"แพรรี่ ไพรวัลย์" ประกบ "ทนายอนันต์ชัย" ร้องมรรยาท "ทนายธรรมราช" โต้กลับไม่ได้บูลลี่เพศแค่ตั้งคำถาม ยืนยันฟ้องกลับเพื่อรักษาสิทธิ์ตัวเอง
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 67 เวลา 10.00 น. ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร หรือ แพรรี่ พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาตามนัดหมายของคณะกรรมการมรรยาททนายความ จากกรณีที่ แพรรี่ ไพรวัลย์ ได้ยื่นร้องเรียนมรรยาททนายของนายธรรมราช สาระปัญญา
โดยแพรรี่ กล่าวว่า วันนี้มาตามกำหนดนัดไต่สวนของคณะกรรมการมรรยาททนายความ ที่ได้มาร้องไว้ สืบเนื่องจากกรณีของทนายธรรมราชไปแจ้งความที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา และมีการเหยียดเพศ จึงมองว่าเป็นเรื่องของการผิดมรรยาททนายความ จึงใช้สิทธิ์ของบุคคลที่ถูกพาดพิงและถูกกล่าวหามาร้องเรียนไว้ เมื่อปี 2565 โดยได้มีการอ้างพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 4 ท่าน ในจำนวนนั้นมีนายอนันต์ชัย ไชยเดช ด้วย
ในชั้นนี้อยากให้มีข้อยุติก่อนในส่วนของการร้องมรรยาททนายความ เพราะส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในกระบวนการสอบสวนของสภาทนายความฯ ที่มีขั้นตอนในการทำงานในการสอบสวน และตนเองมีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง
ต่อมาในระหว่างที่แพรรี่ กำลังให้สัมภาษณ์สื่ออยู่นั้น ทนายธรรมราช ได้มายืนสังเกตการณ์อยู่ด้วย จึงได้มีการพูดคุยกันเล็กน้อย และให้สัมภาษณ์ร่วมกัน โดยทนายธรรมราชอ้างว่าสิ่งใดที่ไลฟ์สดแล้วพาดพิงคนอื่นทำให้ไม่สบายใจ ได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ว่าควรลบออก ตนเองก็ลบออกให้แล้ว พร้อมกับขอโทษแพรรี่ที่อาจทำให้ไม่สบายใจ เพราะส่วนตัวไม่ได้มีสาเหตุโกรธเคืองกับแพรรี่มาก่อน ส่วนกรณีอื่นก็ปล่อยให้เป็นกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย
ขณะที่ แพรรี่ กล่าวโต้ว่า การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม ยืนยันว่าตนไม่ได้มีอะไร และถ้าถือโทษโกรธเคืองกันคงไม่มาพูดหยอกล้อกันแบบนี้ แต่ในเรื่องของข้อพิพาทกันเข้าสู่กระบวนการไปแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน เพราะทนายธรรมราชมีหัวโขนหลายใบ หากเป็นคนธรรมดาตนเองก็คงไม่ร้อง แต่เขาเป็นทนาย หากเข้าข่ายทำผิดมรรยาทก็ต้องมาร้องเรียน และหากทนายธรรมราชคิดว่า ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ให้เตรียมพยานหลักฐานไว้ตอบคณะกรรมการไว้ด้วย
ต่อมาทนายอนันต์ชัย เดินทางมาถึงในเวลา 10.00 น. พร้อมกับกล่าวว่า มาให้กำลังใจคุณแพรรี่ และได้รับเกียรติให้มาเป็นพยานในกรณีที่เมื่อปี 2565 มีพระรูปหนึ่งที่ประเทศรัสเซีย มีการไลฟ์สดด้อยค่าและด่าคุณแพรรี่ มีการพูดถึงเนรคุณวัด ว่าตอนแรกจะมาสอนธรรมะแต่กลับมาประพฤติอีกแบบนึง คุณแพรรี่เองก็ตอบโต้ไป ปรากฏว่ามีทนายท่านหนึ่งมีฉายานามว่าทนายแซะ ไปแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.ฉะเชิงเทรา ว่า "หมิ่นคณะสงฆ์" ในฐานะที่เราเป็นทนายจึงให้ข้อคิดเห็นและข้อกฎหมาย ซึ่งตอนนั้นตนและแพรรี่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
ส่วนเรื่องการแจ้งความหมิ่นประมาทคณะสงฆ์จะต้องหมายถึงสองคนขึ้นไป จึงแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ไป จากวันนั้นตนทราบเพียงว่ามีการมาร้องมรรยาทนายความ ก็เหมือนกับตนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นเจ้าพนักงานที่ สน.ทองหล่อ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับทนายคนนี้เลย กรณีนี้ตำรวจก็มาขอโทษแล้ว ซึ่งพระชาตรีก็ขอโทษคุณแพรรี่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวอะไรกับทนายท่านนี้เลย
