในตอนเช้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจรับปากว่าจะคืนให้กับตน แต่ในตอนนี้ตนก็ยังไม่ได้คืนจนตนต้องไปนำมีดเล่มใหม่มาบริกรรมคาถา เพื่อที่จะเป็นมีดหมอประจำกายที่ตนพบอยู่




แต่หลังจากในช่วงเมื่อวานที่ตนไม่ได้คืนตนจึงได้ไปทวงหนี้เล่มดังกล่าวคืนที่ สน.ดอนเมือง ซึ่งในตอนนั้นตนจึงได้พบกับนักข่าวคนดังกล่าว ซึ่งนักข่าวคนดังกล่าวได้ถ่ายภาพตัวในช่วงเช้าและได้ส่งไปให้กับสถานีโทรทัศน์หลายช่อง ซึ่งบางช่องนำภาพของตนซึ่งตัดต่อไม่ครบถ้วนและไปออกอากาศ ทำให้ตนได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง อีกทั้งยังเอาไปพูดเล่นในเชิงหยอกล้อถึงครูบาอาจารย์ของตน จึงทำให้ตนเกิดความไม่พอใจตนจึงได้ไปทวงถามว่านักข่าวคนดังกล่าวนั้นเขาส่งภาพไปให้กับสื่อทางไหนบ้าง แต่นักข่าวคนดังกล่าวได้ตอบกลับกับตนว่าให้ไปหาเอาเอง ตนจึงเกิดความไม่พอใจ และได้ทำการยืดเส้นยืดสายบริเวณขา เนื่องจากในตอนนั้นตนเมื่อยพอดีจึงเกิดเป็นภาพดังกล่าวตามภาพภาพวงจรปิด


ทั้งนี้ ตนไม่ได้เป็นคนเตะนักข่าวคนดังกล่าว ถ้าหากว่าตนบอกว่าตนเตะ ตนก็จะถูกดำเนินคดี แต่ในตอนนั้นตนได้ยืดเส้นยืดสายบริเวณขาเพียงเท่านั้น จึงเกิดเป็นภาพดังกล่าวไป ทั้งนี้หลังจากเหตุการณ์ในช่วงเมื่อวานตนก็รอดูว่าผู้ที่รับปากอะไรกับตนไว้จะมีสัจจะหรือไม่ แล้วก็จะรอดูในอาทิตย์หน้าในสิ่งที่รับปากกับตนไว้ว่ามีการดำเนินแก้ไขให้หรือไม่

 

"เอก สายเต๊าะ" เตะนักข่าวบนโรงพัก