จากกรณีเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 22 ก.ค 67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ได้รับแจ้งมีเหตุกลุ่มวัยรุ่นถูกยิงเข้าไปขอความช่วยเหลืออยู่ภายในปั๊มน้ำมัน บ้านโคกสาย ต.หนองแวง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ภายหลังรับแจ้งจึงรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ
โดยที่เกิดเหตุพบกลุ่มวัยรุ่นเยาวชนอายุ 14-15 ปี ประมาณ 6 คนอยู่ในอาการตกใจสุดขีดส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเด็กชายเยาวชนอายุ 14 ปี ชื่อว่า ด.ช.พงศ์พิพัฒน์ หรือน้องบอส ถูกอาวุธปืนไม่ทราบขนาดยิงเข้าที่ท้ายทอยด้านหลังจำนวน 1 นัดโดยที่เจ้าหน้าที่กู้ชีพได้นำตัวส่งรักษายังโรงบาลร้อยเอ็ดแต่เด็กชายทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา ในที่เกิดยังพบกองเลือดของผู้เสียชีวิตและหมวกกันน็อกสีดำ 1 ใบเต็มไปด้วยลอยเลือดและพบรอยกระสุนไม่ทราบขนาดที่ด้านหลังของหมวกกันน็อก นอกจากนี้ยังพบรอยกระสุนไม่ทราบขนาดอีก 1 รูถูกยิงเข้าใส่กระจกมองหลังด้านซ้ายเป็นรูทะลุและรอยคราบเลือดเต็มรถ จยย. ที่ผู้ตายนั่งมา
จากนั้นเมื่อเวลา 15.00 น. ทางตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองร้อยเอ็ด และตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด ได้มีการไปทยอยนำตัวกลุ่มคนก่อเหตุเข้ามาที่โรงพัก ซึ่งตามรายงานเบื้องต้น ตำรวจไปรวบตัวเยาวชนที่ก่อเหตุมาได้ทั้งหมด 4 คน
ก็คือ 1. ด.ช.บูม (นามสมมติ) อายุ 13 ปี (เป็นคนยิง) / 2. ด.ช.ออม (นามสมมติ) อายุ 14 ปี (เป็นคนขับรถ) / 3. ด.ช.โอม (นามสมมติ) อายุ 14 ปี (เป็นคนซ้อน) และ 4. ด.ช.เจ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี (เป็นคนขับรถอีกคัน)
ส่วนของกลางที่ตำรวจไปตรวจยึดมาได้ คือ 1. เสื้อผ้าของเยาวชนที่ไปก่อเหตุ 2. รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า PCX สีเทา 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟสีดำอีก 1 คัน
ส่วนอาวุธปืนและมีด ตามคลิปที่ตำรวจส่งมาให้ทีมข่าว หลังจากการไปจับกุมเยาวชนที่เป็นคนก่อเหตุ ทาง ด.ช. เจ ที่พกอาวุธมีดไปในคืนเกิดเหตุ ได้พาตำรวจไปชี้จุดทิ้งมีด ที่บริเวณหนองน้ำสาธารณะท้ายหมู่บ้านบ้านบัวหมู่ที่ 2 ต.หนองแวง อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด
ส่วนอาวุธปืน ด.ช.บูม มือยิงได้มีการพาตำรวจไปชี้จุดที่มีการขุดหลุมฝั่งอาวุธปืนเอาไว้ภายในป่าห่างจากจุดทิ้งมีดประมาณ 150 เมตร ซึ่งปืนที่ตำรวจไปพบ เป็นปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ที่ถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อ
โดยทีมข่าวได้ไปคุยกับนางปราณี (นามสมมติ) ซึ่งเป็นแม่ของ ด.ช.ออม ซึ่งเป็นคนขับรถให้กับทางฝั่งเยาวชนที่ไปก่อเหตุ บอกว่า เมื่อวานนี้ลูกชายออกจากบ้านไปช่วงเย็น ซึ่งลูกบอกว่าจะออกไปตัดผม โดยแม่ เมื่อวานแม่ มีธุระที่จะต้องดูแลคนป่วยในบ้านพอตกดึกก็ปิดโทรศัพท์นอน จึงไม่รู้ว่าลูกกลับมาถึงบ้านตอนกี่โมง
