ทนายตั้มพาหนุ่มจีน ยื่นสอบวินัยรองอธิบดีอัยการกิ๊กเมีย ด้าน อสส. รับเรื่อง เผยรองอธิบดีอัยการรายนี้เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีเรียกรับสินบนชาวจีนที่ใช้พาสปอร์ตปลอม 500,000 บาท
วันที่ 25 ก.ย. 2567 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พานายเจียงเฟิง เฉิน หรือเคน เดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อร้องเรียนให้มีการสอบวินัยรองอธิบดีอัยการคนหนึ่ง หลังพบหลักฐานว่าไปมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับ เอวา (นามสมมติ) ภรรยาชาวไทยของนายเคน โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือ
นายษิทรา เปิดเผยว่า รองอธิบดีอัยการคนนี้ มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอดีตภรรยาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการหย่าร้างกันในวันที่ 9 กรกฎาคม มีพยานหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่ทั้งคู่กอดหอมกัน พร้อมทั้งมีพยานบุคคลที่ตนได้พูดคุยและยืนยันว่า มีการวางแผนกันให้ฝ่ายหญิงเลิกกับนายเคนตั้งแต่ต้น แม้ว่ามีคนรู้จักเคยเตือนอัยการท่านนี้ว่า หญิงคนนี้มีสามีชาวจีนแล้วแต่ก็ไม่สนใจ และยังมีการคบหามีชู้กัน รวมทั้งอัยการท่านนี้ยังได้ให้รถ BMW Z4 สีขาว มาให้ฝ่ายหญิงขับด้วย โดยใช้ชื่อผู้หญิงคนหนึ่งในการซื้อและครอบครองรถคันดังกล่าว แต่เป็นที่รับรู้เป็นการทั่วไปว่าเป็นรถของรองอธิบดีอัยการคนนี้
จึงอยากร้องขอให้สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการอัยการ (กอ.) ให้ความเป็นธรรมและตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความผิด ก็ขอให้ลงโทษวินัยร้ายแรงด้วย
ทั้งนี้ ตนทราบมาว่า อัยการท่านนี้มีบ้านมากถึง 50 หลัง และเคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดเรื่องทุจริตเรียกรับผลประโยชน์มาก่อน ซึ่งตนจะติดตามการดำเนินการทางวินัยของคณะกรรมการอัยการ ทั้งเรื่องคดีที่ถูกชี้มูลทุจริตและประพฤติชู้สาวกับอดีตภรรยาของนายเคน ซึ่งมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนเป็นทนายความแห่งแผ่นดิน
นอกจากนี้ จะฟ้องชู้กับรองอธิบดีอัยการคนดังกล่าว และนางสาวชิสา เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง และจะนำไปเป็นพยานหลักฐานใช้ในคดีที่เอวายักยอกทรัพย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เอวามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและจงใจที่จะปอกลอกยักยอกทรัพย์จากนายเคน
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับการยื่นหนังสือจากทนายตั้มแล้ว จะนำเรื่องกราบเรียนไปยังอัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการเพื่อดำเนินการสอบสวนทางวินัยต่อไป แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้ระยะเวลานานเท่าไร ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ
ส่วนที่กรณีที่อัยการรายนี้เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดในคดีเรียกรับสินบนชาวจีนที่ใช้พาสปอร์ตปลอม 500,000 บาทนั้น นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้อัยการรายนี้เคยถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดใน 2 ข้อหา คือ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ซึ่งข้อหาดังกล่าวอยู่ในระหว่างการรอคำสั่งของอัยการสูงสุด
ส่วนอีกข้อหาคือ รับเงินเกิน 3,000 บาท ทางอัยการคดีทุจริตได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเห็นว่า ความผิดดังกล่าวรวมอยู่ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนแล้ว ซึ่งต่อมาทางคณะกรรมการร่วมระหว่าง ป.ป.ช. และอัยการได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นพ้องกันว่า ให้ดำเนินคดีเฉพาะข้อหาเป็นเจ้าพนักงานได้รับสินบนข้อหาเดียว
ส่วนประเด็นที่ไม่มีการพักราชการอัยการท่านนี้ในระหว่างการถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนั้น นายประยุทธ์ อธิบายว่า เนื่องจากกฎหมายอัยการจะต้องตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงหรือกรรมการชั้นต้น ก่อนที่จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการสอบสวนของกรรมการชั้นต้น โดยกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจให้ถูกพักราชการในชั้นนี้ แต่ถ้าหากอัยการท่านดังกล่าวถูกส่งตัวฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตฯ เมื่อไหร่ ก็จะถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่จะสามารถถูกสั่งพักราชการได้ทันที