"เจ๊อ้อย" เข้าให้ปากคำกับตำรวจครั้งสุดท้าย อย่างยาวนาน เกือบ 12 ชั่วโมง ก่อนกลับฝรั่งเศส โดยยืนยันไม่ไกล่เกลี่ย ดำเนินคดี "ทนายตั้ม" ให้สุดซอย
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 67 "เจ๊อ้อย" ปรากฏตัวในชุดแจ็คเก็ตสีขาว หมวกสีชมพู และเข้าทางด้านหลังอาคาร ผ่านลานจอดรถชั้นสอง ก่อนเข้าสู่ห้องพนักงานสอบสวน มีผู้ติดตามมาด้วย 3 คน พร้อม ถือถุงอาหารจำนวนมาก คาดเตรียมไว้รับประทาน ระหว่างสอบปากคำ ที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง การสอบปากคำรอบนี้ พลตำรวจตรี สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง บอกกับทีมข่าวว่า จะเน้นตรวจคำให้การก่อนหน้านี้ว่า มีส่วนใดขาดตกบกพร่อง เพื่อให้สำนวนการสอบสวนครบถ้วนสมบูรณ์
ส่วนประเด็นเรื่องพินัยกรรม ที่ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก เข้าข่ายขบวนการฉ้อโกงหรือไม่ การสืบสวนที่ผ่านมา ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ ครั้งนี้อาจสอบถามเพิ่มเติมว่า พินัยกรรมเกี่ยวข้องกับคดีในส่วนใดหรือไม่ รวมทั้งเรื่องติด GPS รถเบนซ์ของเจ๊อ้อยด้วย จากนั้นช่วงเวลา 22.32 น. เจ๊อ้อย พร้อมผู้ติดตาม ได้เดินลงมาจากห้องสอบสวน หลังสอบปากคำเสร็จสิ้น ใช้เวลาร่วม 12 ชั่วโมง ซึ่งเจ๊อ้อย เดินยิ้มมาอย่างอารมณ์ดี ยกมือไหว้สื่อ ผู้สื่อข่าวจึงขอให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ก่อนเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส ในวันนี้ ( 21 พ.ย. 67)
เจ๊อ้อย บอกว่า สบายใจ ได้ยื่นเอกสารหลักฐานทั้งหมด ให้ตำรวจแล้ว และยืนยัน จะดำเนินคดีกับทนายตั้มให้ถึงที่สุด พร้อมยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด ไปให้สุดซอย แต่ก็ยอมรับว่า ยังเป็นกังวลเรื่องคดี ส่วนการติด GPS ในรถเบนซ์ ยอมรับว่า เป็นเรื่องที่เกินคาด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ ทีมข่าว ไปพูดคุยกับ นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความ ถึงกรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ข้อมูลว่า ทนายตั้มแอบติดตั้ง GPS ที่รถเบนซ์เจ๊อ้อย โดยมีหลักฐานว่า ทนายตั้ม และ ภรรยา แอบดูข้อมูลการเดินทางว่า ไปไหนบ้าง นายอาคม บอกว่า วันนี้ (21 พ.ย. 67) ตนจะเข้าไปเยี่ยม ภรรยาทนายตั้ม เพื่อถามเรื่อง GPS ว่า เข้าระบบไปดูการใช้รถของเจ๊อ้อย จริงหรือไม่ หรือ ผู้ที่เข้าระบบคือ ทนายตั้ม อยากถามให้แน่ชัดว่า มีการติดตั้ง ปรับปรุง หรือ รื้อระบบของรถเบนซ์จริงหรือไม่ ทำไมถึงผูกแอปพลิเคชัน กับมือถือของตัวเอง หากมีการติดตั้ง GPS และ เข้าระบบผ่านโทรศัพท์มือถือของเดือนจริง คิดว่า เรื่องนี้ไม่ส่งผลต่อรูปคดี เพราะตามข้อมูลที่นายสนธิเล่า คือ เข้าระบบช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งส่งมอบรถไปแล้ว และ ไม่ได้เกิดการกระทำความผิดในช่วงนั้น แต่ตามมารยาทแล้ว ไม่สมควรทำ ทำให้คนเกิดข้อสงสัย ทนายอาคม บอกอีกว่า เรื่องนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจ รับเป็นทนายความให้ เมียทนายตั้ม เพราะเมียทนายตั้ม มีส่วนไปเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องกรรมสิทธิ์ในบ้าน และ ที่ดิน ประเด็นติด GPS ทำไปเพื่อใช้ประโยชน์ด้านใด ตนยังไม่รู้
ส่วนกรณีที่ ทนายตั้ม ตั้งตัวเป็นผู้จัดการมรดก และ ให้ เจ๊อ้อย เซ็นต์แค่หน้าสุดท้าย จากการฟังนายสนธิ เล่า ตนในฐานะทนายความ ก็มองว่า การทำพินัยกรรม หรือ หนังสือสัญญา ควรให้คู่สัญญา ลงลายมือชื่อทุกหน้า ป้องกันการปลอมแปลงแก้ไขได้ เรื่องนี้ไม่ถูกโดยหลักการ แต่ตนก็ไม่รู้เจตนา ซึ่งกรณีนี้ เชื่อมโยงกับการขอให้ลูกตัวเอง เป็นบุตรบุญธรรมด้วย ซึ่งบุตรบุญธรรม ก็มีสิทธิ์ในการรับมรดกได้ แล้วถ้าผู้จัดการมรดก เป็นพ่อแท้ๆ ของบุตรบุญธรรม อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรม ต่อทายาทโดยรวม
ทนายอาคม บอกถึงการที่ นายสนธิ เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียน ต่อสภาทนายความ ให้ถอดรายชื่อ ทนายตั้ม ออกจากสภาทนายนั้น เรื่องการตระบัดสิน หรือ โกงเงินลูกความ ถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นข้อห้ามที่เขียนเอาไว้ สามารถลบชื่อจากสภาทนายความได้เลย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ก็ต้องดูว่า ทนายตั้ม ทำจริงหรือไม่ และกรณีที่ ทนายสายหยุด ติดต่อขอเจรจากับ ทนายความของเจ๊อ้อย ตนมองว่า เป็นช่องทางที่ทนายความ หาทางออกให้ลูกความอยู่