จนกระทั่งช่วงบ่าย ในขณะที่แม่ทำบุญอยู่ที่วัด จู่ๆหลานสาวที่บ้านก็โทรศัพท์มาบอกว่าตำรวจมาเอาตัวลูกชายที่บ้าน และนำรถจักรยานยนต์ของลูกชายขึ้นรถกระบะออกไปจากบ้าน ซึ่งตำรวจแจ้งในเบื้องต้นว่าลูกชายเป็นคนขับรถในช่วงที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่ได้แจ้งว่าจะดำเนินคดีอะไรกับลูกบ้าง ยืนยันแม่ ไม่รู้ว่าลูกชายไปมีปัญหาอะไรกับกลุ่มผู้ตาย เพราะก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยมาบอก ยืนยันแม่ ห้ามลูกตลอดว่าไม่ให้ออกจากบ้านตอนกลางคืน ซึ่งลูกรับปากโดยการพูดว่าครับตลอด ไม่คิดว่าลูกจะอยู่ในกลุ่มเยาวชนที่ไปก่อเหตุ
ขณะเดียวกันในส่วนของเพื่อนๆผู้ตาย ตำรวจไปค้นเจอปืนที่ใต้เบาะรถจำนวน 2 กระบอก ก็คือปืนไทยประดิษฐ์ขนาด 9 มม. 1 กระบอก และปืนปากกา อีก 1 กระบอก ซึ่งตามข้อมูลก่อนที่กลุ่มคนก่อเหตุจะไปจ่อยิงเด็กชายวัย 14 ปี ทั้งสองกลุ่มมีการขี่รถไล่ยิงกันไปก่อนที่จะถึงจุดเกิดเหตุ
ซึ่งหลังจากที่ทีมข่าวได้ข้อมูลว่าทางฝั่งคนตายก็มีปืน จึงไปถามกับนายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ตาย ว่าก่อนเกิดเหตุทางฝั่งผู้ตายมีการยิงใส่กลุ่มคนก่อเหตุหรือไม่ โดยนายเอ็ม ยอมรับกับทีมข่าวว่า ตอนที่กลุ่มคนก่อเหตุยิงใส่ก่อน 1 นัด ทางฝั่งของผู้ตายมีการยิงสวนไป 1 นัดเช่นเดียวกันแต่ไม่โดนกลุ่มคนก่อเหตุ และที่น้องวัย 14 ถูกยิงคนเดียว เป็นเพราะว่าน้องซ้อนรถคันสุดท้าย
ด้าน พ.ต.อ.ชลิต ศรีหานู ผกก.สภ.เมืองร้อยเอ็ด กล่าวว่า ทางตำรวจรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งหลังจากที่มีการสืบสวนจนทราบตัวผู้ก่อเหตุ ตำรวจจึงมีการไปตามตัวทั้งคนยิง คนขับรถและคนที่ซ้อนรถไปด้วยกันในขณะที่ไปก่อเหตุได้แล้วทั้งหมด 4 คน ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นเยาวชน อายุ 13 ปีและ 14 ปี
โดยจากการสอบถามเบื้องต้น ทั้ง 4 คนอ้างว่าถูกกลุ่มเยาวชนทางฝั่งคนตายไล่ทำร้ายก่อน จึงกลับบ้านไปตามพรรคพวกและพกอาวุธปืนและมีดออกมา กระทั่งไปเจอกับฝั่งคนตายที่สี่แยกไฟแดง ต่อมาจึงขับขี่รถไล่ทำร้ายกันและไปจ่อยิงน้องบอส กลางทางจนเสียชีวิต
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องที่น่าตกใจ คือจากการสอบถาม ทั้งสองกลุ่มไม่เคยมีเรื่องและไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ส่วนเรื่องคดีหลังจากนี้ ก็จะให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจเขม่าดินปืนกับเยาวชนทั้งกลุ่มคนก่อเหตุและกลุ่มของผู้ตาย โดยในส่วนข้อมูลที่ตำรวจไปพบอาวุธปืนทางฝั่งผู้ตาย ตำรวจก็จะมีการแจ้งข้อหากับทางเจ้าของปืนทางฝั่งผู้ตาย ส่วนการสอบปากคำและการแจ้งข้อหาตำรวจจะมีการนำตัวเยาวชนทั้งหมดไปสอบปากคำร่วมกับเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ หากพบว่าใครมีความผิดก็จะดำเนินคดีไปตามกฎหมายโดยจะให้ความยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน