จากกรณีเมื่อวานนี้เวลา 17.30 น. ศูนย์วิทยุ 191 ตำรวจภูธรจังหวัดน่าน รับแจ้งเหตุไฟไหม้รถจักรยานยนต์ที่ลานหน้าบ้านหรู ในหมู่บ้านตึ๊ดใหม่ หมู่ที่ 1 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเชียงกลาง เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ถูกเผาอยู่ที่ลานหญ้าหน้าบ้าน สอบถามจากผู้เห็นเหตุการณ์ทราบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าของบ้านและเจ้าของรถดังกล่าว ซึ่งเกิดอาการคลุ้มคลั่งแล้วจุดไฟเผารถ ก่อนจะหลบหนีไป
จากการสอบสวนเพิ่มเติม ทราบว่า ผู้ก่อเหตุเคยถูกรางวัลสลากฯ ธ.ก.ส. ได้เงินรางวัล 10 ล้านบาท เมื่อหลายปีที่ผ่านมา จากนั้นได้สร้างบ้านหรูหลังดังกล่าวขึ้นมา แต่กลับมีพฤติกรรมเสพยาบ้าอย่างหนัก ต่อมามีการนำปืนออกมายิงในบ้านซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดกลัว นอกจากนี้เมื่อปลายปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านหลังนี้ พบยาบ้า 2 เม็ด ปืนสั้นและปืนยาวกว่า 15 กระบอก และลูกกระสุนปืนกว่าพันนัด ทั้งนี้ ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงยังคงหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกำลังเรียกร้องให้มีมาตรการจัดการที่เข้มงวดกับผู้ก่อเหตุ
ล่าสุดวันนี้ (18 ก.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว พบว่า บ้านหลังนี้มีนายภูริวัช หรือ ต้อ อายุ 37 ปี เป็นเจ้าของบ้าน เมื่อไปถึงพบว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านหรูขนาดใหญ่ที่สุดในตำบลเชียงคาน มีรั้วรอบขอบชิด เนื้อที่เกือบ 2 ไร่ บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านมีซากรถจักรยานยนต์ และรถ 4 ล้อวิบากขนาดเล็ก ถูกเผาอยู่เหลือแต่โครงรถ
นอกจากนี้บริเวณลานพื้นปูนกลางบ้านยังมีข้อความเขียนทิ้งไว้ด้วยว่า “ชัดเจน US & Russia” และได้วาดรูปเป็นรูปยานอวกาศ UFO , เรือรบ และขีปนาวุธ ระเบิดปรมาณู อีกด้วย ส่วนบริเวณหลังบ้านทีมข่าวได้เดินสำรวจพบว่ามีห้องเก็บอุปกรณ์ช่าง คล้ายคลังเก็บอาวุธอีกด้วย
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปสอบถามนางบัวตอง อายุ 60 ปี แม่ของผู้ก่อเหตุ เล่าให้ทีมข่าวฟังทั้งน้ำตาว่า เมื่อวานนี้เวลาประมาณ 5 โมงเย็น มีชาวบ้านโทรศัพท์มาบอกว่า พบกลุ่มควันสีดำจำนวนมากพวยพุ่งอยู่ในบ้านหรูของลูกชาย ให้รีบมาดู ตอนนั้นตนเองจึงรีบขี่รถไปถึง ก็พบว่า ลูกชายกำลังยืนเหม่ออยู่ในบ้าน มองเงยหน้าขึ้นฟ้า ตนเองพยายามถามลูกชายว่า “จุดไฟเผาอะไรลูก” ลูกชายตอบกลับว่า “ผมกำลังเผาขยะครับแม่” ตนเองก็ตกใจ และไม่กล้าต่อว่าลูกก่อนจะโทรศัพท์แจ้งตำรวจให้มาระงับเหตุ เพราะกลัวลูกจะคลั่งมากกว่าเดิม
จากนั้นตำรวจได้เข้ามาปิดล้อมตั้งเเต่ 17.30 น. ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนจะนำตัวลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยตนเองยืนยันว่า ลูกชายของตนเองนั้น ป่วยเป็นจิตเวชมาหลายปีแล้ว ส่วนที่มีข่าวว่า ลูกชายของตนเองนั้น เคยถูกรางวัลใหญ่สลากฯ ธ.ก.ส. เป็นเรื่องจริง โดยก่อนหน้านี้ชีวิตของลูกชายกำลังจะไปได้ดี ลูกชายเป็นเด็กขยัน ทำมาหากิน และโอนเงินให้แม่ดูแลตลอดไม่เคยขาด
