"ปานเทพ" ชี้พิรุธทนายตั้ม พลิกลิ้นยืมเงิน 71 ล้านลงทุน เพราะจำนนด้วยหลักฐาน ยัน "มี่-เตอร์" เป็นพยานปากเอกให้ข้อมูลคดี 39 ล้านแล้ว จี้สอบสวนข้อเท็จจริงปม ผกก. สน.บางซื่อ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กโจ๊ก
วันที่ 11 พ.ย. 2567 ที่บ้านพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครฯ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่า จากกรณีนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้มม ได้ออกมาแถลงข่าวประกาศแนวทางต่อสู้ทางคดี 3 ประเด็นก่อนหน้า ในฐานะที่ตนเป็นสื่อมวลชน และไม่ใช่คู่กรณี อยากออกมาแสดงความคิดเห็น ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่มีความเห็นเป็นคู่กรณี หรือเป็นศัตรูของทนายตั้มแต่อย่างใด ขอประกาศชัดเจนในจุดนี้
ในการต่อสู้ 3 ประเด็น เป็นแนวทางในการต่อสู้ของฝั่งเขา แต่เท่าที่ตนเห็นหลักฐานยังมีพิรุธอยู่บางเรื่อง อย่างเรื่องเงิน 71 ล้านบาท ที่ทนายตั้มบอกมาว่าได้มาโดยเสน่หามาโดยตลอด แต่จู่ๆ ทนายสายหยุดดันบอกว่า เป็นเงินยืมเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย นั่นแสดงว่าทนายตั้มพูดเท็จมาโดยตลอด ตนจึงมั่นใจว่า การอ้างว่าให้โดยเสน่หานั้นคงไปไม่รอด ดังนั้นการที่ทนายสายหยุดเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นเงินกู้ยืมเพื่อการลงทุนจึงต้องมีสัญญากู้ยืม หรือสัญญากู้เงินที่ชัดเจนหรือไม่
ประเด็นต่อมา ทนายสายหยุดอ้างว่า เป็นการหลบเลี่ยงภาษีจึงสร้างสัญญาอำพรางเพื่อโอนเงินจากต่างประเทศเข้ามา โดยอ้างเหตุว่าเป็นการลงทุน ยืนยันไม่เป็นความจริง พี่อ้อยโอนเงินจากต่างประเทศเข้ามาสู่บัญชีส่วนตัวโดยไม่ต้องเสียภาษีสักบาท และไม่ต้องเอาเอกสารไทยไปชี้แจงกับประเทศฝรั่งเศสด้วย เรื่องนี้จึงฟังไม่ขึ้น ถ้าจะเป็นการหลบเลี่ยงภาษีก็ไม่จำเป็นต้องโอนเงินเข้า ใช้วิธีถอนเงินสดทั้งก้อนแล้วเอาไปให้ทนายตั้ม โดยไม่ต้องบันทึกเรื่องภาษีก็ได้ คำชี้แจงของทนายสายหยุดจึงไม่สมเหตุสมผล
ต่อมา เรื่องรถยนต์ที่บวกค่านายหน้า มันไม่มีค่านายหน้าถึง 1.5 ล้านบาท ซึ่งมันสูงเกินไป เป็นการปกปิดโดยชัดเจนเชื่อว่าไม่ใช่ค่านายหน้า เป็นการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้พี่อ้อยรับทราบ
ส่วนเรื่อง 9 ล้านบาท ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วตามที่ทนายสายหยุดยอมรับ และไม่ปฏิเสธกับเงินจำนวนดังกล่าวนี้ ว่ามีการเข้ากระเป๋าทนายตั้มจริง รวมไปถึงเงิน 71 ล้านบาท 39 ล้านบาทก็เป็นที่ประจักษ์แล้วเช่นเดียวกัน
ส่วนประเด็นค่าออกแบบโรงแรม 9 ล้านบาท อ้างว่าพี่อ้อยยกเลิกโครงการไปแล้วเป็นเท็จ พี่อ้อยยุติการก่อสร้าง แต่ไม่ได้ยุติการออกแบบ ซึ่งทนายตั้มอ้างว่ามาดามอ้อยบอกให้ยุติการออกแบบโรงแรม แล้วให้อีกบริษัทมาออกแบบโดยจ้างเพียง 3.9 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้มีมีบุคคลพยายามทำให้นางมี่กับนายเตอร์เป็นจำเลยสังคม พร้อมบอกว่า นางมี่กับนายเตอร์นั้นมีความเกี่ยวข้องเป็นกระบวนการเบิกเงินให้ทนายตั้ม ซึ่งก่อนหน้าตนชี้แจงว่า ทั้งคู่ไม่มีเกี่ยวข้อง มีหลักฐานยืนยันจาก GPS ว่าทั้งคู่อยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่มีการเบิกเงิน 39 ล้าน รวมไปถึงยังมีภาพถ่ายสถานที่ ระบุวัน เวลา สถานที่ชัดเจน ซึ่งทั้งคู่วิงวอนผ่านตนมาว่า อยากให้สื่อมวลชนเข้าใจว่าตนยังไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ เนื่องจากกังวลความปลอดภัยและกระทบต่อรูปคดี รอคดีมีความคลี่คลายมากกว่านี้ ซึ่งหากคดีคลี่คลายก็อาจจะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องเงิน 39 ล้านบาท ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ละเอียด อยู่ในรูปคดีที่กำลังตามติดอยู่ ณ ขณะนี้ ฝากบอกนายนุกับนางสา ว่าถ้าเขาให้การตามข้อเท็จจริงทั้งหมดอาจได้รับการลดโทษ แต่ถ้าให้การเท็จ สุดท้ายจะเจอข้อเท็จจริงอยู่ดี เพราะมันเป็นเงินก้อนใหญ่ หลบพยานหลักฐานไม่ได้ หวังว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการกับผู้ต้องสงสัยให้เร็วที่สุด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพยานรายอื่นที่เกี่ยวข้อง หวังว่าจะมีการออกหมายเรียกหรือหมายจับต่อไป ภายในไม่เกินสัปดาห์นี้
ส่วนประเด็นเรื่องทนายเดชา ที่มีการพาดพิงถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุลนั้น เมื่อเช้าคุณสนธิได้ไลฟ์สดแล้วว่าเขาไม่ให้ราคาทนายเดชา แต่ได้แคปรูปที่ทนายเดชาโพสต์ทุกข้อความอันเป็นเท็จ อย่างกรณีเงิน 1,078 ล้านบาท ที่อ้างว่าโกงธนาคารนั้น ไม่ปรากฏข้อความนี้ในคำพิพากษาเลยสักข้อความเดียว แล้วคุณสนธิฟ้องคนกล่าวหาแบบนี้มาหลายครั้งแล้วและชนะคดีตลอด สิ่งที่พูดจึงเลื่อนลอยและเป็นเท็จ หลังจากนี้จะดำเนินคดีความตามกฎหมายต่อไป
อีกประเด็นเรื่อง สน.บางซื่อ กรณี 39 ล้านบาท แต่บอกเจ๊อ้อยว่าเสียหายถูกดูดเงินคริปโต แต่ที่สุดแล้วไม่ใช่เป็นผู้โอนเงิน แต่อ้างว่าเสียหาย พอเสียหายแล้วปัญหาคือทำไมตำรวจบางซื่อถึงยอมรับใบบันทึกประจำวัน นั่นชัดเจนแล้วว่าทนายตั้มร้องขอมา เพราะผกก.เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับบิ๊กโจ๊ก ซึ่งบิ๊กโจ๊กกับทนายตั้มใกล้ชิดกัน แล้วท้ายใบบันทึกประจำวันลงท้ายว่า เป็นใบรับแจ้งความ ตนมองว่านี่เป็นการผลิตเอกสารเพื่อจงใจไปหลอกพี่อ้อยใช่หรือไม่ ควรต้องมีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง