จากกรณีวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 มีรายงานพบศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ภายในโรงแรมดัง ย่านราชประสงค์ เบื้องต้นทราบเป็นชาวเวียดนาม สัญชาติอเมริกัน มีรายงานว่าการเสียชีวิตครั้งนี้เกิดจากการใช้สารพิษนั้น
15:40 น. ของวันนี้ (18 ก.ค.67) ทีมตำรวจจากสืบนครบาล นำโดยสารวัตรแจ๊ะ และทีมสืบสวน ได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบห้องพักสูง 8 ชั้น ภายในซอยย่านประชาสงเคราะห์ ดินแดง กรุงเทพ ของนายไทเกอร์ ซึ่งเป็นไกด์ในกลุ่มของชาวเวียดนาม มีการส่งตัวยาบางอย่าง ที่ทราบในเวลาต่อมาคือยางู ให้กับกลุ่มคนตาย , โดยชุดสืบสวนได้ขึ้นไปทำการตรวจสอบห้องของนายไทเกอร์ เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงเกี่ยวกับที่มาของการสั่งซื้อยา และรวมถึงความเกี่ยวข้องกับยาไซยาไนด์ โดยเบื้องต้นการขึ้นไปทำการตรวจสอบ ไม่ได้อนุญาตให้สื่อขึ้นไปบันทึกภาพ แต่จะเห็นภาพบรรยากาศจากด้านล่างที่เจ้าหน้าที่ขึ้นไปทำการตรวจสอบ ขณะที่ตัวของนายไทเกอร์ ได้มีการนำตรวจค้นอยู่บริเวณบริเวณด้านบนของตึก
จนกระทั่ง เมื่อเวลาประมาณ 16:15 น. ที่ผ่านมา ทีมสืบสวนนครบาล ได้มีการเชิญตัวนายไทเกอร์ ลงมาจากตึก พร้อมกับกล่องสีน้ำตาลหลายใบ ขึ้นรถไปเพื่อทำการสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือเดินทางไปให้การ เกี่ยวกับไทม์ไลน์และที่มาที่ไปของการฝากไรเดอร์ส่งสินค้า ให้กับไกด์ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวเวียดนามที่เสียชีวิต
ระหว่างที่มีการเชิญตัวนายไทเกอร์ ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นแชทและรวมถึง ไทม์ไลน์ที่เกี่ยวข้องกับที่มาของตัวยาบางอย่าง ในคดี ระหว่างที่ไทเกอร์เดินขึ้นรถพร้อมกับชุดสืบสวนเพื่อจะเดินทางไปให้ปากคำ ทีมข่าวได้พยามสอบถามเกี่ยวกับกล่องที่ตำรวจยกขึ้นรถ และรวมถึงที่มาของยางู หรือเกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์ เบื้องต้นตัวของนายไทเกอร์ ไม่ได้มีการตอบคำถามใดใดกับผู้สื่อข่าว แต่มีการ “ส่ายหัว” จากนั้นก็เดินขึ้นรถไปพร้อมกับทีมสืบสวน ซึ่งก็ไม่ได้มีการตอบคำถามใดเพิ่มเติม , และทีมข่าวได้หันไปถามล่ามชาวเวียดนาม ว่าเจ้าตัวสื่อสารภาษาไทยได้หรือไม่ เพราะเนื่องจากทีมข่าวมีการสอบถามเป็นภาษาไทย แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าสรุปแล้วไทเกอร์สามารถฟังไทยออกหรือไม่ ตามช่วงที่มีการส่ายหัว
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวได้คุยกับนายชัยภูมิ (นามสมมติ) วินมอเตอร์ไซค์มอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าที่พักของนายไทเกอร์ ในฐานะไรเดอร์ที่เอาสิ่งของบางอย่างที่คาดว่าเป็นตัวยา ไปส่งไว้ให้กับคนรับซึ่งทราบว่าเป็นไกด์อีกคน ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเวียดนามที่เสียชีวิต โดยได้มีการเอาไปส่งให้กับที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านซอยเพชรบุรี 20 ไม่ไกลจากโรงแรมที่เกิดเหตุ
นายชัยภูมิ เผยว่า ในวันนั้นมีเพื่อนอีกคนเป็นคนรับงานจากนายไทเกอร์ ซึ่งตนเองทราบว่าตัวของนายไทเกอร์ก็เป็นไกด์ชาวเวียดนาม แต่พักอาศัยพักตรงข้ามกับจุดวินของตนเอง โดยเพื่อนของตนเองจะรับงานเฉพาะส่งระยะไกล ก็เลยไม่ได้ไปเอง จึงมีการส่งต่องานให้กับตนเองเอาไปส่ง ซึ่งตนเองก็มีการรับถุง สีครีมซึ่งเป็นถุงเซเว่น ข้างในไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่มีน้ำหนักค่อนข้างเบาหนักไม่ถึง 3 กรัม โดยมีการมัดปากถุงเอาไว้ ตนเองก็รับของมาแล้วก็เอาไปส่งที่โรงแรมย่านเพชรบุรี 20 โดยคำสั่งคือให้เอาไปวางไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งว่าจะมีไกด์อีกคนมารับ หลังจากที่ตนเองเดินทางไปถึงก็เอาไปวางไว้ที่ล็อบบี้โรงแรม พร้อมกับมีการถ่ายภาพส่งงาน ว่าของได้นำไปวางไว้ที่ล็อบบี้โรงแรมแล้ว ก่อนที่จะมีการส่งภาพดังกล่าวกลับไปให้กับเพื่อนอีกคน และเพื่อนที่รับงานก็เป็นคนส่งต่อให้กับนายไทเกอร์ หลังจากจบงานตนเองก็ได้รับเงินค่าจ้าง 100 บาท กลับมาก็วิ่งบินตามปกติ
และยืนยันกับทีมข่าวว่าไม่ทราบว่าของข้างในมันคืออะไร เพราะส่วนใหญ่ก็จะไม่แกะดูของของลูกค้า เพราะกลัวว่าจะเสียหาย ซึ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เอาไปส่งนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรืออย่างไร แต่ทุกครั้งที่เอาของไปส่งก็จะย้ำกับลูกค้าเสมอว่าต้องไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย
ทั้งนี้เมื่อมีการเทียบกับสิ่งของที่พบในห้องที่เกิดเหตุ 502 อาทิ กล่องชาชง , ยางู , หรือลักษณะสิ่งของคล้ายหลอดบรรจุของเหลว (ไซยาไนด์) ส่วนตัวไม่แน่ใจว่า จากน้ำหนักสูงประมาณ 3 กรัม ที่มัดปากถุงแล้วให้เอาไปส่ง จะมีความเป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งของเรานั้นคือของสิ่งใด เพราะตนเองก็ไม่รู้ว่าของแต่ละอย่างมีน้ำหนัก ประมาณไหน แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่กล่องชาชง เพราะกล่องชาชงเป็นขนาดกล่องขนาดใหญ่ จึงไม่ใช่ขนาดขนาดเล็กเหมือนที่เอาไปส่ง แต่จะเป็นยางู หรือหลอดบรรจุของเหลวหรือไม่นั้นตนเองไม่ทราบ
ขั้นตอนการสั่งซื้อยางู หมายเลข 7
ขณะที่นายรัฐภาค (นามสมมติ) ไรเดอร์อีกคน ซึ่งจะเป็นเจ้าประจำที่มีการรับงานจากนายไทเกอร์ ไกด์ชาวเวียดนาม ที่มีการนำสิ่งของไปกระจายส่งให้กับลูกค้าชาวเวียดนามด้วยกัน ส่วนใหญ่จะไปในหลายที่ หลายแห่ง และหลายโรงแรม
นายรัฐภาค บอกว่า โดยปกติตนเองจะเป็นไรเดอร์เจ้าประจำ เพราะเนื่องจากช่วงกลางวันวิ่งวิน จากนั้นก็จะรับจ้างส่งของ และส่งสินค้าให้กับลูกค้า โดยส่วนตัวไม่เคยรู้มาก่อนว่านายไทเกอร์ คือนายหมิง เพราะโดยปกติแล้วตนเองทราบแต่ว่า ลูกค้าที่ฝากส่งของประจำ เป็นชายชาวเวียดนาม และใช้ชื่อ “หมิง” แต่ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เป็นข่าวแล้วตำรวจกำลังตามตัว ใช้ชื่อว่า “นายไทเกอร์” หลังจากตัวเองทราบก็ตกใจเหมือนกัน และกลัวว่าสิ่งที่ตนเองถูกให้ไปส่งแต่ละครั้งนั้นจะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หรืออาจจะเป็น ไซยาไนด์ ตามที่ตำรวจกำลังหาข้อมูลหรือไม่