แต่แล้วชีวิตลูกชายเริ่มเปลี่ยนไป โชคชะตากลั่นแกล้ง โดยเมื่อปี 2562 ลูกชายได้เดินทางไปกินเลี้ยงบ้านของเพื่อน แต่ระหว่างเดินทางขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ลูกชายได้หลับในและขี่รถพุ่งชนท้ายรถ 10 ล้อจนได้รับบาดเจ็บสาหัส สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก ทำให้ลูกชายเริ่มสติไม่ดีตั้งแต่ตอนนั้น จากนั้นเวลาผ่านไปลูกชายก็ยังคงทำงานหาเงิน แต่ก็หาไม่ได้เต็มที่ โดยไปทำงานอยู่ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งลูกชายก็ยังส่งเงินให้กับตนเองเดือนละ 20,000 บาท ซึ่งตนเองเห็นว่าลูกชายทำงานเหนื่อยอาจจะไม่มีเงินเก็บ จึงเก็บเงินให้ลูกชายแทน โดยนำเงิน 20,000 บาท ที่ลูกชายโอนให้ทุก ๆ เดือน ไปซื้อสลากฯ ธ.ก.ส. ซึ่งตนเองซื้อสลากฯ ธ.ก.ส. ให้ลูกชายแบบนี้มากว่า 7 ปี
จนกระทั่ง 16 มีนาคม ปี 2565 มีโทรศัพท์จากพนักงานธนาคาร ธ.ก.ส. โทร. มาแสดงความยินดีกับลูกชายซึ่งกำลังทำงานอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ว่า สลากฯ ธ.ก.ส. ตามชื่อบัญชีของลูกชายถูกรางวัลที่ 1 ได้รับรางวัล 10 ล้านบาท ตอนนั้นลูกชายตกใจมากและรีบโทรศัพท์มาบอกตนเองว่า ตัวเองได้รางวัลแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่เชื่อคิดว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนสุดท้ายตนเองได้นำบัญชีธนาคารของลูกชายไปปรับสมุดบัญชีดูที่แบงก์ จึงพบว่า มีเงินเข้ามาในบัญชีของลูกชายจำนวน 10 ล้านบาทจริง
จากนั้นชีวิตครอบครัวของตนเองก็พลิกผันอีกครั้ง ลูกชายได้ลาออกจากงานที่ จ.ชลบุรี และเดินทางกลับบ้าน และได้นำเงิน 10 ล้านบาทที่ถูกรางวัลแบ่งมาสร้างบ้านหรู จำนวน 5 ล้านบาท ส่วนอีก 5 ล้าน ก็ได้แบ่งโอนเงินให้พ่อแม่ และลูกสาวที่มีกับภรรยาเก่า เดือนละ 8,000 บาท ช่วงแรกลูกชายก็ชวนพ่อแม่ไปอยู่ในบ้านหรู แต่พักหลัง ปี 2566 ลูกชายเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เริ่มมีเพื่อนมากขึ้นหลังจากถูกรางวัล และลูกชายได้พาเพื่อนมาร่วมสังสรรค์ภายในบ้าน วัน ๆ กินแต่เหล้า และมั่วสุมเสพยาบ้ากับกลุ่มเพื่อนในบ้าน ใช้เงินไม่ยั้ง จนลูกชายเริ่มเสียคนไปเรื่อย ๆ และมีอาการเหมือนคนเสียสติ เพราะเสพยาบ้าหนัก ขู่จะฆ่า ทำร้ายพ่อแม่ ชอบพูดว่าตัวเองจะไปทำงานนอกโลก เป็นยอดมนุษย์บ้าง จนตนเอง สามี และหลานสาวกลัว ไม่กล้าอยู่บ้านหรูหลังเดียวกับลูกชาย
หลังจากนั้นลูกชายก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านหรูที่ลูกชายสร้างคนเดียวมาตลอดตั้งแต่ ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านลูกชายเคยถูกจับคดีอาวุธปืนมาแล้ว ตำรวจเอาไปขังในคุก 2 เดือน ตนเองก็ประกันตัวออกมา หวังว่าลูกชายจะปรับตัวใหม่ แต่สุดท้าย ลูกชายก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาบ้าเหมือนเดิมจนกระทั่งเมื่อวานนี้ได้ลงมือเผารถตัวเอง ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าจะช่วยลูกชายอย่างไร อยากให้ตำรวจพาลูกชายไปรักษา เพื่อจะได้ลูกชายคนเดิมกลับมา และหากย้อนเวลากลับไปได้จริง ตนเองก็คงไม่อยากได้เงินจำนวน 10 ล้าน ถูกรางวัลที่ 1 อะไรเลย หากได้มาแล้วลูกชายจะต้องมาเป็นคนบ้าเสียแบบนี้ ตนเองก็ขออยู่แบบจน ๆ พอมีพอกินดีกว่า
ล่าสุดทีมข่าวได้เข้าไปตรวจสอบภายในเฟซบุ๊กของตัวผู้ก่อเหตุ ยังพบว่า เจ้าตัวมักจะชอบโพสต์คลิปตัวเองซ้อมยิงปืนอยู่บริเวณหลังบ้านหรูอยู่เป็นประจำ โดยจะเห็นว่า ตัวผู้ก่อเหตุมีความชำนาญในการใช้วุธปืนมาก ซึ่งในคลิปยังจะได้ยินเสียงลูกสาวของผู้ก่อเหตุ อยู่ในเหตุการณ์โดยตลอดระหว่างซ้อมยิงปืน โดยคลิปดังกล่าวถูกถ่ายไว้ช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2566 ก่อนหน้าที่จะเจ้าตัวจะถูกจับในคดีอาวุธปืน 1 เดือนเท่านั้น
ล่าสุดทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.สุทธิพงศ์ จงวัฒนา ผกก. สภ.เชียงกลาง ได้บอกกับทีมข่าวว่า ตนเองได้รับแจ้งเหตุเวลาประมาณ 6 โมงเย็น จึงรีบพาทีมเข้าไประงับเหตุ เมื่อไปถึงก็พบว่าผู้ก่อเหตุได้จัดการเผารถมอเตอร์ไซค์ของของตัวเองอยู่ภายในบ้านแล้ว โดยผู้ก่อเหตุได้หนีไปอยู่บนชั้นสองและปิดประตูหน้าต่างทุกบานเพื่อกันเจ้าหน้าที่เข้าขับกุม
โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเกลี่ยกล่อมประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นผู้ก่อเหตุได้ลงมาจากบ้านและยอมพูดคุยเจรจากับเจ้าหน้าที่ โดยระหว่างการจับกุม ตัวผู้ก่อเหตุได้อ้างว่าตัวเองเป็น “ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา” และข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หากตำรวจจับเขาเข้าคุก เขาสั่งย้ายทั้งผู้กำกับโรงพัก และเจ้าหน้าที่ทุกนายของ สภ.เชียงกลาง ขาดจากตำแหน่งทันที
ตอนนั้นตนเองก็ได้แต่งงและพูดให้ผู้ก่อเหตุสงบสติอารมณ์ ก่อนจะให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยและแพทย์ฉีดยาระงังับอาการคลุ้มคลั่ง และนำตัวส่งโรงพยาบาลจังหวัดน่านทันที ส่วนการดำเนินคดีของผู้ก่อเหตุ ไม่พบการกระทำความผิดเนื่องจากผู้ก่อเหตุได้เผาทรัพย์สินของตัวเองภายในบ้าน และแม่ของผู้ก่อเหตุไม่ได้ติดใจจะเอาเรื่อง แต่เจ้าหน้าที่ได้จับผู้ก่อเหตุเพื่อส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลน่าน เพื่อรักษาอาการทางจิตเวชต่อไป
ล่าสุดทีมข่าวยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบ้านของเพื่อนบ้านผู้ก่อเหตุ เวลาประมาณ 18.55 น. จะเห็นแม่ของผู้ก่อเหตุได้จูงลูกสาววัย 8 ขวบ ของนายภูริวัช ผู้ก่อเหตุ เพื่อไปที่บ้านหรูหลังเกิดเหตุ หลังจากทราบเรื่องว่า ลูกชายคลั่งเผารถในบ้าน ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านของชาวบ้านไปไม่ถึง 30 เมตร ซึ่งในขณะนั้นมีบรรดาชาวบ้านเฝ้าดูผู้ก่อเหตุอยู่แต่ด้านนอก ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ เนื่องจาก กลัวว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยอีกด้วย