อัจฉริยะ โวรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเรื่องเงิน 39 ล้าน ซัดทนายตั้มโกหกหน้าตาย ใช้นางสาว ม. ไปเบิกเงิน 39 ล้านบาท จุดจบคือเรือนจำ ขณะที่ รอง ผบช.ก. ยันยังไม่มีตัวละคร ม.

วันที่ 6 พ.ย. 2567 ที่บริเวณหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า เมื่อวานนี้ที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้มออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนนั้นไม่เป็นความจริง ทนายตั้มโกหกหน้าตาย โดยเฉพาะเรื่องเงิน 39 ล้านบาท ตนยืนยันว่าเป็นคนที่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะทนายตั้มให้นางสาว ม.ม้า ซึ่งเป็นเลขาฯ คนใหม่หลังจากที่นายเบียร์ได้ลาออกไป เป็นคนไปกดเงินจำนวน 39 ล้านบาท จากนั้นก็นำเงินมาให้ทนายตั้มเอาไปแบ่งกัน

โดยก่อนหน้านี้ นุกับสาได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.บางซื่อ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 ว่าได้มีการโอนเงิน 7 ครั้ง จำนวนเงินมากกว่า 2 ล้านบาท ให้บุคคลหนึ่ง ตนจึงอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าใครเป็นผู้รับโอนเงินดังกล่าว แล้วจึงถามกลับไปยังทนายตั้มว่า จะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร ในเมื่อทนายตั้มเป็นคนพานุกับสา สองสามีภรรยาไปหาเจ๊อ้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะไปทะเลาะกันต่อหน้าเจ๊อ้อย จนทำให้เจ๊อ้อยหลงเชื่อก่อนที่จะโอนเงินไปให้กับสา จำนวน 39 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินที่ไม่มีความสอดคล้องกันนั้น เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนของกองบังคับการปราบปราม ได้ข้อมูลจากพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ไปแล้ว ซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานอีกหนึ่งชิ้นในการเอาผิดทนายตั้มและพวก และขณะนี้ นางสาว ม.ม้า อยู่ระหว่างการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และนายอัจฉริยะยืนยันว่า เป็นคนเบิกเงินจำนวน 39 ล้านบาทให้ทนายตั้ม และก่อนหน้านี้นายเบียร์ก็เต็มใจมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ไม่ได้โดนอุ้มเหมือนที่ทนายตั้มกล่าวอ้าง

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างทนายตั้มกับเบียร์นั้น ทั้งสองคนรู้จักกันมานาน พี่ชายของเบียร์เคยมีคดีความเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเด็กอายุ 8 ขวบ ทนายตั้มได้เข้าไปช่วยเหลือ แล้วไปที่บ้านของเด็กที่เสียชีวิต อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรมจะเข้าช่วยเหลือดูแล จนวันที่ศาลนัดติดสินคดี ทำให้รู้ว่าทนายตั้มโกหก และที่เข้าไปในบ้านของเด็กที่เสียชีวิตคือเข้าไปทำลายพยานหลักฐาน เป็นเหตุผลให้นายเบียร์กับทนายตั้มมีความสนิทสนมกัน

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังยืนว่า ภายในสัปดาห์นี้ พนักงานสอบสวนสามารถออกหมายจับทนายตั้มกับพวกได้อย่างแน่นอน เพราะมีการสอบปากคำ นางสาว ม.ม้า แล้ว ซึ่งเป็นพยานปากสุดท้ายที่มีความสำคัญมาก โดยจุดจบของทนายตั้มคือการเข้าไปอยู่ในเรือนจำ

ส่วนกรณีที่ทนายเดชาแถลงข่าวเมื่อวานนี้ นายอัจฉริยะบอกว่า ถ้าไม่รู้ก็ให้อยู่เงียบๆ เพราะจะทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าทนายเดชาอยู่ฝั่งทนายตั้ม เพราะฉะนั้นขอให้ทนายเดชาอยู่เงียบๆ จะดีกว่า เนื่องจากทนายตั้มไม่มีหลักฐานเด็ดตามที่กล่าวอ้าง โดยดูจากแววตาว่าทนายตั้มมีความกังวล และเครียดเรื่องที่จะถูกออกหมายจับเป็นอย่างมาก

นายอัจฉริยะ ยืนยันว่า การออกมาแฉทนายตั้มในครั้งนี้ เป็นเพราะอยากให้ทุกคนรู้ความจริง และฝากบอกทนายตั้มว่าให้เลิกโกหกหน้าตาย ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่รู้จักกันมา ทนายตั้มก็โกหกซ้ำซากแบบนี้ตลอด ซึ่งตนได้เคยบอกทนายตั้มไว้แล้วว่า โกหกได้ก็โกหกต่อไป แต่สักวันหนึ่งความจริงจะปรากฏ และถึงแม้ว่าตนกับทนายตั้มจะเคยทำสัญญาสงบสุขกันเมื่อไม่นานมานี้ ถ้าหากจะตัดขาดความสัมพันธ์กันอีกครั้ง ตนก็ไม่ได้มีความกังวลแต่อย่างใด โดยตอนนี้ทนายตั้มฟังได้อยู่เพียงแค่ 2 เพลงเท่านั้นคือ เพลงโกหกหน้าตาย และเพลงใจจะขาด ซึ่งภายในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ตนเตรียมแฉทนายตั้ม เรื่องการปลอมแปลงสูติบัตร และบัตรประชาชน ที่เป็นข่าวดังเมื่อปลายปี 2566 และเรื่องนี้มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ต.เต่า รู้เป็นอย่างดี

ขณะที่ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งได้เปิดเผยว่า ทางการสืบสวนยังไม่ทราบว่าตัวละคร ม. คือใคร ซึ่งตนยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน และบอกว่าขณะนี้ยังไม่มีรายงานการสอบสวนสำหรับตัวละครที่ชื่อย่อ ม.