คืบหน้ากรณี ครอบครัวของ MISS WANG JIABAO หรือ นางสาวแวง สัญชาติจีน ซึ่งเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ก่อนถูกกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวงให้เข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. และให้ไปพักอาศัยอยู่ที่ห้องพักแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท 81 ก่อนจะบังคับให้มีการใช้เทปและเชือกพันธนาการตัวเอง ส่งให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อเอาไปรีดไถกับครอบครัวที่อยู่ในประเทศจีน โดยมีการเรียกเงินจำนวน 15 ล้านบาท หากคิดเป็นเงินไทย และหลังจากได้รับแจ้งจากญาติในประเทศจีน ที่มอบอำนาจประสานมายังคนรู้จักในประเทศไทย จึงได้มีการแจ้งความเอาไว้ที่ สภ.สุวรรณภูมิ ก่อนที่ชุดสืบสวนจะไล่ไทม์ไลน์และไปเจอตัวนางสาวแวง พร้อมกับเข้าให้การช่วยเหลือ นั้น




วันนี้ (31 ก.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยได้เดินทางไปที่ สภ.สุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ พบว่าวันนี้ได้มีการประชุมร่วมกันกับตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจ สภ.สุวรรณภูมิ โดยเฉพาะทีมสืบสวนที่เข้าช่วยเหลือนางสาวแวง โดยมีการสรุปและไล่ไทม์ไลน์เกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพื่อเชื่อมโยงว่ายังมีเครือข่ายหรือกลุ่มคนอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ แต่ผลการประชุมใช้เวลานานกว่า 7 ชั่วโมง เพิ่งจะแล้วเสร็จไปเมื่อเวลา 16.00 น. ที่ผ่านมา แต่จากการตรวจสอบเครือข่ายยังไม่พบบัญชีและการกระทำผิดในประเทศไทย แต่เข้าใจว่าเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้รูปแบบออนไลน์จากนอกประเทศทั้งหมด




และมีบางช่วงที่ตัวของพ่อและแม่รวมถึงญาติของนางสาวแวง ผู้เสียหาย ได้มีการเดินออกจาก สภ.สุวรรณภูมิ เพื่อไปติดต่อกับตำรวจท่องเที่ยว ในการประสานงานเกี่ยวกับการเดินทางกลับ และมีบางช่วงภายในพื้นที่โรงพัก สภ.สุวรรณภูมิ จะมีภาพบรรยากาศตัวของนางสาวแวง ได้ยืนพูดคุยอยู่กับพ่อและแม่ ก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปสอบปากคำต่อ แต่เบื้องต้นตัวของผู้เสียหายมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้มีการให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลกับทีมข่าว


และหลังจากนั้น ตัวของผู้เสียหายหลังจากที่มีการสอบปากคำเสร็จ เวลาประมาณ 16.00 น. โดยประมาณ ได้ทยอยเดินทางขึ้นรถกลับออกไปจากโรงพักภายหลังมีการสอบปากคำเสร็จสิ้น ซึ่งตัวของนางสาวแวงและรวมถึงผู้ปกครองที่เดินทางมาจากประเทศจีน ก็ไม่ได้มีการให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลกับทีมข่าวของไทยที่มาปักหลักรอ โดยเจ้าตัวบอกว่าไม่สามารถสื่อสารภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษได้ กลัวว่าสื่อสารผิดพลาด จึงได้ให้คนรู้จักที่ทำธุรกิจร่วมกัน และเป็นคนช่วยประสานงานจนกระทั่งมีการเจอตัวผู้เสียหาย จะเป็นคนให้ข้อมูลกับทีมข่าวของไทยแทน




วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม วันที่ 28 ก.ค. เวลา 16.15 น. ซึ่งเป็นกล้องวงจรปิดเส้นทางออกจากสุวรรณภูมิมุ่งหน้าไปที่ห้างมาบุญครอง ย่านปทุมวัน โดยเป็นรถแท็กซี่เขียว-เหลือง หลังมีการรับนางสาวแวง ผู้เสียหาย ออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รับที่บริเวณชั้น 1 ช่องจอดที่ 23 โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดเส้นทางออกจากสุวรรณภูมิขึ้นมอเตอร์เวย์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ไปยังห้างมาบุญครองจับภาพเอาไว้




จากนั้นมีกล้องวงจรปิดแถวห้างมาบุญครอง จับภาพในในวันเดียวกันได้ 28 ก.ค. 17.10 น. จับภาพรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง มีการไปส่งผู้เสียหายบริเวณปากซอยเกษมสันต์ 3 ย่านปุทมวัน ซึ่งจากภาพรถแท็กซี่มุ่งหน้าไปส่งผู้เสียหายเอาไว้ได้ และมีภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดวงจร จับภาพรถตุ๊กตุ๊กที่จอดอยู่บริเวณข้างห้าง ก่อนที่ผู้เสียหายจะมาขึ้นรถช่วงเวลาประมาณ 18.10 น. หลังจากที่ไปทำธุระเสร็จ เพื่อมาขึ้นรถตุ๊กตุ๊กและให้ไปส่งที่สวนจตุจักร




ขณะเดียวกันทีมข่าวได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม หลังจากที่ทราบว่าตัวของรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง ได้มีการเลี้ยวเข้าไปจอดซอยเกษมสันต์ 3 เพื่อไปส่งผู้เสียหาย โดยจะเห็นรถแท็กซี่ได้ขับไปส่งผู้เสียหายตามพิกัดซอย จากนั้นผู้เสียหายจะลงจากรถ และเดินไปอีกจุดเพื่อไปพิพิธภัณฑ์ จิม ทอมป์สัน โดยในภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นรถแท็กซี่สีเขียว-เหลืองคันที่ไปส่ง และเห็นผู้เสียหายเดินถือกระเป๋าลากอยู่ในเฟรมกล้องวงจรปิด โดยเป็นวันเดียวกันที่เดินทางมาถึง คือ 28 ก.ค. เป็นช่วงเวลาประมาณ 18.10 น.




จากนั้น มีภาพกล้องวงจรปิดบริเวณริมถนน หลังจากผู้เสียหายออกจากพิพิธภัณฑ์ จิม ทอมป์สัน เพื่อไปซื้อหมวกและผ้าพันคอใหม่ จากนั้นจะมีการเปลี่ยนหมวก จากเดิมที่ใส่สีขาวหรือครีมเปลี่ยนไปเป็นสีดำ และเปลี่ยนกางเกงขายาวสีดำเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น เดินถือกระเป๋าและของพะรุงพะรัง เดินไปที่ริมถนนเพื่อที่จะไปรอขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก และเรียกให้ไปส่งต่อที่สวนจตุจักรโดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพผู้เสียหายเอาไว้ได้ ช่วงเวลาประมาณ 18.30 น. โดยจะเห็นว่าผู้เสียหายเดินไปที่ป้ายรถเมล์เมล์ และจะเป็นช่วงที่ขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก แต่จะเป็นปลายมุมกล้องที่มองไม่ค่อยชัด


และทีมข่าวยังได้รับภาพนิ่งจากชุดสืบสวนตอนที่เข้าไปสอบปากคำและยืนยันรถตุ๊กตุ๊ก เป็นคันเดียวกันกับที่รับผู้เสียหายออกไปจากแถวพิพิธภัณฑ์ จิม ทอมป์สัน เพื่อมุ่งหน้าไปที่สวนจตุจักร โดยเป็นภาพนิ่งที่ชุดสืบสวนเข้าไปบันทึกภาพประกอบในสำนวน ที่ได้รับภาพนิ่งเพิ่มเติมจากผู้กำกับ สภ.สุวรรณภูมิ เป็นภาพหลังจากเกิดเหตุและเข้าช่วยเหลือผู้เสียหายได้แล้ว โดยจะเห็นว่าผู้เสียหายมีการชี้เชือกที่เป็นของกลาง รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้พันธนาการ อาทิ สก๊อตเทป และขาตั้งกล้อง รวมถึงชุดที่ผู้เสียหายสวมใส่ในขณะที่ถ่ายคลิป




