ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใน จ. เพชรบูรณ์ ลืมเด็ก 2 ขวบ บนรถตู้ 7 ชั่วโมง พ่อแม่ไม่ยอม เทศบาลให้เศษเงินเยียวยาแลกเซ็นเงื่อนไขไม่เอาผิดใดๆ อีก
วันที่ 15 กันยายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์ ได้โพสต์รูปภาพเด็ก 2 ขวบ พร้อมระบุข้อความว่า "ลูกเพจแจ้งมา ครูเทศบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ลืมเด็ก 2 ขวบไว้ในรถตู้ ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสาม เด็กมีอาการหมดสติ ตาค้าง ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน แต่เรื่องเหมือนจะจบเมื่อทางนายกฯ เทศบาล รวบรวมเงินสด 1 หมื่นบาท ครูเวร 5 พัน มาให้ พร้อมเสนอจะรับพ่อแม่เด็กเข้าทำงานในเทศบาลเพื่อเป็นการเยียวยา โดยให้พ่อแม่เด็กเซ็นสัญญา 1-2-3-4 ว่าหลังจากเซ็นแล้ว ห้ามพ่อแม่เด็กเรียกร้องสิทธิ์อะไรอีก แต่พ่อแม่เด็กไม่เซ็น #ใช้งบหลวงเยียวยาแบบนี้ก็ได้หรอ" ซึ่งหลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่า มีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมาก
ต่อมา ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 สิงหามคม 2567 ซึ่งเด็กคนดังกล่าว อายุเพียง 2 ขวบ 7 เดือน เป็นเด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของเทศบาลแห่งหนึ่งใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
ล่าสุด ผู้สื่อข่าว เดินทางไปยังบ้านของเด็กคนดังกล่าวใน อ.บึงสามพัน พบว่า ทางครอบครัวมีความวิตกวังวลเกี่ยวกับอาการ ผลข้างเคียงที่จะตามของน้องนาเดียร์ เพราะหลังจากเกิดเหตุและออกจากโรงพยาบาล ผิวหนังที่มือเท้าลอก จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการผวาไม่อยากไปโรงเรียน ชุดนักเรียนก็ไม่ยอมใส่ แค่เห็นหน้าโรงเรียนก็ร้องไห้ ทุกวันนี้ทางครอบครัวจึงตัดสินใจไม่ให้ไปโรงเรียน และช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อดูอาการอยู่ที่บ้าน
ขณะที่ พ่อของน้องนาเดียร์ คือนายทนงค์ เล่าว่า ทันทีที่ทราบข่าวว่าลูกสาวติดอยู่ในรถตู้ ตนทั้งตกใจและใจหายมาก เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับลูกสาวของตน ตนจึงอยากให้ทางเทศบาลมารับผิดค่าเยียวยาให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้ และในส่วนของการรักษา อยากให้มาดูแลรับผิดชอบจนกว่าทางครอบครัวมั่นใจว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ เกี่ยวกับสมอง เพราะน้องติดอยู่ในรถตู้นานถึง 7 ชั่วโมงเช้าถึงเย็น ส่วนเงิน 10,000 บาทที่ทางเทศบาลใส่ซองมาให้ ตนมองว่าน้อยเกินไปสำหรับชีวิตลูกสาวของตน เพราะที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าวันข้างหน้าน้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมาตนก็คงไม่มีเงินพาน้องไปรักษา จึงอยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลเรื่องค่าเยียวยา ให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้
ด้านนางสาวสุจิรารัตน์ แม่ของน้องนาเดียร์ เล่าว่า ในวันดังกล่าว ครูที่โรงเรียนโทรมาบอกว่า น้องนาเดียร์เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ซึ่งตนไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของตนไว้ในรถตู้ตั้งแต่เช้าถึงเย็นบ่ายสามโรงเรียนเลิก และวันนั้นอากาศก็ร้อนด้วย ตอนนั้นใจร่วงไปถึงตาตุ่ม จึงรีบขี่รถไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ก็เห็นสภาพลูกนอนนิ่ง ตาค้างแล้ว คิดในใจว่าลูกคงไม่รอดแล้ว กลัวไม่ได้ลูกคืนมา แต่โชคดีที่ลูกฟื้นขึ้นมาไม่เสียชีวิต
โดยครูเวรในวันดังกล่าวบอกว่า นับน้องลงจากรถตู้แล้วครบ 13 คน และขึ้นไปเช็กบนรถแล้วไม่มีใครอยู่บนรถตู้แล้ว ซึ่งตนไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของตนไว้บนรถตู้จนถึงบ่าย 3 โมงเย็น คนขับรถตู้มาพบว่า น้องนาเดียร์นอนคว่ำหน้าอยู่ที่พื้นรถแถวที่สอง สภาพตาเหลือก จึงรีบแจ้งครูและนำส่งโรงพยาบาล และโทรแจ้งตน
สำหรับการเยียวยาทางเทศบาลให้เงินสดมา 10,000 บาท และให้ตนไปทำงานในกองการศึกษาในเทศบาล ส่วนทางครูเวรออกค่าห้องพิเศษให้ 2,000 บาท ค่าขนมน้อง 500 และวันที่ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา ให้เพิ่ม 5,000 บาท และถามตนว่าโอเคไหม แต่ตนยังไม่ตอบ และทางครูเวรก็นำหนังสือสัญญามาให้ตนเซ็นว่า ตนได้รับเงินเยียวยา 15,000 บาท ค่าห้องพิเศษ 2,000 บาท โดยข้อ 4 ระบุว่า “ในการทำสัญญาฉบับนี้ ผู้รับสัญญาได้รับเงินช่วยเหลือตามข้อ ๑. ข้อ ๒. และ
ข้อ ๓. เรียบร้อยแล้ว และผู้รับสัญญาสละสิทธิและไม่ติดใจเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนอื่นใดจากความเสียหายต่อร่างกาย หรือค่าเสียหายในลักษณะเดียวกันนี้จากผู้ให้สัญญาอีก รวมทั้งไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ให้สัญญาผู้ช่วยเหลือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย แต่ตนไม่เซ็น ตนจึงบอกไปทางครูเวรว่า ขอเพิ่มเงินเยียวยาอีก 33,000 ให้ครบ 50,000 บาท เพราะตนมองว่ามันน้อยไปสำหรับชีวิตลูกสาว แต่เรื่องก็เงียบไป เมื่อวานตนโทรถามก็บอกว่า ยังไม่ว่างคุยกับทางนายกฯ
ส่วนเรื่องงานที่เสนอมา ตนก็ตัดสินใจไม่ไปทำ อยากขอเป็นเงินก้อนไว้รักษาลูกสาวดีกว่า เพื่อในวันข้างหน้าลูกเกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมาจะได้มีเงินรักษา และตนมองว่า ถ้าตนขอเพิ่มทั้งเงินและไปทำงานด้วย ก็เหมือนว่ามันมากไป และถ้าไปทำงานก็เหมือนว่าตนเข้าไปทำงานแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีผลอย่างไรกับตนหรือไม่ ตนจึงตัดสินใจไม่ไปทำงาน ไปแค่วันแรกวันเดียว แล้วก็ไม่ไปอีกเลย
สำหรับในใจตน อยากเรียกร้องเงินเยียวยา 50,000บาท หรือถ้าเป็นไปได้ 100,000 บาท แต่ก็เกรงใจ ไม่รู้จะได้ไหมอย่างไร เพราะตอนนี้เหมือนเรื่องก็เงียบไปเลย ยังไม่มีใครเข้ามาคุย