หลังจากที่ช่อง 8 ได้นำเสนอเรื่องราวของการเสียชีวิตของ “นางสาวชลดา คงดำ” หรือน้องตอง อายุ 25 ปี ที่ถูกพบว่าประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้มจนเสียชีวิต แต่ทางแพทย์นั้นสงสัยเพราะนางสาวชลดาไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัส จึงทำการส่งศพผ่าชันสูตรและผลลัพธ์พบว่า “การตรวจทางนิติพิษวิทยาจากเลือดและกระเพาะอาหารพบยาในกลุ่มยาพิษ ได้แก่ ไซยาไนด์” รวมไปถึงประเด็นเรื่องการทำประกันเพียง 1 วัน และวันต่อมานางสาวชลดาก็ประสบเหตุเสียชีวิต ซึ่งผู้รับผลประโยชน์จากประกันนั้นไม่ใช่ญาติ แต่กลายเป็นเพื่อนสนิทที่มีชื่อว่า นาย ป. นั้น



วันนี้ (3 ส.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ติดตามความคืบหน้าของคดี โดยได้เดินทางย้อนกลับไปสัมภาษณ์และพูดคุยกับทีมกู้ภัย ชุดที่เข้าไปที่เกิดเหตุในคืนวันที่ 3 ก.พ. โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้คุยกับ นายอาญัติ เจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยปอเต็กตึ๊งลพบุรี ได้มีการส่งภาพนิ่งซึ่งเป็นภาพหลักฐาน ที่มีการเก็บบันทึกในที่เกิดเหตุในคืนนั้นส่งมาให้กับทีมข่าวดู โดยจะเห็นลักษณะของการเสียชีวิตของนางสาวชลดา โดยเจ้าตัวจะนอนคว่ำหน้ารถมอเตอร์ไซค์ล้มไปทางขวาทับแขนซ้าย และใบหน้าบริเวณแก้มขวา แนบกับหินคลุกบนพื้น แต่ไม่มีบาดแผลและหลอดเลือด และนอกจากหลังมีการตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจร้อยเวรพร้อมด้วยทีมกู้ภัยได้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของนางสาวชลลดาในขณะนั้น มีการเปิดใต้เบาะรถ ยี่ห้อฮอนด้า ซูเมอร์เอ็กซ์ พบขวดน้ำเปล่า ถูกเปิดใช้งานและดื่มกินไปแล้วบางส่วน ซุกอยู่ใต้เบาะรถรถ 1 ขวด หลังจากตรวจสอบรถของคนตายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการนำรถอุบัติเหตุซึ่งเป็นรถของกลางไปเก็บเอาไว้ที่โรงพัก สภ.เมืองลพบุรี โดยมีการจอดเอาไว้ข้างโรงพักซึ่งเป็นที่เก็บของกลาง มีการระบุพิกัดเอาไว้ในภาพถ่าย 3 ก.พ. เวลา 06.41 น. โดยรถของกลางที่ตำรวจตรวจยึดมาเก็บไว้นั้น จะสังเกตว่าฝั่งขวามีร่องรอยของการครูดกับดิน และมีดินคล้ายกับดินแดงติดอยู่เล็กน้อย แต่รถไม่ได้เสียหายถึงขั้นเฟรมแตก เป็นแค่เพียงรอยนิดหน่อย



ทีมข่าวพูดคุยกับ นายอาญัติ ถึกเพ็ชร เจ้าหน้าที่อาสากู้ภัยปอเต็กตึ๊งลพบุรี เผยว่า ในวันนั้นได้มีชายซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่เป็นคนแจ้งเหตุเข้ามา โดยทีมของตนเองเป็นทีมที่เข้าไปถึงก่อน สังเกตว่าลักษณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มีรอยครูดบนพื้นถนน ก่องถึงจุดพบรถและนางสาวชลดา 10 เมตร แต่จุดดังกล่าวนั้นเป็นถนนที่ไม่มีลูกระนาบ หรือไม่ใช่ทางโค้ง หรือไม่ใช่ทางแยก ที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ และแม้ว่ามีเสาไฟฟ้าแต่ก็ไม่มีร่องรอยของการเฉี่ยวชน เข้าใจว่าน่าจะพุ่งตกหรือล้มบนถนนและครูดตกลงไปข้างทางหรือไม่


โดยสภาพของนางสาวชลดาในตอนนั้น นอนคว่ำหน้า เอาแก้มฝั่งขวาแนบไปกับพื้นหินคุก และมือซ้ายถูกรถมอเตอร์ไซค์ล้มทับ นอนหายใจทางปาก ไม่ได้สติ แต่ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้มีการประสานรถกู้ชีพ1669 เข้ามาในที่เกิดเหตุเพื่อรับออกจากพื้นที่ส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยอาการของนางสาวชลดาในขณะนั้น จะมีการหายใจลักษณะเป่าปาก เป็นการหายใจทางปาก และหายใจเหนื่อย และในคืนเกิดเหตุ หลังจากที่มีการช่วยเหลือและปฐมพยาบาล ก่อนเคลื่อนย้ายร่างของนางสาวชลดาส่งต่อให้กับ 1669 ตนเองในฐานะทีมกู้ภัยและรวมถึงตำรวจร้อยเวรได้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับเอกสารของผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งไปพบบัตรอยู่ในกระเป๋าคาดอกซึ่งนางสาวชลดาคาดมาด้วย ไปพบบัตรประจำตัวจึงทราบว่าชื่อและนามสกุลอายุเท่าไร จากนั้นมีการตรวจสอบบริเวณใต้เบาะรถไม่พบทรัพย์สินอื่น แต่พบขวดน้ำดื่มซึ่งมีการเปิดทานแล้วซุกไว้อยู่ 1 ขวด และในขวดน้ำดังกล่าวไม่ได้มีการเจือสมของน้ำแดงหรือน้ำเขียว แต่เป็นน้ำเปล่าปกติ จึงไม่แน่ใจว่าจะเป็นส่วนที่เจ้าตัวดื่มก่อนที่จะหมดสติหรือไม่




ส่วนลำดับเหตุการณ์ในวันนั้น คนที่เจอนางสาวชลลดาคนแรกคือชาวบ้านในพื้นที่ เป็นผู้ชายที่มีอายุ เป็นคนเจอคนแรก จากนั้นมีการโทร. แจ้งอุบัติเหตุ ทีมอาสากู้ภัยคือทีมของตนเองเดินทางไปถึงเป็นชุดที่ 2 จากนั้นพบว่านางสาวชลลดายังมีชีพจรจึงต้องเรียก 1669 มาเป็นทีมที่ 3 ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาที่เกิดเหตุคือ นาย ป. กับผู้หญิงคนหนึ่งลักษณะสาวทอม โดยอ้างว่าเป็นญาติ เข้ามาเป็นกลุ่มสุดท้าย ก่อนที่จะพานางสาวชลดาส่งโรงพยาบาล แต่ในตอนที่ญาติมาตนเองไม่ทันได้ฟังว่ามีการพูดหรือสื่อสารอะไรบ้าง และไม่ได้ยินประโยคที่พูดทำนองว่านางสาวชลลดาชอบเล่นมือถือ ประโยคดังกล่าวตนเองไม่ได้ยินเพราะเนื่องจากโฟกัสกับการช่วยเหลือคนเจ็บมากกว่า


อยากได้ก็ตาม ส่วนตัวในฐานะที่เป็นอาสากู้ภัยและเข้ามาช่วยเหลือกู้ชีพสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บและเหตุการณ์อื่น มาหลายปี และเคยเข้าไปประสบเหตุกับผู้ที่พยายามกินยาฆ่าตัวตาย หรือถูกวางยาตาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของยาฆ่าหญ้าหรือน้ำยาล้างห้องน้ำ เคสเหล่านั้นเวลาเข้าไปช่วยเหลือจะพบว่ามีอาการทุรนทุราย และมีน้ำลายฟูมปากหรือฟองออกมา แต่เคสนี้ตอนที่เข้ามานางสาวชลลดาไม่ได้มีอาการเหมือนกับถูกวางยาที่เคยพบเห็น แต่ตนเองยังไม่เคยเจอกับเคสของผู้ที่ถูกวางยาไซยาไนด์ จึงอาจไม่รู้พฤติกรรมหรืออาการของคนที่ถูกยาชนิดดังกล่าว แต่จากอุบัติเหตุดังกล่าวที่พบเพียงแผลถลอกปอกเปลือยภายนอก และจากสภาพที่เกิดเหตุหากมีการประเมินแล้ว ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้




วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวทราบความคืบหน้าทางคดี และรวมถึงหน่วยงาน กลุ่มคน ที่มีความเชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องกับทางวงการนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งระบบยุติธรรมของไทย ที่เตรียมจะลงพื้นที่ รวมทั้งเตรียมที่จะมีการสืบหาประเด็นการตายของนางสาวชลดา โดยเบื้องต้นทราบว่าเป็นทีมของพลตำรวจเอกเอก อังสนานนท์ ที่เตรียมจะมีการจัดทีมลงพื้นที่จังหวัดลพบุรี และเร่งคลี่คลายเกี่ยวกับประเด็นการตาย รวมทั้งถอดบทเรียนเกี่ยวกับสาเหตุการตาย ที่ถูกวางยาและเกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์ หนึ่งในนั้นเท่าที่ทีมข่าวทราบ คือ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และอดีตวุฒิสภา ซึ่งเตรียมที่จะลงพื้นที่มาพร้อมกับทีมสืบหาข้อเท็จจริง และถอดบทเรียนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนางสาวชลดา เพื่อเทียบเคียงกับคดีอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน


แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ เผยทางโทรศัพท์ว่า การที่พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ เตรียมจัดทีมลงพื้นที่นั้น เพราะเนื่องจากได้รับการประสานจากบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ได้มีการปรึกษาทางข้อกฎหมายและแนวทางการรับมือ เพราะเนื่องจากช่วงหลังพบการเสียชีวิตของคนไทย เป็นการตายโดยไม่ทราบสาเหตุ และยังเกี่ยวข้องกับการถูกวางยาโดยเฉพาะสารไซยาไนด์ หลังจากทราบข้อมูลจากทีมประกัน ประกอบกับได้ข้อมูลการชันสูตรศพของเคสล่าสุดนางสาวชลลดาในพื้นที่ลพบุรี จึงได้มีการประสานทีม ด้านนิติวิทยาศาสตร์ ด้านการสืบสวนสอบ และด้านนักวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะลงพื้นที่ในการถอดบทเรียน รวมทั้งหาแนวทางการป้องกัน และคืนความยุติธรรมให้กับนางสาวชลดา




โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมาย คือ 1. ต้องการถอดบทเรียนไม่ให้มีการก่อเหตุซ้ำ และลงพื้นที่สืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการวางแผนการก่อเหตุ 2. หาที่มาที่ไปและระบบการควบคุมสารไซยาไนด์ในประเทศไทย 3. สร้างหลักประกันให้กับองค์กรเรื่องของการสืบสวนสอบสวน และการตรวจหาสารแปลกปลอมที่ทำให้ตาย และระบบการสนับสนุนเกี่ยวกับการตรวจชันสูตร ซึ่งเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องให้การสนับสนุนด้านของการตรวจ ไม่ใช่งบประมาณหรือค่าใช้จ่ายตกอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากกรณีเกิดเหตุแบบนี้ และ 4. คืนความยุติธรรมให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ และหาแนวทางการรับมือกับคนที่กำลังคิดวางแผนในลักษณะทำนองเดียวกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ อย่างไรก็ตาม สำหรับการเสียชีวิตของนางสาวชลดา จากเอกสารที่ตนเองได้รับจากทีมแพทย์รวมถึงได้รับรายงานจากบริษัทประกันโดยเบื้องต้น มีสิ่งที่ชี้ชัดได้ว่าการตายของนางสาวชลดาไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะแน่ชัดว่ามีความเห็นของแพทย์ระบุชัดเจนว่าการตายเกิดจากสารไซยาไนด์ในกระเพาะอาหาร และการตายครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นการตายแบบปกติอย่างแน่นอน จึงทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญในหลายส่วนจึงต้องมีการระดมกันเพื่อปกป้อง ป้องกัน และผลักดัน




ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปที่วัดป่าหวายทุ่ง ตำบลป่าตาล อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี พบกับนางสาวดำ อายุ 60 ปี เผยว่าตนนั้นเป็นลูกสาวของสัปเหร่อที่ทำพิธีให้กับศพของนางสาวชลดา ซึ่งในช่วง 15.00 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการนำศพของผู้เสียชีวิตมาส่งที่วัด ซึ่งกำหนดในการอาบน้ำศพจะเป็นเวลา 16.00 น. แต่ทางด้านญาติที่เป็นทอม (ซึ่งเป็นอาของผู้ตาย) ได้มีการเร่งรัดบอกให้อาบน้ำศพและนำศพเข้าโลงเย็นเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าเขามีธุระที่ต้องออกไปทำ แต่นางสาวดำก็ไม่ได้ทำตามที่ทางญาติบอกและยืนยันว่าจะทำตามกำหนดการเท่านั้น พอถึงกำหนดเวลาตนก็ได้ทำการอาบน้ำศพและทำพิธีมัดตราสังตามปกติ โดยที่งานศพนั้นก็มีเพียงเพื่อนและญาติไม่กี่คนที่เข้ามาร่วมงานช่วงเย็น แต่พอตกค่ำทุกคนก็แยกย้ายและไม่มีใครนอนเฝ้าศพ ซึ่งศพของนางสาวชลดามีการตั้งสวดเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้นเพราะถ้าตนจำไม่ผิดในวันที่ 6 นั้นไม่สามารถทำการเผาได้ จึงได้ขยับเวลามาเป็นวันที่ 5 แทน แต่ในช่วงที่ทำการเปิดฝาโลงครั้งสุดท้าย ตนไม่ได้เข้าไปดูหน้าศพจึงไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงความผิดปกติแต่อย่างใด