ด้านนางสาวณปภัช เพื่อนร่วมธุรกิจของครองครัวผู้เสียหาย ในฐานะคนรู้จักที่อยู่ในประเทศไทยและเป็นคนไทย เผยว่า ในวันนี้การเดินทางมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นครั้งสุดท้าย โดยได้มีการตอบข้อซักถามและรวมถึงให้ข้อมูลทั้งหมดกับทางตำรวจไทย ก่อนที่ทางพ่อและแม่ของผู้เสียหายจะเดินทางกลับประเทศจีน ส่วนผู้เสียหาย นางสาวแวง จะเดินทางต่อกลับไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นเหมือนเดิม เพราะตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นหมดแล้ว หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือและรวมถึงทางการไทยช่วยเหลือในด้านของคดี


สำหรับเหตุการณ์ในวันนั้น ตนเองได้รับประสานจากพ่อและแม่ของนางสาวแวง ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์และทำธุรกิจด้วยกัน หลังจากได้รับแจ้งว่าลูกสาวถูกลักพาตัวและถูกมัดมือมัดเท้าตามที่ปรากฏอยู่ในคลิป แล้วเหตุเกิดขึ้นอยู่ในประเทศไทย ตนเองจะได้รับมอบอำนาจจากพ่อและแม่ของผู้เสียหายให้เดินทางเข้าแจ้งความ และหลังจากแจ้งความได้มีการประสานงานกับทางชุดสืบสวนของ สภ.สุวรรณภูมิ จนกระทั่งนำไปสู่การช่วยเหลือได้อย่างสำเร็จ


และสำหรับพฤติกรรมของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการใช้ความหัวอ่อนของคน ประกอบกับข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเข้าใจว่ากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มีการเลือกเป้าหมายสำหรับครอบครัวที่มีฐานะและเป็นคนมีเงิน แล้วมีการส่งลูกหรือหลานไปเรียนในต่างประเทศ จากนั้นก็จะมีการออกอุบายทำนองว่าญาติพี่น้องที่อยู่ในประเทศนั้น ๆ กำลังมีปัญหาเรื่องของทางธุรกิจและอาจจะถูกจับ จนทำให้ลูกหลานที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด จึงหลงเชื่อจนนำไปสู่การถูกหลอกในครั้งที่มีการโอนเงินจำนวน 2,500,000 บาท หากคิดเป็นเงินไทย แต่เป็นการโอนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น


และหลังจากการโอนแล้วเรียกว่าเป็นการจ่ายค่าเงินประกัน เพื่อช่วยคดีให้กับครอบครัว ผู้เสียหายได้มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว และหลังจากจ่ายเสร็จ ทางกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะนัดให้ไปเคลียร์คดีและคุยกันต่อในต่างประเทศ แต่มีการระบุชัดเจนว่าให้เป็นประเทศไทย ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นประเทศที่ฟรีวีซ่า ไม่ยุ่งยากเกี่ยวกับการเดินทางเข้าประเทศ จึงเลือกที่จะก่อเหตุและให้ผู้เสียหายในหลายเคสเข้ามาในประเทศไทย และเลือกสถานที่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเป็นลาดกระบัง หรืออ่อนนุช เพราะเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อาจจะคุ้นเคยในการก่อเหตุหรือไม่




ภายหลังนางสาวแวง ผู้เสียหาย เดินทางถึงไทยก็ได้มีการหลอกล่อโดยให้มีการถ่ายคลิป ซึ่งตอนที่ถ่ายคลิปนั้นก็จะต้องมีการวิดีโอคอลเอาไว้ตลอดเวลา ให้ยืนยันว่าตัวของผู้เสียหายมีการถ่ายคลิปคลิปจริง และคลิปที่ถ่ายนั้นจะต้องมีการพันธนาการโดยการมัดมือเท้า รวมถึงใช้สก๊อตเทปปิดปาก และพูดตามประโยคที่กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องการ โดยอ้างว่าคลิปที่ถ่ายนั้นจะส่งให้กับทางการจีนเพื่อที่จะยืนยันว่าตำรวจมีการจับกุมตัวได้แล้ว ซึ่งผู้เสียหายก็หลงเชื่อมีการถ่ายคลิปและส่งกลับ แต่คลิปดังกล่าวนั้นกลับถูกนำไปหลอกอีกทอด โดยการติดต่อพ่อและแม่ของนางสาวแวงเพื่อที่จะเรียกเป็นค่าไถ่อีก 15 ล้านบาท หากคิดเป็นเงินไทย แต่เนื่องด้วยผู้เสียหายรู้จักกับตนเองที่อยู่ในไทย จึงได้มีการประสานหน่วยงานไทยเพื่อเข้าไปดู แต่พบว่าลูกสาวปกติดี จึงได้มีการขยายผลและทราบว่าเป็นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และนำมาสู่การช่วยเหลือในวันนี้


ส่วนตัวได้มีการพูดคุยกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะชุดทีมที่เข้ามาปฏิบัติงานครั้งนี้ ยืนยันว่ากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันกับที่เคยก่อเหตุในเคสอื่น ๆ ที่ผ่านมา แต่เป็นลักษณะทำนองเดียวกันและใช้วิธีการอุบายเดียวกัน และเลือกโลเคชั่นหรือสถานที่ที่ใกล้กับสนามบินรวมทั้งประเทศไทย เพราะโดยปกติแล้วคนที่ถูกหลอกมักจะเป็นนักศึกษาในต่างประเทศ แล้วให้บินเข้ามาเพื่อเจรจาในประเทศไทย ก่อนออกอุบายให้คลิป ซึ่งก็ดูเป็นลักษณะพฤติกรรมคล้ายกันแต่ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน


ทั้งนี้ สำหรับคนไทยอาจจะรู้เกี่ยวกับกลวิธีของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้อยู่แล้ว จึงยากที่จะถูกหลอก เพราะเนื่องจากเคยมีข่าวทำนองเดียวกันออกอากาศไปแล้วหลายครั้ง จึงทำให้คนไทยอาจจะรู้วิธีและกลวิธีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ส่วนนักศึกษาต่างประเทศอาจจะไม่เคยดูข่าวแนวนี้ และไม่เคยรู้พฤติกรรมของการถูกเรียกค่าไถ่จึงหลงเชื่อ ฉะนั้นจึงเชื่อว่าคนที่เป็นเหยื่อมักจะเป็นนักศึกษาในต่างแดนแล้วใช้สถานที่ในเมืองไทยเป็นการเรียกค่าไถ่เท่านั้น แต่คนไทยคาดว่าน่าจะถูกหลอกยาก เพราะเนื่องจากเคยมีประสบการณ์และข่าวทำนองนี้ให้เห็นแล้ว


จากนั้นทีมข่าวยังได้เดินทางไปเจอกับนายสุชาติ คนขับแท็กซี่ที่พาผู้เสียหายออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปส่งที่ห้างย่านมาบุญครอง (เอ็มบีเค) เจ้าตัวพาเขาไปดูรถแท็กซี่สีเขียว-เหลืองคันเดียวกันกับที่ผู้เสียหายนั่งโดยสาร เมื่อวันที่ 28 ก.ค. เพื่อออกจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปส่งที่ห้างมาบุญครอง โดยคนขับแท็กซี่บอกว่าผู้โดยสารมาพร้อมกับกระเป๋า 1 ใบ เป็นใบใหญ่ ตนเองจึงได้ยกใส่ท้ายรถให้ และผู้เสียหายก็มีการสะพายกระเป๋าสีดำไปนั่งบนรถฝั่งผู้โดยสาร และก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ตลอดเวลาที่เดินทาง


นายสุชาติ บอกกับทีมข่าวว่า ในวันที่รับผู้เสียหายออกจากสุวรรณภูมินั้น ก็เหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไปไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ก่อนที่จะขึ้นรถ ตัวเองได้มีการตรวจสอบบัตรคิวและรวมถึงชื่อของคนขับแท็กซี่ว่าตรงหรือไม่ หลังจากช่องรับและรวมถึงคนขับตรงตามที่ผู้โดยสารเดินมาที่รถก็ได้พาขึ้น แต่ระหว่างก่อนที่จะขึ้นนั้นผู้โดยสารสื่อสารด้วยภาษาจีนไม่รู้เรื่อง จึงได้มีการยื่นโทรศัพท์มาให้ตนเองดู พร้อมกับพิกัดให้ไปส่งแถวห้างมาบุญครอง ชัดเจนว่าเป็นซอยเกษมสันต์ 3 แต่ระหว่างที่จะคุยกันรู้เรื่องนั้น ผู้เสียหายได้มีการยื่นโทรศัพท์ให้กับตนเองคุยกับปลายสายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ชาย แต่มีการพูดภาษาจีน ตัวเองฟังไม่รู้เรื่องจึงยื่นโทรศัพท์คืนกลับไป




ก่อนที่สักพักผู้เสียหายจะยื่นโทรศัพท์กลับไปอีกครั้ง และมีปลายสายเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่พูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก ตัวเองจึงรู้ว่าให้ไปส่งแถวห้าง บริเวณปากซอยเกษมสันต์ 3 และให้ตัวเองไปตามหมุดที่อยู่ในมือถือของผู้เสียหาย และจากนั้นผู้ชายคนที่อยู่ปลายสายก็ยังมีการพูดสอบถามอีกว่า จากจุดที่ปักหมุดให้บริเวณห้าง เอ็มบีเค หากจะไปส่งที่สวนจตุจักรไกลกันหรือไม่ แต่หลังจากที่ตัวเองบอกว่าไกล ผู้ชายในปลายสายที่พูดภาษาไทยจึงบอกให้ตนเองไปส่งที่เดิมคือห้างมาบุญครองแถวซอยเกษมสันต์ และระหว่างทางโชคดีที่ตนเองเดินทางไปพร้อมกับผู้เสียหายและนั่งอยู่ในรถด้วยกันราว 1 ชั่วโมง ตนเองได้มีการแปลภาษาจีน และมีการสอบถามผู้เสียหายว่า “จะไปหาใคร” โดยผู้เสียหายอ้างว่าหาแฟนแถวมาบุญครอง จากนั้นตัวเองก็มีการแปลภาษาถามอีกครั้ง ว่า “พักที่ไหน” ผู้เสียหายตอบว่า “พักบ้านเพื่อน” จากนั้นก็ไม่ได้มีการพูดคุยอะไรกันอีกตลอดทาง


ตลอดที่นั่งอยู่ในรถก็ไม่ได้พบความผิดปกติอะไร แต่จะสังเกตว่าตัวของผู้เสียหายมีการใส่สมอลทอร์กเหมือนคุยกับใครอยู่ตลอดเวลา และในมือก็จะพิมพ์ก้มหน้าแชตตลอด จึงไม่รู้ว่าในหูนั้นกำลังคุยกับใครหรือไม่ หรือกำลังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งไม่ให้วางสายหรือไม่ เพราะในวันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ยืนยันว่าเหมือนผู้โดยสารทั่วไป และไม่เห็นกระเป๋าที่มีเชือกหรือสก๊อตเทป เนื่องจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มีการปิดผนึกมิดชิด และกระเป๋าสะพายก็มิดชิดเช่นกัน จึงทำให้ดูไม่ออกว่ามีเทปกาวหรือเชือกหรือไม่ และผู้เสียหายก็ไม่ได้มีการร้องขอความช่วยเหลือ

 

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวง นศ. จีนอัดคลิปขู่ครอบครัวรีดเงิน 15 ล้าน