เพราะทุกครั้งที่ตนเองรับงานจากนายไทเกอร์ (หมิง) เอาไปส่งนั้น จะมีการบรรจุแยกเป็นหีบห่อ เล็กบ้างใหญ่บ้าง หนักบ้างเบาบ้าง แต่มีการใส่ถุงดำมัดปากมิดชิด หรือบางครั้งก็ใช้ถุงเซเว่นเพราะเนื่องจากทึบ ในการบรรจุหีบห่อแล้วมัดปลายทุกครั้ง จะมีแต่เขียนข้อความแปะหรือเบอร์โทรปลายทางแปะเอาไว้ จากนั้นก็จะให้ตัวเองเอาไปส่งไว้ให้กับลูกค้า แต่จะไม่เคยส่งกับมือ ลักษณะจะเอาไปวางไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรมต่างๆ จากนั้นก็จะแจ้งกลับมาให้กับนายไทเกอร์ รับทราบว่าของไปถึงแล้ว และเมื่อของถึงแล้วก็จะมีคนลงมารับเอง
ครั้งหนึ่งตนเองเคยสอบถามว่าของที่ให้ผมไปส่งแต่ละครั้งมันคืออะไร ตัวของนายไทเกอร์ตอบว่า “ เป็นเพียงแค่ยาดม ไม่ได้มีอะไรผิดกฎหมาย และคนที่รับปลายทางส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเวียดนามหรือไกด์เวียดนาม” ซึ่งทุกครั้งที่ตัวเองไปส่ง ก็เข้าใจว่าไปส่งยาดมตามที่เจ้าตัวบอก แต่วันนี้หลังจากที่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับการตายของชาวเวียดนาม 6 คน เองก็รู้สึกกลัวและระวังตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวยาในแต่ละครั้งหรือกล่องพัสดุใบใหญ่แต่ละครั้งที่มาส่ง ก็จะจะมีขนส่งเอกชนเอามาส่งผ่านรถกระบะ จากนั้นตัวของนายไทเกอร์ก็จะรับขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง ก่อนมีการแบ่งแยกใส่ถุงเล็ก และกระจายจ้างไรเดอร์เอาไปส่ง ซึ่งก็ยืนยันว่าตนเองคือคนหลักที่เอาไปส่งให้ แต่ก็ยังไม่เคยรู้ว่าสินค้าที่เอาไปส่งคืออะไร
จากนั้นทีมข่าวยังได้รับแชต ซึ่งตัวของนายรัฐภาค คนขับไรเดอร์เจ้าประจำส่งของให้กับนายไทเกอร์ ประจำ
โดยเจ้าตัวส่งแชทให้ทีมข่าวดู ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อความเวลาจบงาน จะเห็นว่าตัวของนายรัฐภาค จะมีการส่งภาพจบงาน เป็นการถ่ายภาพสิ่งของ ที่ เวลาเอาของไปวางไว้กับเคาน์เตอร์ ให้กับไกด์ชาวเวียดนามตามโรงแรมต่างๆ จะมีการถ่ายภาพจบงาน โดยจะเห็นว่าส่วนใหญ่ของที่เอาไปส่งจะมีการใส่ถุงสีดำ และถุงเซเว่น ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าภายในคืออะไร แต่จะมีการถ่ายภาพภาพจบงานส่งให้กับตัวของนายไทเกอร์ทุกงาน และหลังจากนั้นตัวของนายไทเกอร์ก็จะมีการส่งสติกเกอร์เยี่ยมกลับคืนมาทุกครั้ง
เปิดโรงแรมที่ 3 กลุ่มคนตายนัดพบก่อนถูกฆ่า
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่เกิดเหตุไม่ถึง 300 เมตร พบว่าเป็นโรงแรมหรูอีกแห่ง ที่ปรากฏภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นว่ามีไกด์ชาวเวียดนาม มีการมานั่งพูดคุยกับน้องสาวของคนตายก่อนที่จะเดินทางออกนอกประเทศ โดยมีการนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมดังกล่าว และมีการนับเงินหรือยื่นซองเงิน ให้กันที่ล็อบบี้ นั้น
โดยทีมเขาเดินทางไปที่โรงแรมดังกล่าว โดยพบว่า มีโลเคชั่นและสถานที่ตรงกันตามที่ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ ซึ่งจะเป็นชุดโซฟาชุดแรกที่อยู่ฝั่งขวามือหลังจากเข้าประตูของโรงแรม โดยเป็นโซฟาสีแดงตัวยาว และโซฟาสั้นสีเทา มีโต๊ะกลาง และวางอยู่ใกล้กับภาพศิลปะที่โรงแรมติดไว้ข้างฝา ซึ่งโลเคชั่นตรงตามที่ภาพกล้องวงจรปิดเห็นว่ามีไกด์ชาวเวียดนามได้มามานั่งพูดคุยและรับซองเงินจากสาวเวียดนามก่อนที่จะเดินทางออกนอกประเทศ
แต่โดยเบื้องต้นทีมข่าวพยามขอข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่ของโรงแรม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ โดยให้ข้อมูลยืนยันแต่เพียงว่า “ โรงแรมแห่งนี้มีชาวต่างชาติทั้งชาวจีน ฝรั่ง และเวียดนามมาพักอาศัยอยู่ บางส่วนก็มีคนไทยเคยพักที่นี่ และที่สำคัญ ล็อบบี้ส่วนใหญ่ก็จะมีลูกค้ารวมถึงเพื่อนที่มาเที่ยวหามานั่งพูดคุยกันเป็นเรื่องปกติ จึงไม่มีอะไรผิดสังเกต เว้นแต่ว่าหลังจากที่พบศพเวียดนาม6คน เห็นว่าช่วงหลังมีตำรวจเข้ามาตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรมแต่ก็ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน”
ความคืบหน้าล่าสุด ตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา ตำรวจได้เชิญ นายฮุ่ง อายุ 50 ปี สัญชาติเวียดนาม อดีตสามี น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นผู้ชักชวนกลุ่มผู้เสียชีวิตมาร่วมลงทุน ซึ่งอดีตสามีอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เข้ามาสอบปากคำที่ สน.ลุมพินี เนื่องจากพบว่าเป็นผู้วิดีโอคอลกับ น.ส.ถิ เหงียน เฟือง หล่าน ก่อนเสียชีวิต จากการสอบปากคำ นายฮุ่ง สามี น.ส.ถิ เหวียน เฟือง หล่าน ให้การว่า เป็นข้าราชการเวียดนาม อยู่ระหว่างเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น อดีตเป็นสามีภรรยากับ นางสาว ถิ เหวียน เฟือง หล่าน มีลูกด้วยกัน แต่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก่อนเกิดเหตุเสียชีวิต มีการพูดคุยวิดีโอคอลกับอดีตภรรยาก่อนเสียชีวิต ซึ่งเชื่อว่านายหุ่งไม่น่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการวางยาพิษ
โดยหลังการสอบปากคำเป็นเวลานานกว่า 5 ชั่วโมง ทีมข่าวได้พยายามสอบถามข้อเท็จจริงต่างๆกับล่ามแปลภาษาของนายฮุ่ง ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นภาษาเวียดนาม
เปิดจดหมาย หลักฐานภายในโทรศัพท์ เชอรีน ชอง
วันที่ 18 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับหลักฐานเป็นจดหมายที่ตำรวจได้จากโทรศัพท์ของ น.ส.เชอรีน ชอง อายุ 56 ปี สัญชาติอเมริกัน เขียนไว้เป็นภาษาจีน ใจความว่าอยากให้มีเงินมีทองอยู่กับฉันเยอะๆ เพราะยิ่งมีเงินฉันก็ยิ่งมีพลังแข็งแกร่ง เงินก็จะมากตามไปด้วย ความรักคือพลังงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และความรักที่ใหญ่ยิ่งนี้ ก็ไปกับฉันตลอด ฉันถือคตินี้ไว้กับตัวฉัน ครอบครัวคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน จักรวาลมอบเงินให้กับฉัน เพราะฉันช่วยเหลือผู้อื่น โลกให้เงินกับฉัน เพราะฉันเป็นคนดีเมตตาทุกคน ผืนแผ่นดินก็มอบเงินให้กับฉันเพราะฉัน ทะนุถนอม ทรัพย์สมบัติไม่มีที่สิ้นสุด ความรักไหลเวียนในตัวฉัน พลังงานไหลเวียนในตัวฉัน แล้วตัวฉันก็คือการไหลเวียนของความรัก และพลังงาน
โดยมีรายงานจากชุดสืบสวนว่า จดหมายฉบับนี้ เป็นรูปภาพที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของน.ส.เชอรีน ชอง แต่ยังไม่มีความชัดเจน ว่าเป็นจดหมายที่ เจ้าตัวเขียนเองหรือไปถ่ายมาจากที่อื่น แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาแล้ว กลับเป็นเรื่องของความเชื่อบางอย่าง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับมูลเหตุสำคัญคือเรื่องความขัดแย้งทางหนี้สินประกอบกับผู้เสียชีวิตอีก 5 คน ก็ไม่ได้มีความเชื่อในลักษณะเดียวกัน ตำรวจจึงตัดประเด็นนี้ ออกจากการสืบสวนสอบสวน
ช่วงบ่ายวันนี้ พล.ต.ท. อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมชุดสืบสวนกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ประชุมติดตามความคืบหน้าทางคดี 6 ศพชาวเวียดนามที่เสียชีวิตในโรงแรมย่านราชประสงค์ และต่อมาพิสูจน์หลักฐานยืนยันว่า เกิดจากการลอบวางยาพิษ โดยใช้ ไซยาไนด์ ที่ สน.ลุมพินี
โดยพบว่ามีเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจ เดินทางเข้ามาร่วมประชุม และเก็บวัตถุพยานทางคดีเพิ่มเติมด้วย ทั้งการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้เสียชีวิต ตรวจเก็บกาน้ำชา ที่ถูกพบว่ามีสารไซยาไนด์ผสมอยู่เพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้เพื่อนำไปเทียบเคียงกับลายนิ้วมือ และดีเอ็นเอของผู้เสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ทราบและยืนยันผลทางนิติวิทยาศาสตร์ว่า ใครเป็นผู้ลงมือลอบวางยาตัวจริง
อีกทั้งยังมีการพยานมาสอบปากคำเพิ่มเติม ทั้งอดีตสามีของนางสาว ถิ เหงียน เฟือง ลาน ผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ที่เป็นชาวเวียดนามและไปทำธุรกิจที่ญี่ปุ่น รวมถึงจะมีการเรียกพนักงานเสิร์ฟอาหาร2คนที่เป็นคนเข้าไปเสิร์ฟอาหารมื้อสุดท้ายและชุดชา ก่อนจะพบศพทั้ง 6 รายด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะซักถามในประเด็นเพิ่มเติมที่ตำรวจยังสงสัย โดยเฉพาะการสอบปากคำญาติของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม
โดยพล.ต.ท.อิทธิพล เปิดเผยภายหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง ว่าวันนี้ญาติของผู้เสียชีวิต 5 ราย เดินทางมาเพื่อมาให้ปากคำเพิ่มเติมและร่วมตรวจสอบกระเป๋าสัมภาระของผู้เสียชีวิต เพราะก่อนหน้านี้ ตำรวจยังไม่ได้ทำการเปิดกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ของผู้เสียชีวิตทั้ง 8 ใบ ก็จะได้ทำการเปิดตรวจสอบทั้งหมด เพื่อหาดูว่ามีอะไรที่ต้องสังสัยหรือเชื่อมโยงกับคดีหรือไม่ โดยจะต้องรอทางพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ก่อน แล้วจะสรุปอีกครั้ง
ทั้งนี้จากการที่เปิดกระเป๋าดูแล้วก็มีเสื้อผ้า มีขนม และ ของบางอันก็แพ็ก ซีลไว้อย่างดี ทางพิสูจน์หลักฐานก็ต้องเอาไปแกะตามขั้นตอนเพื่อนำเข้าสำนวนคดี โดยจะตรวจทุกใบ ไม่มีต้องสงสัยใบไหนเป็นพิเศษ และเพื่อดูด้วยว่าเจอยาอะไรหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังไม่พบ ต้องรอทำการตรวจให้ครบทุกกระเป๋าโดยละเอียด
ส่วนจากการตรวจสอบเจอ ‘ยางู’ หรือไม่นั้น พล.ต.ต.อิทธิพล บอกว่า ‘ผมยังไม่รู้จักยางูเลย’ แต่เท่าที่ตนเองได้สอบถามทางสถานทูตเวียดนาม เขาบอกว่า ‘ยางู’ ในความหมายของเวียดนามเป็นยาเพิ่มพลังเหมือนวิตามิน และส่วนตัวไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง
ผู้สื่อข่าวจึงพยายามถาม ว่า แล้วเจอกระปุกๆ สีๆ บ้างไหม พล.ต.ต.อิทธิพล บอกว่า ของบางอันก็ซีลไว้อยู่เหมือนกันแพ็กของไว้ในพลาสติก ก็คงต้องตรวจสอบดูทั้งหมดก่อน พร้อมย้ำว่า ยางูก็คือวิตามิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุอีกว่า ขณะนี้ ญาติผู้เสียชีวิตเดินทางมาหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ญาติของ นายดิน ซาน ฟู ชายสัญชาติอเมริกัน ที่ยังติดต่อญาติไม่ได้ อยู่ระหว่างประสานสถานทูตเข้ามาตรวจสอบ สำหรับการสอบปากคำลูกชายของคู่สามีภรรยาที่เสียชีวิต ก็ระบุว่า มีการร่วมลงทุนกัน แต่ไม่รู้ว่าลงทุนเรื่องอะไร
ส่วนจะมีการกู้เงินหรือไม่ ขณะนี้ยังไม่ทราบ แต่ได้บอกสถานทูตเวียดนามไปแล้วเพื่อให้สอบถามเพิ่มเติมพูดคุยเพิ่มเติมด้วย แต่มีการลงทุนกันแน่นอน
นอกจากนี้ทางทีมข่าวช่องแปด ยังสอบถามไปยังนักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สำหรับเหตุการฆ่ากันตายอย่างสลดด้วยการวางยา ทีมข่าวพบกับ MR.Nguyen Vu Hai เปิดเผยกับทางทีมข่าวว่า สำหรับช่างแต่งหน้าชาวเวียดนามที่เสียชีวิต ตนรูัจักเขา เขาเป็นช่างแต่งหน้าที่เวียดนามและก็เป็นช่างแต่งหน้าที่มีชื่อเสียงมากระดับนานาชาติเช่นกันครับ และตนคิดว่าสำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นการมาเพื่อการทำธุรกิจครับ จริงๆแล้วสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนีั ตนเสียใจด้วยจริงๆ
ตนคิดว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่โด่งดังมากในเวียดนาม ขณะที่ตนดูคลิปอย่างใน App Tiktok หรือ อ่านข่าวในเฟซบุ๊ก หรือจะเป็นยูทูปก็ตาม หรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ตนเองได้อาศัยอยู่ที่กรุงเทพ และได้ทราบเรื่องนี้แล้วบ้าง และตนหวังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะไม่โจมตี (ทำลาย)ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศเวียดนามด้วยกันเอง
ในส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของประเทศนั้น ตนคิดว่ามันอาจจะเป็นเล็กน้อยของการท่องเที่ยวสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามใส่ใจข่าวเพียงเล็กน้อย แต่ตนคิดว่าไม่รวมสำหรับการบินเพื่อธุรกิจ ไม่น่าจะมีปัญหาใด เพราะว่าประเทศเวียดนามและประเทศไทย เราใกล้กันมากครับ ประเทศเวียดนามเองก็มีไฟลท์บินมาไทยเองหลายไฟลท์เลยครับ ประเทศไทยเป็นประเทศที่โด่งดังมากสำหรับนักท่องเที่ยวและสำหรับประเทศเวียดนามเช่นกัน และตนเชื่อว่าทุกอย่างยังปกติ เนื่องจากคนที่ก่อเหตุการณ์ในครั้งเป็นคนเวียดนามเอง
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวรายนี้ ยังเปิดข่าวที่ขึ้นเฟสของเวียดนามให้ทางทีมข่าว และเปิดเผยว่าคุณสามารถรับชมข่าวเหล่านี้ได้ผ่านยูทูป หรือ ค้นหาภาษาเวียดนาม ซึ่งเนื้อหาข่าวประมาณว่า เวียดนาม 6 คนตาย ที่ประเทศไทย ซึ่งมีข่าวปรากฎเยอะมากๆเลย ตนยังคงสามารถเลื่อนเพื่อดูข่าวได้เรื่อยๆเลย แต่ไม่ใช่มีมีข่าวในยูทูปเท่านั้น ยังมีมีข่าวปรากฎอยู่ใน สำนักข่าวต่างชาติอีก เป็นข่าวที่ดังมากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา และเป็นข่าวที่น่ากลัวเล็กน้อยครับสำหรับคนที่กำลังมาเที่ยวเมืองไทยหรือพักที่เมืองหลวงกรุงเทพ