จากกรณีเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.00 น. นายสง่า อายุ 67 ปี ผู้เสียหาย ได้ขี่รถจักรยานยนต์ขนลำโพงจากบ้านพนมดิน ม.4 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อจะเอาไปที่ร้านค้าที่บ้านพนมดิน หมู่ที่ 3 ระหว่างที่ขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนสายบ้านพนมดิน หมู่ 3 นั้น มีนายนิติภูมิ อายุ 41 ปี ผู้ต้องหา ขับขี่รถจักรยานยนต์สวนทางมา และล้ำเข้ามาในช่องการเดินรถของนายสง่า และรถเกิดเหตุเฉี่ยวชนตู้ลำโพงที่นายสง่าบรรทุกมาแตกเสียหาย
และหลังเกิดเหตุที่รถเฉี่ยวชนกันแล้ว คู่กรณีก็ไม่หยุดรถ โดยนายนิติภูมิ คนก่อเหตุ ได้ขี่หลบหนีไปทางบ้านพนมดิน ม. 4 นายสง่า ผู้เสียหาย จึงขับขี่รถติดตามไปและไปหยุดดักข้างหน้า โดยพูดต่อว่ารถชนกันแล้วทำไมไม่หยุดรถคุยกัน ซึ่งนายนิติภูมิ คนก่อเหตุ ได้ขี่รถเลยไปจากจุดที่นายสง่าหยุดรถ และได้หยุดรถจากนั้นได้ให้ลูกชายที่นั่งมาลงจากรถ ก่อนที่นายนิติภูมิจะเปิดเบาะรถจักรยานยนต์ แล้วหยิบเอาปืนมาเล็งและยิงมาที่นายสง่าจำนวน 1 นัด พร้อมพูดว่า "ข้าชื่อไหว ลูกนายเง่า" แล้วพูดว่าจะเอาลูกไปบ้านแล้วจะกลับมาคืน จากนั้นนายสง่าได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกจากที่เกิดเหตุ แล้วได้เดินทางมาแจ้งความที่ สภ.พนมดงรัก
ภายหลังตำรวจรับแจ้งเหตุ เวลา 15.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พนมดงรัก ได้ติดตามจับกุมตัว นายนิติภูมิ ผู้ต้องหา ได้ที่บ้านพัก พร้อมอาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก ที่ผู้ต้องหาใช้ก่อเหตุ นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยตำรวจได้แจ้งข้อหา พยายามฆ่าและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร
ล่าสุด (27 ก.ค. 2567) ทีมข่าวได้ภาพวงจรปิดจะเห็นว่าก่อนเกิดเหตุเวลา 13.16 น. นายสง่า ผู้เสียหาย มีการขี่รถผ่านหน้ากล้องใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่านายสง่า ผูกลำโพงคู่ใจเอาไว้ที่ท้ายรถ จากนั้นเมื่อนายสง่า ผู้เสียหาย ขี่รถไปโดนนายนิติภูมิ เฉี่ยวที่หน้าปากซอย จะเห็นว่า เวลา 13.19 น. นายสง่า มีการขับขี่รถหน้าตั้งผ่านกล้องเข้ามาเพื่อดักรอคนก่อเหตุ และผ่านไปประมาณ 1 นาที เวลา 13.20 น. ก็จะเห็นนายนิติภูมิ คนก่อเหตุ ซึ่งใส่เสื้อสีม่วงมีเด็กอยู่ข้างหลัง ขับขี่รถผ่านกล้องตามนายสง่า เข้ามายังจุดเกิดเหตุ
จนกระทั่งเมื่อทั้งสองฝ่าย ขับขี่รถมาเจอกันตรงที่เกิดเหตุ ซึ่งจะอยู่เลยหน้ากล้องวงจรปิดไปประมาณ 20 เมตร จะได้ยินเสียงทั้งสองฝ่ายตะโกนต่อว่ากัน จากนั้นก็จะได้ยินเสียงปืนดังสนั่นขึ้น 1 นัด และเมื่อสิ้นเสียงปืนก็จะได้ยินเสียงโวยวาย ขณะเดียวกันหลังสิ้นเสียงปืน วงจรปิดที่ทางแยก ก็จะเห็นนายนิติภูมิขับขี่รถเข้ามาตรงทางแยกและเลี้ยวรถหลบหนีเข้าไปในบ้าน ซึ่งจะเห็นว่าใสขณะที่เกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ลูกชายตัวเล็กก็อยู่กับนายนิติภูมิ ตลอดเวลา
นายสง่า ผู้เสียหาย เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองอยู่ที่บ้าน จากนั้นประมาณ 13.00 น. เมียโทรศัพท์มาชวนให้ไปนั่งเล่นที่ร้านขายอาหาร ด้วยความที่เห็นว่าฝนกำลังจะตก กลัวไฟดับและเหงา จึงนำตู้ลำโพงบลูทูธคู่ใจที่นอนฟังเพลงทุกวันมาผูกที่ท้ายรถและขี่รถไปที่ร้านค้าของเมีย แต่ปรากฏว่าระหว่างทางเห็นนายนิติภูมิ ผู้ก่อเหตุที่ขี่รถมากับลูกมีการหักรถหลบลูกระนาดเข้ามาในเลนที่ตนเองขี่รถมา ตนเองก็เลยหักหลบไปทางขวา แต่ปรากฏว่าตอนที่หักรถหลบนายนิติภูมิ ดันขี่รถมาเฉี่ยวลำโพงจนตกแตก ตนเองก็เลยตะโกนบอกให้หยุด แต่นายนิติภูมิไม่ยอมหยุด ด้วยความโมโหก็เลยขี่รถตามไปดักหน้าเอาไว้ ซึ่งตอนที่ตนเองเดินลงจากรถก็ถามกับนายนิติภูมิดี ๆ ว่า "เอ็งผิดเพราะขี่บรถข้ามเลนมาเฉี่ยว ทำไมถึงไม่จอดรถคุยกัน ทำไมต้องขับรถหนี"
แต่ปรากฏว่า นายนิติภูมิเดินกลับไปที่รถและให้เด็กที่ซ้อนรถมาด้วยลงจากรถ กระทั่งเขามีการหยิบปืนออกมาจากใต้เบาะรถ และก็เล็งปืนยิงมาที่ตนเอง 1 นัด แต่ไม่โดน ตนเองก็เลยตะโกนไประหว่างที่มันกำลังจะบรรจุกระสุนปืนเพื่อจะยิงนัดที่ 2 ว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องยิงกันด้วย ลำโพงที่เสียหายราคาไม่กี่บาทคุยกันได้ แต่นายนิติภูมิไม่ฟังโดยมันตะโกนมาถามตนเองอีกว่า "หรือมึงจะเอาอีก กูชื่อไอ้ไหว ลูกนายเง่า" จากนั้นเขาก็พยายามจะถือปืนวิ่งเข้ามาหา ตนเองเห็นท่าไม่ดีคิดว่าถ้ายืนอยู่ถูกเขายิงตายแน่ ก็เลยวิ่งไปขอความช่วยเหลือกับหลานที่ยืนกรีดยางอยู่ในสวน กระทั่งนายนิติภูมิเห็นหลานจะวิ่งออกมาช่วยเขาก็เลยขับขี่รถหลบหนีไป
ยืนยันก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ส่วนนายเง่า ชื่อที่มันถามว่ารู้จักไหมพ่อมันเป็นใคร ยอมรับว่ารู้จัก เพราะพ่อของเขาเป็นญาติกับตนเอง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่าตกใจมาก ส่วนเรื่องคดี ตำรวจนัดให้ไปไกล่เกลี่ยกันในช่วงเวลา 17.00 น. โดยทีมข่าวก็ถามว่า ถ้าสมมติญาติของคนก่อเหตุซื้อลำโพงให้ใหม่ และให้คนก่อเหตุขอโทษจะยอมหรือไม่ ซึ่งนายสง่ายืนยันว่าไม่ยกโทษให้ และจะไม่ยอมความเพราะเมื่อวานนี้หลังจากตำรวจจับกุมตัวได้ นายนิติภูมิมันชี้หน้าตะโกนขู่ตนเองบนโรงพักว่า "กูออกมาจากคุกได้เมื่อไรมึงตาย"
นอกจากนี้ นายสง่า ผู้เสียหาย ได้นำลำโพงคู่ใจที่ได้รับความเสียหายมาผูกกับท้ายรถจักรยานยนต์ให้ทีมข่าวดู ว่าก่อนเกิดเหตุผูกลำโพงไปแบบไหน ซึ่งจากการที่นายสง่าทำท่าทางให้ทีมข่าวดูและอธิบายไปด้วย ทีมข่าวมองว่าลำโพงที่นายสง่า ผูกไปที่ท้ายรถยื่นออกมาจากตัวรถเพียงเล็กน้อย
จากนั้นนายสง่าได้พาทีมข่าวไปชี้จุดที่ขับขี่รถสวนกันกับนายนิติภูมิ ผู้ก่อเหตุ ซึ่งจุดที่มีการขับขี่รถไปเฉี่ยวกัน นั้นเป็นถนนคอนกรีต ตรงทางเข้าออกหลังหมู่บ้านที่เชื่อมกับหมู่ 3 และหมู่ 4 โดยจุดเกิดเหตุไม่มีกล้องวงกลม ส่วนจุดที่มีการก่อเหตุยิงกัน จะอยู่ห่างจากจุดที่ขับขี่รถไปเฉี่ยวกันประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นสวนยางหลังหมู่บ้าน โดยนายสง่ามีการชี้จุดให้ทีมข่าวดูว่า ตอนเกิดเหตุถูกนายนิติภูมิยืนจ่อยิงแค่ระยะประมาณ 20 เมตร
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ สภ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ โดยขณะที่ไปถึง พ.ต.ท.กัมพล มิฆเนตร สารวัตรสอบสวน กำลังมีการนำตัวนายนิติภูมิ คนก่อเหตุออกมาสอบปากคำพอดี โดยทันทีที่ตำรวจนำตัวออกมาจากห้องขัง ทีมข่าวก็ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งนายนิติภูมิ บอกว่า ตอนที่ขี่รถไปเฉี่ยวลำโพงนายสง่า ยืนยันว่าตนเองก็จอดรถหันไปดูอยู่ แต่ด้วยความที่มีลูกวัย 4 ขวบนั่งรถมาด้วย กลัวว่าจะมีเรื่องจึงพยายามจะขี่รถไปส่งลูกที่บ้านก่อน และจะขี่รถย้อนกลับมาเคลียร์
แต่นายสง่ายังขี่รถตามมาด่า และมาจอดรถดักกลางทาง ด้วยความโมโหก็เลยเดินไปหยิบปืนมายิง 1 นัด จากนั้นก็ขี่รถพาลูกเข้าบ้าน ยืนยันไม่ได้ตั้งใจจะหลบหนี ส่วนที่นายสง่าอ้างว่าตนเองตะโกนบอกชื่อและถามกับนายสง่า ไปว่ารู้ไหมกูลูกใคร ยืนยันตนเองไม่ได้พูด ส่วนปืนที่ใช้ก่อเหตุ เก็บมาได้จากข้างทางและตอนที่ไปก่อเหตุตั้งใจจะเอาปืนไปจำนำกับเพื่อน ขอโทษยืนยันไม่ได้ตั้งใจแค่จะยิงขู่ และตอนก่อเหตุก็ยอมรับว่าเมาจึงทำไปเพราะขาดสติ