ปิดช่องเจรจา "สนธิ" ร้องสภาทนายความ สอบมรรยาท "ทนายตั้ม" ลั่นได้สิทธิ์ขาด "เจ๊อ้อย" เอาผิดสุดซอย "ปานเทพ" แฉเล่ห์ แอปฯนาคี-พินัยกรรม
"สนธิ" ร้องสภาทนายความ สอบมรรยาท "ทนายตั้ม" ลั่นได้สิทธิ์ขาด "เจ๊อ้อย" ลุยเอาผิดสุดซอย
วันที่ 21 พ.ย. เวลา 13.30 น. ที่สภาทนายความ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางมายังสภาทนายความ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการมรรยาททนายความ ให้ดำเนินการตรวจสอบ และเอาผิดมรรยาททนายความกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา
นายสนธิ เผยว่า การเดินทางมาสภาทนายความในวันนี้ เนื่องจากตนได้รับมอบอำนาจจากเจ๊อ้อย ให้มายื่นเรื่องต่อสภาทนายความ ดำเนินการเอาผิดทางมรรยาททนายความกับทนายตั้ม ซึ่งกระทำผิดไร้จรรยาบรรณ ส่วนทางสภาทนายความจะดำเนินการลงโทษทนายตั้มอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพักใบอนุญาตทนายความ หรือถอดชื่อจากทะเบียนทนายความ ก็สุดแท้แต่สภาทนายความจะพิจารณา
นอกจากนี้ ตนยังได้ยื่นเรื่อง เพื่อเอาผิดมรรยาททนายความกับทนายเดชา เนื่องจากทำผิดจรรยาบรรณทนายความ ในการกล่าวหาตน โดยที่ไม่มีพยานหลักฐาน ว่าฉ้อโกงเงินธนาคาร ตบทรัพย์สายการบินใหญ่ของประเทศ หรือตบทรัพย์นักการเมืองอาวุโสรายหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นพยานหลักฐานที่เป็นบรรดาโพสต์เฟซบุ๊กต่าง ๆ และการพูดวิเคราะห์ของทนายเดชา ซึ่งลืมตัวไปว่าเป็นทนายความ แต่ออกมาพดสนุกปาก โดยตนหวังว่าทางสภาทนายความจะให้ความเป็นธรรมในกรณีนี้ ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเพิ่มเติมว่า จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทนายเดชาด้วยหรือไม่ นายสนธิกล่าวว่า ให้รอรับของขวัญจากตนได้เลยในเดือนธันวาคมนี้
"โดยเชื่อว่า สภาทนายความในยุคนี้นั้นจ ะสามารถดำเนินการเอาผิด กับทนายความทั้งสองได้ เนื่องจากจากการพูดคุยกับผู้บริหารสภาทนายความก็ทราบว่า ได้ดำเนินการทางมรรยาททนายความ และลบชื่อทนายความออกหลายคนไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ประกาศสู่สาธารณะ ตนจึงเสนอไปว่า สภาทนายความควรต้องประกาศให้สาธารณชนรับทราบด้วยว่า ลบชื่อใครออกจากทะเบียนทนายความแล้วบ้าง" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ระบุต่อว่า ส่วนการที่ตนได้รับมอบอำนาจจากมาดามอ้อยให้รับผิดชอบเกี่ยวกับการดำเนินคดีกับทนายตั้มทั้งหมดนั้น ในฐานะผู้ได้รับมอบอำนาจขอยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาใดๆทั้งสิ้น กับทนายตั้มเด็ดขาด จะดำเนินคดีจนสุดซอย ถ้าซอยตันตนก็จะทะลุซอยออกไป เพราะกรณีของมาดามอ้อยนั้น เป็นการต่อสู้กับผู้ที่รู้เรื่องทางกฎหมาย และได้ตระเตรียมสร้างพยานหลักฐานเอกสารเท็จมาต่อสู้คดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำสัญญาปลอม และพินัยกรรมปลอม ดังนั้นทนายตั้มและทีมงานในคดีนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม นอกจากจะถูกดำเนินคดีฉ้อโกงและฟอกเงินแล้ว ก็อาจจะถูกดำเนินคดีฐานอั้งยี่ซ่องโจรซึ่งเป็นอาญาแผ่นดินและยอมความไม่ได้
