ทนายตั้ม ไม่รอหมาย โผล่กองปราบ โต้ทุกข้อครหา แจงเรื่อง "นุ" โอนคริปโต ใครกันแน่ติดต่อดาราจีน!
วันที่ 5 พ.ย. 2567 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม ซึ่งถือเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา โดยให้สัมภาษณ์หลังทนายความของมาดามอ้อยราวครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้พบกัน
ทนายตั้ม เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้ว ตนเองต้องการที่จะรอให้ทางตำรวจมาติดต่อมาเพื่อให้ปากคำ และตนเองก็พร้อมที่จะยินดีให้ความร่วมมือกับทางตำรวจอย่างเต็มที่ แต่ปรากฏว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีรถตำรวจประมาณ 2-3 คัน มาดักเฝ้าบริเวณหน้าหมู่บ้าน รวมทั้งทราบว่ามีการนำพยานที่เป็นพนักงานในบริษัทและคนใกล้ชิดตนไปให้ปากคำในลักษณะของการเชิญไปคุย ไม่มีการออกหมายเรียก ซึ่งตนมองว่า ตำรวจควรทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมิเช่นนั้นอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอุ้มหายได้ การที่ตำรวจตามดักเฝ้า ทั้งที่ยังไม่มีการออกหมายเรียกใดๆ ทำให้จึงตัดสินใจเดินทางเข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนด้วยตนเองในวันนี้ เพราะมองว่า ในเมื่อตำรวจอยากเจอตนเองมาก ตนเองก็จะเข้ามาหา
พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมา ตนเองไม่คิดที่จะหนีไปไหน และยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง พร้อมที่จะต่อสู้คดี เพราะตนเองไม่ได้ฉ้อโกงใคร งานทุกอย่างที่ได้รับการมอบหมาย ตนก็ส่งมอบงานให้ทั้งหมด ส่วนที่เงียบหายไปก่อนหน้านี้ เพราะต้องการให้มาดามอ้อย ให้ข้อมูลฝั่งตัวเองให้ครบถ้วนก่อน
ทนายตั้มยังได้ชี้แจงถึงคดีเงิน 71 ล้านบาท ยืนยันตามที่ตนเองได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทุกประการและตนเองก็มีพยานหลักฐานที่ครบถ้วน มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นการฟ้องเนื่องจากตนไม่ใช่ลูกรักของมาดามอ้อยอีกแล้ว โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถามย้ำว่า สรุปแล้วเหตุผลในการให้เงินจำนวนดังกล่าวเกิดจากอะไร ทนายตั้มย้ำแค่คำตอบเดียวว่า เป็นไปตามที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนหน้านี้ และพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนกรณีเงิน 39 ล้านบาทนั้น ยืนยันว่า ตนและคนที่ชื่อ นุ กับ สา ไม่ได้มาร่วมกันหลอกลวงมาดามอ้อย และข้อเท็จจริงกับสิ่งที่ปรากฏตามสื่อมวลชนนั้น เป็นหนังคนละม้วนกัน ซึ่งตนเองไม่รู้ว่า เป็นสิ่งที่มาดามอ้อยให้ข่าวเอง หรือสื่อมวลชนได้ข้อมูลจากไหน โดยทนายตั้มชี้แจงว่า เป็นเพราะมาดามอ้อยอ้างว่า ได้พูดคุยผ่าน IG กับดาราจีนคนดังกล่าว และคิดว่าเป็นบัญชีแอคเคาน์ดาราจีนจริงๆ จึงเสนอที่จะขอจ้างดาราจีนคนนี้มาออกงานที่ประเทศไทย เลยได้ติดต่อผ่านมายังตน ขอให้ตนเองโอนเงินให้ดาราคนดังกล่าวผ่านทางบิตคอยน์ ซึ่งตนเองไม่มีความรู้ โอนไม่เป็น จึงต้องให้น้องที่ชื่อนุโอนให้
ปรากฏว่า หลังจากที่โอนเงินไปครั้งแรก บุคคลที่อ้างว่าเป็นดาราคนดังกล่าวก็บอกว่าจะมาไทย ก่อนที่ต่อมาจะบอกว่ายังมาไม่ได้ ต้องโอนผ่านทางบอดี้การ์ด ทำให้ตัวเองเริ่มสงสัยว่าอาจจะเป็นสแกมเมอร์ จึงไปตรวจสอบกับคนจีนที่ชื่อหลิว ผ่านผู้จัดการดาราชื่อดัง พบว่าบัญชีแอคเคาท์ที่มาดามอ้อยติดต่อนั้น เป็นบัญชีสแกมเมอร์ ไม่ใช่ดาราคนจีนคนดังกล่าวจริง ๆ โดยทนายตั้มอ้างว่า ตนได้เตือนมาดามอ้อยเรื่องนี้ไปแล้ว แต่มาดามอ้อยไม่สนใจและยังโอนเงินไปอีก 5 ล้านบาท ซึ่งทางทนายตั้มอ้างว่า มาดามอ้อยบอกกับตนเองว่า เงินของเขา จะจ่ายให้ใครก็ได้
ส่วนเรื่องรถเบนซ์ ทนายตั้มบอกว่า อยากให้ทุกคนไปตรวจสอบว่า รถรุ่น G-class G400 ตามที่ปรากฏในข่าว ราคาเพียงแค่ 8-9 ล้านบาทจริงหรือไม่ พร้อมทั้งย้ำว่า รถคันดังกล่าว ชื่อจดทะเบียนรถคือชื่อของมาดามอ้อย ไม่ใช่ชื่อไฟแนนซ์ตามที่ปรากฏในข่าว และตนก็ครอบครองเพียงไม่กี่เดือนก่อนจะส่งมอบ ไม่เคยนำรถคันดังกล่าวไปให้จีนเทายืมตามที่มีข่าวลือ รวมทั้งกรณีที่พัทยานั้น ตนเองได้เดินทางไปกับมาดามอ้อยและเลขาของมาดามอ้อย พร้อมด้วยภรรยาตนเอง ซึ่งตนเองเป็นคนขับรถให้ ไม่ได้ขับรถไปรับจีนเทาตามที่มีกระแสข่าวลือ
ในการแถลงข่าว ทนายตั้มยังโต้กระแสข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า ตนเองหลบหนีไปต่างประเทศนั้น ย้ำว่าไม่เป็นความจริง พร้อมทั้งฝากถึงสื่อว่า เลิกตามมาคุกคามตนเองได้แล้ว
ส่วนกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยังคงออกมาเปิดโปงทนายตั้มอย่างต่อเนื่องนั้น ทนายตั้มระบุว่า ตนไม่มีอะไรจะฝากถึงนายสนธิ อยากจะเปิดอะไรก็จัดมาเลย ส่วนจะมีการฟ้องดำเนินคดีกลับหรือไม่ ทนายตั้มกล่าวว่า ขอให้รอดูกันต่อไป
ส่วนจะมีโอกาสเคลียร์ใจกับมาดามอ้อยหรือไม่ ทนายตั้ม บอกว่า คงไม่มีโอกาส และตนเองไม่พร้อมที่จะพบกับมาดามอ้อยในช่วงเวลานี้ เพราะเชื่อว่าพบไปพูดอะไรก็คงไม่ฟัง รวมถึงตอนนี้มาดามอ้อยมีคนรอบตัวเยอะ คงเข้าถึงได้ยาก ส่วนประเด็นที่จะมาสู่ความขัดแย้งนั้น มองว่าเป็นเพราะเรื่องของการแย่งความรักกันกับคนใกล้ตัวมาดามอ้อย
ทนายตั้ม ยังได้กล่าวฝากถึงทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ที่อ้างว่ามีเขางอกขึ้นที่หัวนั้น มองว่าคนที่มีพฤติกรรมเขางอกที่หัว เป็นเพราะเมียมีชู้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และตนก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ทนายคนอื่นฟังเลยในเรื่องนี้ พร้อมทั้งไม่ได้ดูข่าวที่ทนายคนดังคนอื่น ๆ พูดถึงตนเองด้วย
โดยภายหลังการให้สัมภาษณ์ นายษิทรา เดินเข้าไปภายในศูนย์รับแจ้งความตำรวจสอบสวนกลางทันทีเพื่อพบตำรวจ โดยใช้เวลาเข้าไปภายในราว 20-25 นาที ก่อนที่เวลา 10.42 น. จะรีบเดินออกจากอาคาร ผ่านกลุ่มสื่อมวลที่รออยู่หน้าอาคารไปที่รถทันที ซึ่งสื่อพยายามตามไปสอบถามถึงรายละเอียดการพูดคุยกับตำรวจ นายษิทรา ปฏิเสธตอบคำถามใดๆ เพิ่มเติม บอกเพียงว่า ตนเองนัดหมายกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว ไม่ขอให้สัมภาษณ์ใดๆ เพิ่มเติมอีก เพราะก่อนเข้าพบตำรวจก็พูดไปเยอะแล้ว พร้อมขอสื่อไม่ให้เดินตามต่อ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถออกไปทันที