อดีตนักยิงปืนทีมชาติ ช้ำรัก ผัวทหารนอกใจ คบสาวสิบตรีรุ่นลูก ต้นสังกัดเงียบ ไม่ดำเนินการทางวินัย
วันที่ 9 ก.ย. นางสาวจรินทร แดงเปี่ยม อายุ 50 ปี พันเอกหญิง สังกัดกองทัพบก อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ระดับตำนานของไทย ขอให้ กัน จอมพลังช่วยและขอความเป็นธรรมจากกองทัพบก หลังจับได้ว่าสามียศพันเอกพิเศษ อายุ 57 ปี มีชู้เป็นทหารหญิงยศสิบตรี วัย 24 ปี
นางสาวจรินทร เผยว่า ตนรู้สึกว่าสามียศพันเอกพิเศษเริ่มเปลี่ยนไป จึงติด GPS ไว้ที่รถและพบว่าตำแหน่งไปหยุดที่ม่านรูดแห่งหนึ่ง จึงส่งสายลับเข้าไปจับตาดู เห็นสามีแอบเข้าม่านรูดกับทหารหญิงยศนายสิบ สามีอ้างว่าเข้าไปปรับทุกข์กับผู้หญิงในห้อง ตนจึงดำเนินการฟ้องชู้และร้องเอาผิดทางวินัยกับทั้ง 2 คน ซึ่งศาลพิพากษาแล้วว่าทั้ง 2 คนผิดจริงและสั่งชดใช้ โดยศาลให้เหตุผลว่าถ้าจะปรับทุกข์กันสามารถปรับในรถ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้
จากนั้น ตนจึงตามเรื่องวินัยแต่กลับเงียบ และมีการลบเรื่องร้องเรียนของตนออก ไม่พอกลับถูกเมียน้อย ยศสิบ ฟ้องกลับหาว่าตนใส่ร้ายว่าเป็นชู้กับสามีตน โดยเธอถึงกับตัดพ้อว่า ตนทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติมากมาย ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่เคยมองความดีที่เธอทำเลยหรืออย่างไร เธอร้องทุกช่องทางที่ร้องได้แล้วแต่เงียบกริบ ตนกังวลว่าทหารหญิงถูกกระทำทหารชายจะช่วยกันเองหรือไม่
นางสาวจรินทร เล่าอีกว่า ในวันนี้มาในฐานะ อดีตนักกีฬาทีมชาติไทย โดยเรื่องราวเริ่มต้นจากชีวิตสมรส หลังแต่งงานมา 20 ปี จนวันนี้มีคำพิพากษาแล้ว ว่าสามีและชู้มีความผิด โดยศาลสั่งสามี ซึ่งเป็นจำเลยที่หนึ่ง ชดใช้ 1. 2 ล้านบาท ส่วนสิบตรีหญิงหรือชู้ ซึ่งเป็นจำเลยที่สอง ชดใช้ 6 แสนบาท
เธอเริ่มเอะใจ ว่ามีวันหยุด 2-3 วัน ปกติสามีจะกลับบ้าน แต่ไม่กลับ บางครั้งกลับมาวันเดียวอ้างว่าติดงาน ลูกสาวก็สงสัยและเอะใจ ไม่เข้าใจว่าหยุดหลายวันทำไมไม่กลับบ้าน อ้างว่าไปออกตรวจ และสามีมักจะให้อะไรพิเศษกับฝ่ายหญิง เช่น ให้นายทหารขับรถพาสิบตรีหญิงไปเรียนขับรถ หรือ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ราคาเกือบสามหมื่นบาท ซึ่งเธอเจอหลักฐานในสมาร์ทวอช หรือเจอบิลน้ำมันที่ถูกฉีกทิ้งไว้ในถังขยะและหัวบิลเป็นชื่อของสิบตรีหญิง ดังกล่าว มีการให้นายทหารไปรับ-ส่งสิบตรี หญิงไปทำงาน โดยไม่อายสายตาผู้อื่นเพราะมองว่าลูกน้องไม่กล้าตำหนิ และออกคำสั่งให้มาทำหน้าที่เพิ่ม คล้ายเลขาอยู่หน้าห้อง คอยชงกาแฟและติดตามเมื่อออกทำงานข้างนอก เธอจึงเริ่มสอบถามกับคนใกล้ชิด และรวบรวมหลักฐานเรื่อยมา สิบตรีหญิงเป็นอดีตลูกน้องของสามี
เธอจับได้หลังให้สายสืบซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ไปช่วยติดตามที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ใน อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี วันเกิดเหตุและจับได้ คือวันที่ 17 พ.ย.66 สามีไปงานสถาปนาหน่วยกรมการสัตว์ทหารบก ซึ่งผู้หญิงอยู่กรมการสัตว์ฯ และเขาเจอกัน ก่อนหน้านั้นเธอได้ติด GPS กับรถสามีเอาไว้โดยมีสายลับและกลุ่มคนสนิทซึ่งเป็นลูกน้อง ช่วยดำเนินการให้ พอหลังงานเสร็จ พบว่ารถของสามีไปจอดที่ม่านรูด ซึ่งสายลับได้ไปรอเฝ้าตั้งแต่กลางคืนแล้ว โดยเป็นการสุ่ม เมื่อเจอจึงอยู่เฝ้าตั้งแต่เริ่มเข้ามาจนกระทั่งขับรถออก โดยสามีได้นัดสิบตรีหญิงไปจอดรถทิ้งไว้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง และไปขึ้นรถไปต่อที่โรงแรม พอเสร็จก็มาส่งที่เดิมและแยกย้ายกันกลับ ยอมรับว่าหลังพบความจริง หัวใจสลาย ได้แต่เอามือป้องหน้า ถึงกับเข่าทรุด
พอสอบถาม สามีก็จะปฏิเสธและทำท่าทีฉุนเฉียวโมโห เธอจึงพยายามเก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุด เธอเคยไปเจอกับสิบตรีหญิง ซึ่งขณะนั้นทราบว่าจะมีการจัดงาน จึงไปดูที่งานก่อนวันงานเริ่ม 1 วัน เพราะคิดว่าต้องเจอ พอไปถึงก็เจอสิบตรีหญิงจริง ๆ ซึ่งสิบตรีก็ตกใจ เพราะสามีอายุ 57 ปีแล้ว ส่วนสิบตรีหญิงอายุ 24 ปี โตกว่าลูกสาวแค่ปีเดียว เมื่อพบกัน เธอไม่มีการด่าทอหรือด้อยค่าผู้หญิงเลย แต่ได้ถามว่า “มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” ขณะนั้น สามีออกมาดุ ทำเสียงแข็งว่า “จะทำอะไรให้หยุด“ แต่เธอไม่หยุด ได้บอกกับผู้หญิงไปว่า ”อะไรที่ทำอยู่ก็หยุดซะนะ“ ซึ่งทราบมาว่า ฝ่ายหญิงมีแฟนยศจ่า 1 คน
นอกจากนี้ เธอเห็นข้อความที่ลูกสาวเขียนระบายเอาไว้ ใจความลักษณะว่า “ตั้งแต่เติบโตมา ไม่เคยยินดีและไม่เคยดีใจเลย เพราะวันหยุดหลายวันพ่อก็ไม่กลับบ้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวพ่อเอง เมื่อก่อนหนูเป็นเด็กหนูไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้หนูโตพอ หนูเข้าใจแล้ว”
ในวันที่ขึ้นศาล สามีอ้างต่อศาลว่า เหตุที่เข้าไปม่านรูด เพราะถูกเธอคุกคาม จึงหนีไปปรับทุกข์กันที่ม่านรูด แต่สุดท้าย ศาลได้พิพากษาวันที่ 19 ก.ค.67 ออกมาว่า
“หากประสงค์จะสนทนาเป็นการส่วนตัวจริง ย่อมสามารถพูดคุยได้ในรถยนต์อยู่แล้วหรือสนทนาทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ย่อมได้ ทั้งหากจะพูดให้จำเลยที่ 2 คลายกังวลจริง ก็มิใช่เรื่องที่จะต้องใช้เวลามากจนกระทั่งจำเป็นต้องเข้าไปในโรงแรมเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง จำเลยที่ 1 เป็นนายทหารยศพันเอก นับว่าเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ เชื่อว่า ที่จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้เพราะมีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ในการทำงานและประสบการณ์ชีวิตอยู่มาก ต้องรู้
แน่นอนว่าการที่ตนเองเป็นชายมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เข้าโรงแรมลักษณะม่านรูดกับจำเลยที่ 2 นายทหารหญิง ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง และเป็นที่แน่แท้ว่าจะเกิดข้อครหาขึ้นได้ เนื่องจากการที่ชายกับหญิง เข้าโรงแรมลักษณะม่านรูดสองต่อสอง เป็นที่เข้าใจของสังคมได้ว่า ประสงค์จะร่วมประเวณีกัน“
หลังจากนั้น เธอถูกฝ่ายหญิงไปแจ้งความกลับด้วย มองว่า ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแบบไม่เหลือเลย ในวันนี้อยากขอความเป็นธรรม ขอให้เจ้ากรมดึงความศักดิ์สิทธิ์ของวินัยมาใช้ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยใช้ยศถาบรรดาศักดิ์ในการแสวงหาตำแหน่ง ทำงานด้วยความเที่ยงตรง ไม่เคยใช้เกียรติยศชื่อเสียงในการไต่เต้า “และขอให้ ปลดสิบตรีหญิงออกจากราชการ ส่วนของฝ่ายชายแล้วแต่ผู้บังคับบัญชา”
ขอให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบก มาให้ความยุติธรรมและความชัดเจน เพราะตอนนี้ท่านกำลังช่วยกำลังพลของท่าน เพื่อยืดระยะเวลาออกไป รอมาตั้งแต่ต้นปี 2566 จนมาตอนนี้เกือบ 1 ปี แล้ว