"ทนายตั้ม" หอบหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี 6 ผู้บริหาร บริษัทขายตรงชื่อดัง ฐานฉ้อโกงประชาชน
วันนี้ (11 ต.ค.) ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมนายแทนคุณ จิตต์อิสระ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ. เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บริหาร หรือ บอส ของบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ที่มีกระแสข่าวอยู่ในขณะนี้ รวมทั้งสิ้น 6 คน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, และ พ.ร.บ.ฟอกเงิน ที่ล่าสุดมีผู้เสียหายประสานมากว่า 700 คนแล้ว
ทนายษิทรา กล่าวว่าพฤติการณ์ของบริษัทดังกล่าวไม่ได้ส่งสินค้าให้กับผู้ที่ลงทุนจริง บางคนลงทุน 250,000 บาท แต่เมื่อขอเบิกสินค้า กลับอ้างว่าขาดสต็อก หรือส่งสินค้าหมดอายุให้ และเน้นให้หาคนมาสมัครคอร์สเรียน และสมัครเป็นลูกข่ายแทน เพื่อให้ได้ส่วนแบ่ง 10,000 บาท จากเงินลงทุน ที่อ้างว่าขายเซรั่มได้ 1 ล้านหลอดนั้น ตนเองท้าเลยว่าหากมีผู้บริโภคคนใดที่ซื้อสินค้าดังกล่าว ใช้แล้วซื้อต่อ สามารถติดต่อมาที่ตนเองได้ เพราะที่สอบถามมา ไม่มีใครพบเห็น หรือรู้จักสินค้าชิ้นนี้ในท้องตลาด ดังนั้นพฤติการณ์นี้จึงเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ชัดเจน
ส่วนบอสดารา อ้างว่าไม่มีส่วนในการบริหารเป็นเพียงพรีเซนเตอร์ และบางคนก็อ้างว่าต้องรับตำแหน่งผู้บริหารมาเพราะความเกรงใจนั้น ก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะผู้เสียหายทั้งหมดยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า หลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนเพราะเชื่อมั่นในตัวดาราเหล่านี้ และยิ่งน่าเชื่อถือไปอีกเมื่อมีบอสที่อ้างตัวว่าเป็น “หมอ” รวมอยู่ด้วย โดยทนายษิทรา ยังย้ำชัดว่า คดีนี้มีบอสติดคุกแน่นอนอย่างน้อย 4 คน
นอกจากนี้ อี้ แทนคุณ ยังยืนยันด้วยว่า บอสหญิง ชื่อย่อ ป. ที่วางแผนระบบนี้ ได้นัดประชุมร่วมกับกลุ่มบอสดารา เพื่อให้บอสดาราทำตามระบบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มบอสดาราจะอ้างว่าไม่รู้เห็นเรื่องกระบวนการขาย และในกลุ่มบอสดาราจะแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลัก คือบอสดาราระดับผู้บริหาร ที่จะได้ส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 10% จากผลประโยชน์ทั้งหมด และยังได้ทรัพย์สินตอบแทนต่างๆ เช่น รถ นาฬิกาหรู ทั้งที่บอสบางคนมูลค่าทรัพย์สินที่นำมาโชว์กว่า 150 ล้านบาท ไม่สอดคล้องกับอาชีพที่ทำ รวมถึงบอสบางคนยังพบเส้นทางการเงินเชื่อมไปยังบุคคลใกล้ชิด เพื่อเลี่ยงการถูกมองว่าได้รับผลประโยชน์จากบริษัทนี้ด้วย
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มดาราพรีเซ็นเตอร์ ที่ถูกจ้างไปออกงานอีเวนต์และทำกิจกรรมต่าง ๆ กลุ่มที่ 3 คือดาราและอินฟลูเอนเซอร์ที่ช่วยโพสต์หรือแชร์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นครั้งคราว และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มผู้มีชื่อเสียงที่ร่วมลงทุน และใช้ความน่าเชื่อถือของตนเองไปทำกิจกรรม โดยหวังว่าจะได้ผลประโยชน์ตอบแทน ซึ่งกลุ่มนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้เสียหายเช่นกัน
สำหรับบรรยากาศที่ศูนย์รับแจ้งความคดีหลอกผู้ร่วมลงทุนบริเวณชั้น 2 ตึกพิทักษ์สันติราษฎร์ ในช่วงเช้าวันนี้พบว่ามีประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการลงทุน กับบริษัทดัง ทยอยเดินทางเข้ามาแจ้งความ อย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละคนจะหอบหลักฐานการ ลงทุนเข้ามา ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ลงทุนในระดับ ดีเลอร์ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนถึง 250,000 บาท บางรายลงทุนถึง 4 ครั้ง หมดเงินไปกว่า 1 ล้านบาท แต่ได้ค่าตอบแทนเพียง 40,000 บาทเท่านั้น