นายสนธิ กล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ทนายสายหยุด (ทนายความของทนายตั้ม) แจ้งผ่านทนายสมชาติ ทนายความของเจ๊อ้อยว่า ประสงค์ที่จะขอเจรจาจ่ายเงิน เพื่อให้ยุติคดี ทั้งเจ๊อ้อย และคุณน้อย ซึ่งเป็นเลขาส่วนตัวจึงได้มาปรึกษากับตน ตนจึงได้บอกไปว่า เป็นสิทธิ์ของเจ๊อ้อย เพราะเงินดังกล่าวเป็นของเจ๊อ้อย เรื่องนี้เจ๊อ้อยให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวและพร้อมจะปฏิบัติตามทุกอย่าง เพราะถือว่าตนเป็นคนเดียวที่กล้าออกมาเสี่ยงกับทนายตั้ม ที่มีความสนิทสนมกับนายตำรวจระดับสูง ตนไม่มีอะไรต้องกลัวกลุ่มคนเหล่านี้ เลยเป็นที่มาที่ทำให้เมื่อคืนนี้หลังจากเจ๊อ้อย ให้การกับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามแล้วเสร็จ จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจมาให้ตนเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้แต่เพียงผู้เดียว ก่อนมาดามอ้อยจะเดินทางกลับฝรั่งเศสในวันนี้
ทั้งนี้ นายสนธิตั้งข้อสังเกตว่า การที่ทนายสายหยุดอ้างว่ามาเจรจากับทนายความของมาดามอ้อยด้วยตนเอง ทนายตั้มไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนมองว่าทนายสายหยุดน่าจะลืมที่เคยกล่าวกับสื่อมวลชนเอาไว้ว่า ไม่สามารถทำอะไรเองได้หากไม่ได้ถามลูกความ จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันเอง
นายสนธิ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภายในเดือนธันวาคมนี้ ตนจะไปยื่นเรื่องกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบว่า เงินจำนวน 71 ล้านบาทที่ทนายตั้มได้มา แน่ชัดว่าไม่ใช่เงินที่ได้มาจากการให้โดยเสน่หา ได้เสียภาษีเงินได้หรือไม่ รวมทั้งให้ตรวจสอบเงินค่าจ้างที่มาดามอ้อยโอนให้ทนายตั้มเดือนละ 300,000 บาท รวม 12 เดือนเป็นเงิน 3.6 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มได้โอนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีของพี่สาว อยากให้ตรวจสอบว่าเงินก้อนนี้มีการเสียภาษีหรือไม่ อีกทั้งขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของพี่สาวทนายตั้ม เพราะทราบว่าเป็นแม่บ้านผู้ถือบัญชีเงินคอยรับเงินเข้าออกจากทนายตั้มว่ามีเส้นเงินที่ผิดกฎหมายหรือไม่และเสียภาษีถูกต้องหรือไม่
อ.ปานเทพแฉเล่ห์ "ตั้ม" ส่งสัญญาแอปฯ นาคี - พิรุธพินัยกรรม
ต่อมานายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ออกมาเปิดโปงถึงประเด็นข้อพิรุธของทนายตั้ม ที่เชื่อว่า อาจจะมีการส่งพยานหลักฐานเท็จให้กับทางพนักงานสอบสวน โดยได้ระบุถึงสัญญาว่าจ้างทำแอปพลิเคชั่น ขายหวยออนไลน์ ที่เป็นที่มาของการโกงเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มเป็นตัวกลาง ในการทำสัญญาดังกล่าวกับบริษัททำแอปพลิเคชั่น ขายหวยออนไลน์
แต่ปรากฏว่า ในตัวสัญญาต้นฉบับที่ทนายตั้มเก็บไว้นั้น ไม่ปรากฏการลงลายเซ็นในทุกหน้าของสัญญา อีกทั้งยังเว้นหน้าสุดท้ายเอาไว้ ทั้งที่เหลือพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้มีการลงลายเซ็นของคู่สัญญาปิดท้ายหน้า นอกจากนี้การลงนามสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น ทนายตั้มให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นคนละแผ่น โดยให้ฝั่งบริษัทเป็นคนลงนามก่อน แล้วค่อยมายื่นให้เจ๊อ้อยลงนามที่หลัง ซึ่งถือว่าเป็นการผิดวิสัยทางกฎหมายอย่างมากและทนายตั้มในฐานะที่เป็นนักกฎหมายก็ควรจะต้องรู้ว่า การทำนิติกรรมสัญญาสองฝ่าย คู่สัญญาต้องเซ็นกำกับทุกแผ่นกระดาษเพื่อป้องกันการแก้ไขและลงนามสัญญาในแผ่นกระดาษเดียวกัน ยังไม่รวมถึงสัญญาต้นฉบับไม่มีการติดอากรแสตมป์และส่งให้คู่สัญญา
"นี่จึงเป็นประเด็นที่ส่อพิรุธได้ว่า หากไม่มีการลงนามปิดท้ายใบหน้าสัญญาทุกแผ่นกระดาษนั้น ทนายตั้มอาจจะฉวยโอกาสในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสุดท้ายที่มีการเว้นว่างเอาไว้ซึ่งอาจจะมีการแต่งเติมข้อความในภายหลังโดยที่คู่สัญญาไม่รับทราบ อีกทั้งข้อสัญญาข้อ 1 ที่ระบุค่าจ้างทำแอปพลิเคชั่น จำนวน 2 ล้านยูโร หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 71 ล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าทนายตั้ม และทนายสายหยุด ได้ส่งต้นฉบับสัญญาดังกล่าวให้กับทางตำรวจและได้มีการตัดข้อความข้อที่ 1 ดังกล่าวออกไปหรือไม่ จึงอยากให้ทางตำรวจตรวจสอบ พยานเอกสารสัญญาต้นฉบับของฝั่งทนายตั้มด้วย หากพบเป็นการแต่งเติมเอกสารขึ้นมาใหม่ด้วยการตัดทอนข้อความดังกล่าว อาจจะเข้าข่ายเป็นการให้การเท็จกับทั้งตำรวจ ซึ่งมีความผิดทางกฎหมายได้" นายปานเทพ ระบุ
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมาคือเรื่องของพินัยกรรม ตามที่มีการได้เปิดเผยไปแล้วว่า เชื่อว่าน่าจะมีพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ที่ทนายตั้มได้ระบุเอาไว้ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดกของเจ๊อ้อย ในส่วนนี้อยากให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจค้นทั้งที่สำนักงานหรือที่บ้านพักของทนายตั้มว่า พินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ถูกทำลายไปแล้วจริงหรือไม่และยังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่า ใบปะหน้าที่ลงนามระบุให้ตัวทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกจะยังอยู่และจะสามารถนำมาใช้งานสวมรอยต่อไปได้ในอนาคต แม้ว่าเจ๊อ้อยจะทำพินัยกรรมอีกหนึ่งฉบับไปแล้วก็ตาม แต่หากใบปะหน้าของพินัยกรรมฉบับที่ 1.5 ยังอยู่ อาจจะก่อให้เกิดปัญหาผลิตพินัยกรรมใหม่ในอนาคตได้
"ดังนั้นจึงประกาศ ณ ตรงนี้ว่า เจ๊อ้อยไม่ยินยอมให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดกและเชื่อว่า พฤติการณ์ซุกพินัยกรรมของทนายตั้มนั้น ต่อให้เห็นว่านอกจากทนายตั้มเจตนาจะฉ้อโกงแล้ว ยังตระเตรียมที่จะปั้นพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีในอนาคตอีกด้วย จึงอยากจะให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย" นายปานเทพ กล่าว
ประเด็นสุดท้าย ตนอยากให้ทางตำรวจดำเนินการตรวจสอบบุคคลรอบตัวของทนายตั้มทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพี่สาว ของทนายตั้มทั้งสองคน ทั้งคนที่ชื่อดาวที่ไปทำหน้าที่ขนเงิน 20 ล้านบาท จากจำนวน 39 ล้านบาทที่ธนาคารในศูนย์การค้าย่านลาดพร้าวไปเก็บไว้ที่บ้านย่านพุทธมณฑล ซึ่งยังพบอีกว่า ดาวมีเงินบัญชีหมุนเวียนในธนาคารมากถึง 50 ล้านบาท เรื่องนี้อยากให้ทางตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบและนำตัวดาวมาให้ปากคำ ทั้งเรื่องของเส้นทางการเงิน ที่มาของเงิน ใครคือผู้บงการให้ถอนเงิน และเงินจำนวน 20 ล้านบาทอยู่ที่ไหน โดยตนแนะนำว่า คนที่ชื่อดาวนั้น ควรให้การที่เป็นประโยชน์กับตำรวจ เพราะมิเช่นนั้น อาจจะถูกเปลี่ยนสถานะจากพยานบุคคลเป็นจำเลยร่วมได้
และนอกจากนี้ ก็อยากให้ตรวจสอบพี่สาวของทนายตั้มอีกคนที่ชื่อว่าอ้อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะเนื่องจากพบว่า ทนายตั้มเคยนัดแนะให้ลูกสาวของอ้อไปเกี่ยวดองแต่งงานกับลูกชายของเจ๊อ้อยอีกด้วย
นายปานเทพ กล่าวปิดท้ายว่า ขณะนี้เจ๊อ้อยได้เดินทางกลับไปยังฝรั่งเศสแล้ว แต่เชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ ตำรวจสอบสวนกลางจะสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อให้ความจริงในคดีทนายตั้มปรากฏต่อไป