ส่งร่าง "เอส ดิอาร์ค" ถึงวัด ประธานมูลนิธิหลั่งน้ำตาเล่าช่วงเวลาสุดท้าย ขณะที่น้องสาวเผย "เอส" เปรยพระทักอยู่ไม่ถึง 50 จนต้องไปเปลี่ยนชื่อ

วันที่ 15 กันยายน 2567 เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างนายภารัญโรจน์ กิตติภัทร์ฐากรณ์ อายุ 47 ปี หรือเอส เจ้าหน้าที่มูลนิธิดิอาร์คในพระราชูปถัมภ์ ที่เสียชีวิตกะทันหันเมื่อคืนที่ผ่านมา (14 ก.ย.) หลังจากไปร่วมภารกิจช่วยผู้ประสบภัยและสัตว์เลี้ยงที่ถูกน้ำท่วม ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มาประกอบพิธีทางศาสนาที่วัดวังธาร ตำบลลวงเหนือ อำภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่

โดยเจ้าหน้าที่มูลนิธิดิอาร์คฯ ชาวบ้าน และทหารจิตอาสาพระราชทาน จากมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ มาช่วยจัดเตรียมสถานที่ ก่อนจะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในช่วงค่ำวันนี้

นายบัณฑิต หมื่นเรือคำ ประธานมูลนิธิดิอาร์คฯ ที่เดินทางไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมกับเอสและนอนห้องเดียวกัน บอกว่า หลังจากเมื่อวานไปทำงานกันมา พอถึงโรงแรมก็ยังไม่อาบน้ำ ทานข้าวกันก่อน จากนั้นเอสก็บ่นว่าแน่นหน้าอก ถามหายาลดกรด และขอตัวไปนอนพัก กระทั่งตนเดินไปที่ห้องเห็นเอสนอนฟุบอยู่จึงได้พยายามปั๊มหัวใจและเรียกเพื่อนกู้ภัยเข้ามาช่วยนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ช่วยชีวิตไม่ทัน ผลการชันสูตรเบื้องต้นแพทย์ระบุว่า เอสเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลว

ด้านนางสาวปิยะมาศ จันทร์ทรา อายุ 43 ปี หรือแอน น้องสาวเอส เจ้าหน้าที่มูลนิธิดิอาร์คฯ เล่าว่า ก่อนที่พี่ชายของเธอจะเดินทางไปช่วยเหลือน้ำท่วมที่อำเภอแม่สาย พี่ชายได้เปลี่ยนชื่อโดยพี่ชายจะพูดเสมอว่า มีพระทักว่าเขาจะอายุไม่ถึง 50 ปี ซึ่งเพื่อนและพี่ทุกคนก็จะค่อยปลอบใจเสมอว่าอย่าคิดมาก ล่าสุด เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ตัวพี่ชายได้เดินทางไปเปลี่ยนชื่อที่กรุงเทพมหานคร เพราะทะเบียนบ้านอยู่ที่นั่น แต่มีเหตุฉุกเฉินตกเครื่อง และมีงานเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้พี่ชายไม่สบายใจ กระทั่งได้ขึ้นไปเปลี่ยนชื่อเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ส่วนลางบอกเหตุนั้น เธอบอกเลยว่าไม่มีอะไรที่จะส่งสัญญาณว่าพี่ชายเธอจะเสียชีวิต แต่พี่ชายเธอมักจะพูดเสมอกับน้องกับที่ทำงานว่า ตัวเขาห่วงมูลนิธิดิอาร์คฯ และจะชอบพูดกับพ่อแม่กับตัวเธอที่เป็นน้องสาวว่า จะอยู่กันอย่างไรถ้าไม่มีเขา ซึ่งพี่ชายจะชอบพูดคำนี้เสมอ และเธอก็จะบอกว่าพี่ยังแข็งแรงอยู่ พ่อแม่อายุมากแล้ว แต่ยังแข็งแรงเลย ดังนั้นพี่ก็ต้องแข็งแรง ต้องอยู่ต่อ

"ที่ผ่านมา พี่ชายเธอไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร นอกจากไขมันในเลือดสูง ซึ่งพี่ก็พยายามดูแลและควบคุมไม่ให้ไขมันสูงอยู่ แต่ล่าสุดเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ไปกับพี่ชายเล่าว่า พี่ชายหลังจากที่ไปช่วยน้ำท่วม ทานข้าวเสร็จก็มีอาการจุกแน่นหน้าอก ตอนแรกพี่คิดว่าน่าจะเป็นอาการกรดไหลย้อน ซึ่งเขาก็มักมีอาการแบบนี้ แต่หลังจากนั้นราวตี 2 พี่ก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาล" นางสาวปิยะมาศ กล่าว

อย่างไรกตาม เหตุการณ์นี้เธอยังไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวท่านช็อก จึงได้เก็บโทรศัพท์มือถือของแม่ไว้กับตัว ส่วนพ่อขณะนี้กำลังเดินทางมาจากนครสวรรค์เพื่อมางานศพ