ขณะที่พระทองหล่อ ทีปังกะโล (รักษาการแทนเจ้าอาวาส) เผยว่า ศพของนางสาวชลดาได้ถูกนำมาตั้งสวดอภิธรรมที่วัดแห่งนี้จริง โดยมีทางญาติและกลุ่มเพื่อนร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงานศพ ซึ่งทางญาตินั้นแจ้งว่าเป็นศพที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ล้ม แต่ในวันแรกที่เสียชีวิตนั้นยังไม่ได้มีการนำศพมาตั้งที่วัดเพราะทางเจ้าหน้าที่ได้มีการส่งร่างไปผ่าชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตที่กรุงเทพฯ จนช่วงเย็นวันถัดมา (4 ก.พ.) จึงจะมีการนำร่างมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัด ซึ่งระหว่างนั้นก็มีกลุ่มเพื่อนมาคอยดูแลจัดการความเรียบร้อย ส่วนทางครอบครัวนั้นแต่ละคนมีอายุเยอะแล้วจึงมาแค่วันรดน้ำศพและวันฌาปนกิจเท่านั้น ซึ่งก่อนที่จะทำการเผาก็ได้มีการเปิดฝาโลงทำพิธีตามปกติ ศพก็มีรอยเขียวช้ำซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นร่องรอยจากการประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า เพราะศพมีการแต่งหน้าปกปิดไว้ แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอื่นแต่อย่างใด และหลังจากที่ทำการเผาศพแล้วทางกลุ่มเพื่อน ก็ได้มีการมาเก็บกระดูกและทำบุญให้กับผู้เสียชีวิตตามปกติ


แล้ววันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าทางคดี โดยได้เดินทางไปที่โรงพัก สภ.เมืองลพบุรี ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมไปยัง พ.ต.อ.จรินทร์ ลำลึก ผกก.สภ.เมืองลพบุรี เผยว่า ความคืบหน้าทางคดีนั้น ทางโรงพักพื้นที่ก่อนหน้า ได้มีการเรียกสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ คนในครอบครัว หรือคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ซึ่งมีการตรวจสอบเกี่ยวกับไทม์ไลน์และรวมถึงคำให้การทั้งหมดเก็บเอาไว้ 




วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวจึงได้เดินทางไปพูดคุยกับนายแบงค์ (นามสมมติ) ช่างแต่งหน้าศพ ในฐานะคนที่แต่งหน้าให้กับนางสาวชลดา ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับเจ้าตัว ซึ่งมีการส่งภาพตอนที่รถกู้ภัยนำร่างของนางสาวชลลดาออกจากนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เอามาส่งที่ศาลาวัด โดยสภาพศพจะเห็นมีภาพมุมที่ถ่ายเห็นรถกู้ภัยและล่างของนางสาวชลดานอนอยู่จะมีลักษณะผิวคล้ำ โดยจะมีบางช่วงของศพที่มีผ้าขาวห่อแล้วปิดคลุมไม่มิด โดยเฉพาะส่วนขา ซึ่งคนแต่งหน้าศพให้ภาพดังกล่าวเพื่อบอกกับทีมข่าวว่า สภาพศพตอนที่รับมาก่อนแต่งหน้านั้นมีผิวคล้ำ ซึ่งคล้ำทั้งตัว ในวันนั้นนั้นหลังจากที่ทีมกู้ภัยได้นำร่างมาส่งที่วัด ญาติได้ติดต่อให้ตนเองไปช่วยแต่งหน้าศพ โดยได้มีการขนเครื่องสำอางตอนที่คนตายมีชีวิตมาให้ ซึ่งคนที่เอาเครื่องสำอางมาให้จะเป็นผู้ชายลักษณะตุ้งติ้ง (นาย ป.) และหญิงลักษณะเป็นทอม โดยเอาเครื่องสำอางมาวางไว้ แล้วตัวเองก็ใช้เครื่องสำอางอีกบางส่วนที่สำหรับรับงานแต่งหน้าศพมาใช้ในการแต่งหน้า ตอนแรกที่เห็นสภาพศพยอมรับว่าตกใจ เพราะใบหน้ารวมถึงเนื้อตัว มีลักษณะคล้ำเป็นสีม่วง ออกโทนดำ ส่วนเล็บมือก็มีลักษณะคล้ำเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงเหมือนกัน ซึ่งในวงการ 6 ปี ที่ตนเองคลุกคลีและแต่งหน้าศพมาทุกรูปแบบก็ไม่เคยเจอศพลักษณะแบบนี้มาก่อน แต่ก็พยามแต่งให้เหมือนตามแบบที่ ญาติขอแต่ง โดยมีการเอาภาพตอนที่คนตายมีชีวิตมาให้ดูและขอให้มีการแต่งให้ได้ลักษณะเหมือนตอนที่มีชีวิตและสวยเหมือนเดิม



การแต่งหน้านั้นยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะเนื้อตัวของคนตายคล้ำมาก พยามลงรองพื้นแต่ลงไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนเป็นแป้งฝุ่นธรรมดา ค่อย ๆ ทาค่อย ๆ ลง แล้วใช้กระดาษทิชชูซับออก ก่อนที่จะมีการกรีดอายไลน์เนอร์ที่ตา เขียนคิ้ว ทาปาก แต่สภาพก็ไม่เหมือนเดิม เพราะสภาพศพนั้นไม่ไม่เหมือนศพตามภาพที่หญิงคนตายเคยสวย ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสิ้น ตนเองยังคิดว่าเป็นคนละคนด้วยซ้ำ และหลังจากที่แต่งหน้าเสร็จแล้ว ญาติได้มีการเร่งรัดในพิธีรดน้ำศพ โดยใช้เวลาในการรดน้ำศพไม่ถึง 30 นาที แล้วรีบนำร่างของนางสาวชลดาเข้าโรงเย็นทันที แต่เท่าที่ตัวเองทราบจากกู้ภัยศพของนางสาวชลดา มีการฉีดฟอร์มาลีนมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังแปลกใจว่าทำไมศพถึงเน่าเร็วขนาดนั้น และเปลี่ยนสีเร็วขนาดนั้น ที่สำคัญหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ตนเองไปแต่งหน้าศพแล้วศพไม่เหมือนกับศพอื่น นับจากนั้นมาได้มีข่าวเกี่ยวกับการตายของเสี่ยต้น ตนเองก็ดูข่าวดังกล่าวแล้วเห็นว่าศพของเสี่ยต้นมีลักษณะคล้ำดำ แล้วมีเรื่องของไซยาไนด์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงคิดเล่น ๆ ก่อนที่ฝนจะออก ว่าทำไมศพเหมือนคนถูกวาง แต่สุดท้ายผลออกมา จึงตรงตามที่ตนเองคิดเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน






ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ (อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า) บอกว่า จากกรณีของ “แอม” มีการวางยาไซยาไนด์เหยื่อคือ “ก้อย” โดยมีจุดมุ่งหมายให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันแต่เคสล่าสุดคือ “นางสาวชลดา” คนร้ายมีการวางยาไซยาไนด์ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เหยื่อขี่รถจักรยานยนต์แล้วล้มก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งทำทีคล้ายกับเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุแต่ตามจริงแล้วคือการวางยาไซยาไนด์ซึ่งเป็นแผนฆ่าวางยาพิษแล้วซ้อนแผนเพิ่มด้วยวิธีอุบัติเหตุ จึงมองว่าคนร้ายที่วางยาไซยาไนด์คิดเหนือชั้นวิธีฆ่าเหยื่อมากกว่า “แอม” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของ “แอม” คือ “ก้อย” หรือ เหยื่อล่าสุดของคนร้ายคือ “นางสาวชลลดา” ฤทธิ์ยาใส่ไซยาไนด์ให้ผลเท่ากันคือ หลังจากกินกินเข้าไปประมาณ 30 นาทีก็ออกฤทธิ์ในคืนเกิดเหตุที่นางสาวชลลดาขี่รถมอเตอร์ไซค์ล้ม จะเห็นได้ว่ายาไซยาไนด์ในร่างกายออกฤทธิ์แล้ว ถึงทำให้เหยื่อไม่มีสติควบคุมรถและขี่รถล้ม ซึ่งชื่นชมทีมข่าวช่อง 8 ที่หาคลิปเหตุการณ์มาเผยแพร่ตีแผ่ความจริงถือเป็นการช่วยเหยื่อ เพราะช่อง 8 ช่วยเหยื่อหลายเคสแล้ว




จากข้อมูลการตรวจพบของตำรวจล่าสุด พบยาที่นางสาวชลลดาทานหลงเหลืออยู่เป็นยาระงับอาการชักเกร็ง จึงต้องมีการสอบแพทย์เพิ่มเติมว่า การที่ที่เกิดอุบัติเหตุมีอาการนี้เข้ามาร่วมด้วยหรือไม่ เพราะก็เป็นไปได้ที่มีการวางยาไซยาไนด์ในยาดังกล่าวคล้ายกับเคสแอม ซึ่งหากตำรวจจะสงสัยก็ไม่ผิดจึงต้องมีการให้แพทย์ตรวจสอบเพิ่มเติมอีก เพราะหากใส่ยาไซยาไนด์ในอาหารหลังพบศพคนที่ไปกับเหยื่อคนสุดท้ายจะต้องถูกเพ่งเล็ง แต่ถ้าเป็นการวางยาในยาที่เหยื่อต้องกินประจำอยู่แล้วก็จะทำให้ตรวจสอบยากขึ้น ซึ่งคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ความเคลื่อนไหวเหยื่อและรู้พฤติกรรมเหยื่อ เหยื่อกินยาอะไรหรืออาหารอะไรบ้าง ยืนยันทางแพทย์มีรายงานชัดเจนในรายงานชันสูตรศพที่ออกวันที่ 9 เมษายน 2567 ตรวจพบสารไซยาไนด์จากเลือดและกระเพาะอาหาร และผู้ตายเสียชีวิตจากกระดูกคอหลุดเคลื่อนและบาดเจ็บบริเวณทรวงอก อยากจะบอกว่ามุมมองตนก็เป็นไปได้ว่า สาเหตุผู้ตายมีกระดูกคอหลุดเคลื่อนและบาดเจ็บบริเวณทรวงอก เป็นไปได้เกิดจากการที่แพทย์พยายามช่วยชีวิตเหยื่อหลังเกิดอุบัติเหตุ คือ วิธี CPR ถึง 5 ครั้งนั่นเอง




ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปยังหน้าบ้านของ นาย ป. โดยพบว่ารถมอเตอร์ไซค์ Zoomer X สีส้ม คันที่นางสาวชลดานำไปประสบเหตุนั้นได้จอดอยู่ภายในโรงจอดรถ โดยสภาพรถนั้นไม่ได้มีร่องรอยของการชำรุดเสียหายแต่อย่างใด จากนั้นได้มีหญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากบ้าน ซึ่งแจ้งว่าตัวเองนั้นเป็นป้าของ นาย ป. บอกว่า ตนนั้นเห็นข่าวแล้วและก็อยากรู้ว่าใครเป็นคนร้องเรียนไปยังช่อง 8 เพราะทางฝั่งตนและฝั่งครอบครัวชลดาก็ไม่มีใครติดใจอะไรและไม่มีใครต้องการให้เป็นข่าว ซึ่งข้อมูลนั้นก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดเพราะคนในครอบครัวก็ยังไม่มีใครปริปากพูดออกไปเลย หากอยากรู้อะไรก็ต้องรอให้ออกจากปากของเจ้าตัวก่อน แต่ตอนนี้ตนยังไม่อยากจะให้สัมภาษณ์หรือชี้แจงอะไร หากอยากรู้อะไรก็ให้ไปถามตำรวจเอง และหลังจากนี้ตนก็จะปรึกษาทีมกฎหมายเพื่อตรวจสอบว่าใครเป็นคนส่งเรื่องให้นักข่าว




ต่อมาทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านละแวกบ้านของ นาย ป. โดยเราได้คุยกับ นางปิ่น (นามสมมติ) เผยว่า นางสาวชลดานั้นเคยมาอยู่ที่บ้านของ นาย ป. จริงโดยที่ไม่ได้เป็นการอยู่ประจำ แต่เป็นลักษณะแบบนาน ๆ จะเข้ามาที่บ้านทีหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าทั้งสองคนน่าจะเป็นเพื่อนกัน แต่ความสัมพันธ์ลึก ๆ นั้นตนไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปพูดคุยหรือสนิทสนมกับบ้านหลังนั้น ส่วนเหตุการณ์ที่นางสาวชลดาเสียชีวิต ตนก็ทราบมาจากแม่ของนาย ป. โดยที่แม่ของเขาได้มีการบอกและเล่าให้คนแถวนี้ฟังว่า “เพื่อน นาย ป. ขี่รถออกไปจากบ้าน แล้วรถไปตกริมถนน เลยคอหักตาย” ซึ่งชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่มีใครได้ถามอะไรต่อและก็เพิ่งจะมารู้กันว่านางสาวชลดานั้นมีลูก 1 คน เพราะเห็นว่า นาย ป. ได้พาเด็กไปไหนมาไหนอยู่ก็เลยถามว่าเป็นลูกใคร ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์คันสีส้มที่นางสาวชลดานำไปประสบเหตุนั้นก็เป็นรถของที่บ้าน นาย ป. เพราะคนที่ใช้งานรถคันนั้นคือแม่ของนาย ป. โดยนางปิ่นยังบอกอีกว่า หลังจากที่เกิดเหตุนางสาวชลดาเสียชีวิตไป ตนก็ไม่ค่อยเห็นนาย ป. กลับมาที่บ้านเลย แต่ล่าสุดเมื่อวานนี้ นาย ป. ได้ขับรถกลับมาที่บ้าน ซึ่งก็น่าจะพาเด็กที่เป็นลูกของชลดากลับมาด้วย เพราะเมื่อเช้านี้ตนได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากบ้านหลังดังกล่าว




สำหรับเฟซบุ๊กของ นาย ป. เมื่อวานนี้ทีมข่าวได้ตรวจสอบพบว่า นาย ป. ได้โพสต์ภาพขณะประชุมเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2563 และระบุว่า “ประชุมก่อนไปเซ็นประกันกับลูกค้า ความเครียดระดับ 10” จากโพสต์นี้เป็นการยืนยันว่า นาย ป. ทำงานเป็นตัวแทนประกันจริง ทว่า หลังจากที่ช่อง 8 รายงานข่าวการตายของนางสาวชลดาเมื่อวานนี้ วันนี้ทีมข่าวได้เข้าไปสำรวจบัญชีเฟซบุ๊กของ นาย ป. อีกครั้ง ปรากฏว่าหน้าฟีดนั้นว่างเปล่า โดยไม่แน่ชัดว่า นาย ป. นั้นจะลบโพสต์ทั้งหมดออกไปหรือเปลี่ยนเป็นการตั้งค่าส่วนตัว




และเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ไปยังที่เกิดเหตุและยังได้มีการจำลองเหตุการณ์ ซึ่งทดสอบขับรถบนถนนจุดที่เกิดเหตุ โดยมีการขับใช้ความเร็วประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเนื่องจากจุดดังกล่าวเป็นย่านชุมชนไม่สามารถขับรถเร็วได้ โดยจะสังเกตว่ารถของคนตายตามที่ทีมข่าวจำลอง มีการขับอยู่ชิดซ้ายฝั่งของเลนส์มุ่งหน้าออกถนน 366 แต่จุดที่เกิดเหตุอยู่ฝั่งอีกเลนถนนฝั่งตรงข้าม โดยจุดที่รถของคนตายจะเสียหลักแล้วเปลี่ยนอีกเลนข้ามฝั่งไปตกข้างทางของอีกเลน ไม่มีอุปสรรคไม่มีสิ่งกีดขวางและไม่มีลูกระนาบ ขับอย่างราบรื่นเว้นแต่ว่ารถของคนตายจะเสียหลักเองแล้ว พุ่งข้ามไปตกอีกฝั่งข้างถนน ซึ่งเป็นกอหญ้า และพื้นเป็นหินคลุก ทีมข่าวจึงได้มีการจำลองทดสอบขับตามเส้นทาง จนกระทั่งรถเป๋พุ่งข้ามเลนไปตกและล้มลงอยู่ที่กอหญ้าใกล้กับหินคลุก




ล่าสุดทีมข่าวได้เข้าไปตรวจสอบคอมเมนต์ภายในลิ้งก์ข่าวช่อง 8 กรณี “ปริศนาส่อฆาตกรรม! พิรุธไซยาไนด์ในศพรถล้ม จัดฉากฮุบเงินประกัน” พบว่าได้มีผู้ใช้รายหนึ่งได้มีการแสดงความคิดเห็นว่า “ผมเป็นสามีเก่าที่ทะเลาะกับน้องเอง พร้อมให้คำตอบครับผม ตัวผมเองก็คาใจ กระเทยคนนั้นผมก็ตามหาตัวอยู่เหมือนกันเพราะลูกชายผมอยู่กับมัน” จากการสอบถามนายณัฐชนน หรือ โอ๊ต สามีเก่าของชลดา เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนกับชลดาเลิกกันมาได้ประมาณปีกว่า ๆ แล้ว ส่วนประเด็นที่เรื่องโพสต์สุดท้ายของเขา คือผมโทร. ไปว่าเขา เพราะนาย ป. โทร. มาหาว่า เมียมึงเอาลูกมาทิ้งไว้ให้กู มีผ้ามาตะกร้าเดียว ผมก็เอ้า มึงเอาลูกไปไว้กับมันได้ยังไงประมาณนี้ แล้วก็มีการพิมพ์กับโทร. ด้วย ส่วนเรื่องแชตที่เขาโพสต์ น่าจะเป็นแชตของ นาย ป. เพราะพักหลังผมพยายามโทร. หาลูกแล้วเขาไม่ตอบตน




โดยคืนวันเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ ตี 2 นาย ป.โทร. มาแต่ตนไม่ได้รับสาย พอตอนเช้าโทร. กลับก็เพิ่งรู้ว่าชลดาตาย นาย ป. ก็บอกว่าเมียมึงตายแล้ว รถล้ม เขาก็บอกแค่นั้น ส่วนตัวก็สงสัยในสาเหตุการตายเหมือนกัน เนื่องจากทางล้มมันไกลและมันตายง่ายเกินไป เพราะศพก็ใบหน้ามีแค่รอยถลอกและมีรอยช้ำที่หน้าอก ซึ่งแผลแค่นี้ไม่น่าจะตายได้ ตอนที่เห็นข่าวก็ตกใจว่าเจอไซยาไนด์ได้ยังไง ก่อนหน้านี้เขาก็สุขภาพดี ตอนที่ไปร่วมงานศพก็ได้มีการถามพ่อเหมือนกันว่าวันเกิดเหตุเขาจะไปไหนแต่ก็ไม่มีใครตอบ ถามเพื่อนก็ไม่มีใครตอบ พอถามนาย ป. ก็ตอบแค่ว่าไม่รู้ หลังจากนี้ถ้าเจอนาย ป. ก็อยากจะรับลูกไปเลี้ยงเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม เพราะว่าในใบเกิดไม่มีชื่อตนเป็นพ่อ เนื่องจากเขาไปคลอดลูกที่เชียงใหม่ ส่วนตนอยู่ที่สระบุรี ยอมรับว่าตอนนั้นตนไม่มีเงินที่จะไป มารู้อีกทีก็ตอนที่ลูกคลอดแล้ว สำหรับเรื่องการทำประกันชีชีวิตตนก็ไม่ทราบว่าไปทำตอนไหน เพราะระยะเวลาที่คบกันเขาก็มีมาขอทำประกันชีวิตแต่ตนไม่มีเงินให้เขา



ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับภาพหลักฐานการสนทนาระหว่างนางสาวชลดา และ นางสาวเฟิร์น (นามสมมติ) โดยแชตหน้าที่ 1 นางสาวเฟิร์นได้มีการส่งข้อความไปแซวนางสาวชลดา เพราะอีกฝ่ายมีการลงภาพถ่ายของ นาย ป. ซึ่งนางสาวชลดาก็ได้บอกกับเพื่อนว่า “เพื่อนฉันเอง อยู่เกาหลี เป็นกะเทย อยากมีลูกแต่มีไม่ได้ เลยมาขอเป็นพ่อของลูก เลยให้เป็นรอกลับไทยมาเซ็นเป็นพ่อ คอนโดที่เช่าให้ 1 ปีก็มันโอนมาทีเป็นหมื่น” ส่วนแชตหน้าที่ 2 นางสาวชลดาก็บอกอีกว่า “เป็นเพื่อนกันมานานมาก เลยแบบรู้ว่าที่บ้านเป็นยังไง เดี๋ยวเดือนหน้าไปทำพาสปอร์ตไปเที่ยวเกาหลีหามันอยู่ โชคดีมากเลยที่มีเพื่อนแบบนี้ บุญของลูกที่มันรัก ให้ลูกสบายทุกอย่างเลย คนเป็นพ่อไม่มีปัญหาให้ลูกขนาดนี้ แค่ทำประกันให้ลูกยังไม่มีปัญญา มีแต่ข้ออ้าง” 



ด้านนายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ บอกว่า ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตผิดธรรมชาติพนักงานสอบสวนมีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน เพื่อให้สืบทราบให้ได้ว่า การเสียชีวิตนั้นเกิดจากสาเหตุใด และใครเป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะส่งศพไปชันสูตรพลิกศพ ว่าสาเหตุที่เสียชีวิตเกิดจากอะไร และสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ทราบให้ได้ว่ามีใครกระทำความผิดหรือไม่อย่างไร แม้จะไม่มีการกระทำใครมาแจ้งความเลย พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนในคดีอาญา หรือแม้แต่ญาติจะไม่ติดใจเอาความ พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน เนื่องจากการเสียชีวิตของคนคนหนึ่ง ถือเป็นความผิดทางอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้นแม่ญาติจะไม่ติดใจเอาความพนักงานสอบสวนก็มีสิทธิมีการดำเนินคดีต่อไป

ตะลึง! "ชลดา" ศพดำโยงไซยาไนด์สั่งตาย อดีตสามีแฉยับ กะเทย ป. ไม่ยอมคืนลูก