คณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานี สั่งพักตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอธิการสมบูรณ์ เร่งตรวจสอบความผิดทั้งทางโลกและทางธรรม พร้อมสำรวจทรัพย์สินเตรียมใช้หนี้โยมและค่าน้ำค่าไฟหลวง

วันที่ 9 ก.ย. 2567 พระครูโสภณภัทรเวทย์ เจ้าอาวาสวัดสายไหม รองเจ้าคณะอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยคณะกรรมการสงฆ์ เดินทางมายังวัดพืชอุดม ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อประชุมกับพระลูกวัด พร้อมตรวจสอบทรัพย์สินทางวัดและส่วนตัวของพระครูอุดมปทุมาภิรัต หรือพระอธิการสมบูรณ์ เจ้าอาวาสวัดพืชอุดม หลังเป็นกระแสข่าวยืมเงินกว่า 9 ล้านบาท จากเศรษฐินีมาสร้างโบสถ์แต่ไม่ยอมใช้หนี้คืน แถมยังค้างค่าน้ำค่าไฟหลวงหลายปี

พระครูโสภณภัทรเวทย์ เผยว่า วันนี้ได้เดินทางมายังวัดพืชอุดมเพื่ออ่านหนังสือคำสั่งจากคณะสงฆ์ให้พระลูกวัดได้ทราบว่า นับแต่วันนี้ (9 ก.ย. 67) พระอธิการสมบูรณ์ จะถูกพักตำแหน่งเจ้าอาวาสไว้ก่อนจนกว่าจะมีการสอบสวนและคลี่คลายคดีเสร็จ โดยจะมีอาตมาเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสแทน แต่อาตมาได้มอบหมายต่อให้พระครูวิจิตรปริยัตยากร, ดร. เจ้าคณะตำบลลำลูกกา ปฏิบัติหน้าที่แทนรักษาราชการแทนเจ้าอาวาสวัดพืชอุดม เพื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งหมด ทำหน้าที่คอยตรวจตราให้พระลูกวัดปฏิบัติธรรม, กำชับวินัยของสงฆ์, คอยเป็นหูเป็นตาในการตรวจทรัพย์สิน และส่งรายงานเจ้าคณะอำเภอให้ทราบ ซึ่งในระหว่างนี้ทางคณะสงฆ์จะตรวจสอบโดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. ถึง 12 ก.ย. 2567 ถึงจะทราบผลว่า พระอธิการสมบูรณ์มีความผิดหรือไม่ ซึ่งความผิดแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ ผิดทางโลก และทางธรรม

ผิดทางโลก คือ กรณีที่ไปยืมเงินเศรษฐินีกว่า 9 ล้านบาทเพื่อมาสร้างโบสถ์ และไม่ได้ชดใช้หนี้ที่ยืมมา ซึ่งก่อนหน้านี้พระอธิการสมบูรณ์ ที่เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพืชอุดมใหม่ๆ ก็ได้มีการบริหารสร้างโบสถ์และพัฒนาวัดมาตลอด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ในเรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าอาวาส ต้องรอให้ทางคณะกรรมการส่งตรวจสอบให้เสร็จสิ้นก่อนจะตีความผิดว่า "จริยาพระสังฆาธิการ" ถ้ามีความผิดจริงก็จะต้องจับลาสิกขา และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีทางอาญา แต่สำหรับส่วนอื่นๆ ที่ไม่มีพยานหลักฐานของการจ่ายเงิน ทางพระอธิการสมบูรณ์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบใช้หนี้ให้กับคู่กรณีแต่เพียงผู้เดียว

ผิดทางธรรม คือ การที่พระอธิการสมบูรณ์ บริหารผิดพลาด ประมาทเลินเล่อไม่ยอมจ่ายค่าน้ำค่าไฟ โดยค้างเงินเป็นจำนวน 9 แสนกว่าบาท ในระยะปีกว่าๆ ในส่วนตรงนี้ต้องมาดูบัญชีของวัดว่ามีเงินเหลืออยู่จำนวนเท่าไหร่ หากยังมีเงินอยู่ก็จะต้องนำมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ถ้ามีส่วนต่างทางคณะสงฆ์ก็จะต้องเป็นผู้ชดใช้ส่วนที่เหลือแทน

ทั้งนี้กรณีที่มีข่าวลือว่าให้นำโบสถ์ไปเข้าจำนำเพื่อนำเงินมาชดใช้หนี้ เรื่องดังกล่าวไม่สามารถทำได้เพราะโบสถ์เป็นธรณีสงฆ์ของพระพุทธศาสนา ไม่สามารถนำเข้าขายทอดตลาดได้ จึงต้องหาวิธีอื่นที่จะนำมาชดเชยแทน

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีการตั้งคณะกรรมการสงฆ์ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวมาเกือบ 1 สัปดาห์ จนถึงตอนนี้ยังไม่ทราบว่า พระอธิการสมบูรณ์นำเงินที่ยืมมาและเงินวัดนำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง