จากกรณีสองสามีภรรยาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถเก๋งเสียหลักรถกระบะที่จอดอยู่ข้างทางและชนเสาไฟฟ้าหักสองท่อน บนถนนสุขประยูรขาเข้าพนัสนิคมหมู่ 1 ตำบลหนองตำลึง อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ทราบชื่อคือ นายสิรภพ อายุ 41 ปี (คนขับ) นางสาวณัจฉรียา อายุ 41 ปี (นั่งข้างคนขับ) นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกสองราย ซึ่งเป็นลูกของผู้เสียชีวิตที่นั่งอยู่บริเวณเบาะหลัง ทราบชื่อคือ เด็กชายพัชรพล อายุ 14 ปี และเด็กชายเกษมโชค อายุ 11 ปี
ล่าสุดทีมข่าวช่องแปดได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุพบว่าบริเวณที่เกิดเหตุยังคงมีร่องรอยของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยมีทั้งเศษซากรถที่แตกหักวางกองอยู่ริมทางถนน, มีป้ายสัญญาณบอกทางข้ามทางม้าลายที่หลุดออกจากพื้น, เสาไฟฟ้าที่ชำรุดเสียหายหักเป็นสองท่อน
นอกจากนี้กล้องวงจรปิดก็สามารถบันทึกภาพขณะเกิดเหตุเอาไว้ได้ โดยเป็นภาพของวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 เริ่มจากกล้องตัวที่ 1-2 ในเวลา 20.44 น. จะเห็นว่ารถเก๋งสีขาวนั้นได้ขับมาด้วยความเร็วมาก ซึ่งขณะนั้นสภาพการจราจรบนท้องถนนก็ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่เนื่องจากมีฝนตกค่อนข้างหนัก ต่อมาในเวลาเดียวกันกล้องตัวที่ 3 จะเห็นว่ารถเก๋งคันดังกล่าวได้หมุนเสียหลักไปชนเข้ากกับรถกระบะตู้ทึบที่จอดอยู่ข้างทาง จนเวลาผ่านไปประมาณ 5 นาที รถของเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ได้ขับเข้ามายังจุดเกิดเหตุจำนวนหลายคัน เพื่อที่จะมาทำการช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในซากรถออกมาและนำส่งโรงพยาบาล
ต่อมาในเวลา 16.30 น. เจ้าหน้าที่ก็ได้นำร่างของนายสิรภพและนางสาวณัจฉรียา (ผู้เสียชีวิต) มาตั้งไว้ที่วัดยุคลราษฎร์ ตำบลเกาะลอย อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี โดยที่มีการขับรถเข้ามาจำนวน 2 คัน ซึ่งคันแรกก็เป็นร่างของนางสาวณัจฉรียา และคันที่สองตามมาอย่างติด ๆ ก็คือร่างของนายสิรภพ ซึ่งเจ้าหน้าที่รวมถึงญาติพี่น้องที่เป็นผู้ชายก็ได้มีการเข้าไปแบกหามโลงศพลงจากรถและนำมาตั้งไว้ภายในศาลา โดยที่มีการนำร่างของสองสามีภรรยามาตั้งไว้ข้างกัน จากนั้นจึงมีการเชิญให้ญาติพี่น้องเข้ามารดน้ำศพ โดยที่มีคนเข้ามาแสดงความอาลัยมากกว่า 100 คน ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าโศกเสียใจของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อมกันถึงสองคนในคราวเดียวกัน ขณะที่ลูกชายทั้งสองของผู้เสียชีวิตนั้นก็กำลังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งตอนนี้เด็กชายทั้งสองก็ยังไม่ทราบว่าพ่อและแม่ได้เสียชีวิตแล้ว
นายช่วย อายุ 75 ปี ซึ่งเป็นพ่อของนายสิรภพ (ผู้เสียชีวิต) เผยว่า ลูกชายกับลูกสะใภ้นั้นคบหากันมานาน 14-15 ปีแล้ว โดยที่มีลูกชายด้วยกันทั้งหมด 2 คน ที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เหมือนก็คนทั่วไป มีทะเลาะกันบ้างเป็นบางครั้ง โดยเรื่องที่ทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยที่สุดน่าจะเป็นเรื่องเงิน ซึ่งทราบว่าทั้งสองคนนั้นมีหนี้สินติดตัวและมักจะมาขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพ่ออยู่บ่อยครั้ง แต่ตนก็ช่วยเหลือลูกหลานมาตลอด บางครั้งก็ควักเงินแสนให้ด้วยซ้ำ อย่างล่าสุดเมื่อ 2 วันก่อน ลูกชายก็ได้เข้ามาขอเงิน 50,000 บาท เพื่อที่จะนำไปเป็นค่าเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่นายสิรภพนั้นบอกว่าจะไปทำงานขับรถที่ต่างประเทศ ซึ่งตนก็ไม่ได้ขัดอะไรเพราะเห็นว่าลูกชายนั้นเป็นคนขับรถเก่ง ทั้งรถเล็กรถใหญ่ก็เคยขับมาทั้งหมดแล้ว แต่สุดท้ายก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ซึ่งตนก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในรถ ไม่รู้ว่าทั้งสองผัวเมียนั้นทะเลาะอะไรกัน ตอนนี้ตนก็ได้แต่สงสารหลานชายที่ต้องกำพร้าพ่อและแม่ไปในคราวเดียวกัน หลังจากนี้ตนก็จะเป็นคนรับหลานชายมาเลี้ยงเองเนื่องจากตนก็เคยเลี้ยงหลานชายทั้งสองคนมาตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้อาการของหลานชายทั้งสองคนก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ยังต้องนอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลซักระยะจึงจะรับกลับบ้านได้
โดยนายช่วยก็ได้บอกอีกว่า ก่อนเกิดเหตุขึ้นก็เหมือนจะมีลางบอกเหตุ ซึ่งเมื่อวานนี้ทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ก็ได้ออกไปตระเวนทำบุญตามวัดต่าง ๆ ประมาณ 5 วัด ทั้งที่ปกติตนไม่ค่อยเห็นสองผัวเมียคู่นี้ไปทำบุญเท่าไหร่นัก หรือแม้กระทั่งก่อนออกจากบ้านไป ญาติก็ได้มีการเอ่ยปากทักว่าทำไมนายสิรภพถึงใส่เสื้อจากออกจากบ้าน แต่ตอนนั้นนายสิรภพก็ออกไปตามปกติ ไม่ได้มีการเปลี่ยนเสื้อแต่อย่างใด ตนก็คิดว่านี่คือลางบอกเหตุ ส่วนถ้าถามว่าตอนนี้อยากบอกอะไรกับลูกชายและลูกสะใภ้หรือไม่นั้น นายช่วยก็ยืนยันว่าไม่มีอะไรจะพูด เพราะต่อให้ตนบอกอะไรไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เบื่อว่าลูกชายและลูกสะใภ้จากไปแล้ว เขาก็คงจะไม่รับรู้อะไรแล้ว