ขณะที่ แพรรี่กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อปี 2565 เคยมาร้องแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งถือว่ายาวนานกว่าจะเข้าสู่กระบวนการ วันนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีและดีใจที่ผ่านมา 2 ปีได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนเสียที ยุคนี้มีโซเชียลทนายความก็มีแอ็คชั่น หลายคนก็ให้ความรู้แต่บางคนมีพฤติกรรมที่ชอบแซะหรือดูหมิ่นเหยียด เป็นอย่างที่ทนายอนันต์ชัยบอกว่า ทนายความเป็นคนที่จะต้องมีเกียรติเป็นคนที่ประชาชนต้องพึ่งพาได้ แต่กลับเป็นคนที่มากระทำพฤติกรรมบางอย่างที่คนทั่วไปที่มีศึกษายังไม่เลือกทำ
นอกจากนั้น สื่อได้มีการสอบถามทนายอนันต์ชัยถึงประเด็นที่มีการโพสต์หน้า Facebook ในลักษณะคดีเชื่อมจิตไม่มีความคืบหน้าทนายอนันต์ชัย มองว่า เรื่องนี้ไม่ได้น้อยใจหรือท้อใจ แต่รู้สึกสังเวชใจว่าทำไมรัฐถึงไม่ดำเนินการให้เด็ดขาด ทั้งทั้งที่เป็นศาสนาหลัก มีประชาชนนับถือมาก
"ตลอดชีวิตการเป็นทนายผมเกือบเฉียดตายมาแล้ว ดังนั้นการมาโลดแล่นในวงการนี้ เราจะท้อถอยไม่ได้เลย แต่หน่วยงานของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นสำนักพุทธหรือคณะสงฆ์ไทยไม่เอาใจใส่ เกี่ยวกับลัทธิเชื่อมจิตเท่าที่ควร ปล่อยให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน และพุทธศาสนิกชน ก็พูดถึงมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ที่ออกมาเคลื่อนไหวและต่อต้านลัทธิดังกล่าวอย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย เรียกว่าโดนคดีกันทุกคน ขณะที่รัฐลอยตัว ไม่เคยออกแอ็คชั่นเลย ทุกวันนี้แม้มีมติเถระสมาคม มีพระโอวาทของสมเด็จพระสังฆราช ว่าลัทธินี้เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา แต่เขาก็ไม่เคยเกรงกลัว แต่ทุกคนกลับดำเนินการเผยแพร่ลัทธิดังกล่าวนี้อยู่อีก และวันที่ 22 กันยายนนี้จะไปสัมมนาที่ห้างดังแถวเลียบด่วน หน่วยงานรัฐก็ยังเพิกเฉย จนตอนนี้ใจเราก็สู้ไม่ถอยและสู้ต่อไป เราภูมิใจที่ได้รักษาสถาบันหลักของชาติ" ทนายอนันต์ชัย กล่าว
ด้านทนายธรรมราช สาระปัญญา กล่าวว่า วันนี้เป็นการถามค้านในพยานหลักฐานที่คู่กรณีเอามา ซึ่งแยกส่วนข้อพิพาทส่วนตัวและมรรยาทนาย ประเด็นที่มีการกล่าวอ้างว่าตนอวดอ้างสรรพคุณ ตนต้องปฏิเสธในกรณีนี้ เพราะไม่เคยบอกใครว่าเก่งกว่าคนอื่น เพียงแค่ไปทำคดีและถ่ายรูปโพสต์บอกเล่าเรื่องราว ซึ่งกลุ่มบุคคลที่มาเป็นพยาน เป็นกลุ่มเดียวกัน ที่มีข้อพิพาทกันอยู่ในหลายๆเรื่อง อาจจะเป็นการกระทำเพื่อหวังผล ในทางคดีอื่นก็เป็นได้ ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นกังวลหรือหนักใจ เพราะไม่ได้เป็นไปตามที่เขากล่าวหาและยืนยันว่าไม่ได้บูลลี่ใคร เป็นเพียงการตั้งคำถามตามปกติ บางอย่างไม่ได้เกี่ยวข้องกันก็เอามาโยง มองว่าเป็นปรากฏการณ์สายโยง
ที่ผ่านมา ตนถูกร้องมรรยาทนายความ 2 ครั้ง มี "อี้ แทนคุณ" และ "ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง" แต่กรณีของต้นอ้อเป็นหนึ่งตนฟ้องกลับ ในข้อหาแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท เพราะตนมองว่าข้อที่มาร้องเรียนนั้นเป็นเท็จ เลื่อนเป็นวันที่ 17 กันยายน จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน หากยังยืนยันที่กล่าวหาตนในลักษณะนี้ก็จะต้องดำเนินคดีกลับเพื่อรักษาสิทธิ์
ขณะที่อยู่ระหว่างการให้สัมภาษณ์ด้านแพร์รี่ ไพรวัลย์ ก็เดินมาตามทนายธรรมราชเข้าไปห้องสอบปากคำว่า "เขาเรียกแล้วค่ะ พี่ธรรมราช เชิญค่ะ ไม่ใช่เวลาที่จะให้สัมภาษณ์" จากนั้นทนายธรรมราชก็เดินเข้าห้องสอบสวนต่อไป